เมื่ออายุเพิ่มขึ้น จำนวนและคุณภาพของไข่จะค่อย ๆ ลดลง ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติลดลงตามวัย เทคโนโลยี การเก็บไข่ (Egg Freezing) จึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับผู้หญิงรุ่นใหม่ที่อยากมีลูกในวันที่พร้อมจริง ๆ เพราะช่วย “หยุดเวลาให้ไข่” ไว้ในช่วงที่มีคุณภาพดีที่สุด ปลอดภัย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และสามารถเก็บรักษาได้นานหลายปี บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับการเก็บไข่ ตั้งแต่ขั้นตอน วิธีเตรียมตัว ไปจนถึงอายุที่เหมาะสมแบบครบจบในที่เดียว
การเก็บไข่คืออะไร มีข้อดีอย่างไร ?
การเก็บไข่ (Egg Freezing) คือกระบวนการเก็บรักษาเซลล์ไข่ของผู้หญิงไว้ในอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยใช้เทคโนโลยีไนโตรเจนเหลว เพื่อคงคุณภาพและความสมบูรณ์ของไข่ให้ใกล้เคียงกับสภาพธรรมชาติที่สุด กระบวนการนี้สามารถช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ในอนาคตแม้ว่าจะมีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมมีบุตรในช่วงวัยเจริญพันธุ์ หรือมีปัจจัยทางสุขภาพที่อาจส่งผลต่อการทำงานของรังไข่ โดยข้อดีของการเก็บไข่สำหรับผู้หญิงก็มีหลากหลายประการ ได้แก่
- สามารถวางแผนและเลือกช่วงเวลาที่ต้องการตั้งครรภ์ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าไข่จะเสื่อมคุณภาพหรือมีจำนวนลดลงไปตามวัยของผู้หญิง
- ลดความเสี่ยงทารกเกิดมาพร้อมความผิดปกติทางโครโมโซมหรือเป็นดาวน์ซินโดรม
- ไข่ที่ผ่านกระบวนการเก็บไข่แช่แข็ง สามารถเก็บรักษาไว้ได้ยาวนานสูงสุดถึง 10 ปี โดยคุณภาพไม่ลดลง
- เมื่อถึงเวลานำไข่มาใช้ สามารถละลายและนำไปใช้ในกระบวนการปฏิสนธิ เช่น ICSI หรือ IVF ได้อย่างปลอดภัย
นัดหมายปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อวางแผนการเก็บไข่แช่แข็งได้ที่นี่
ขั้นตอนการเก็บไข่
สำหรับกระบวนการในการฝากไข่นั้น หลังจากเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนัดหมายวันเพื่อทำการเก็บเซลล์ไข่แล้ว จะมีขั้นตอนการฝากไข่ทั้งหมด 6 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้
1. ตรวจสุขภาพและประเมินระดับฮอร์โมน
แพทย์จะทำการตรวจร่างกายทั่วไป เจาะเลือดเพื่อตรวจหาโรคติดเชื้อ เช่น ไวรัสตับอักเสบ หัดเยอรมัน หรือธาลัสซีเมีย รวมถึงตรวจระดับฮอร์โมนเพศหญิงเพื่อประเมินปริมาณไข่สำรองในรังไข่ (Ovarian Reserve) นอกจากนี้ยังมีการตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดเพื่อดูจำนวนฟอลลิเคิล (Follicle) ที่สามารถกระตุ้นให้เติบโตได้
2. การกระตุ้นรังไข่ (Ovarian Stimulation)
เมื่อแพทย์ประเมินแล้วว่าร่างกายพร้อม จะเข้าสู่การกระตุ้นรังไข่โดยการฉีดยาฮอร์โมนชนิด Gonadotropins เพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่หลายใบในรอบเดือนเดียว โดยจะมีการใช้ยา GnRH antagonist ร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ตกก่อนเวลา ซึ่งปริมาณและระยะเวลาการให้ยาจะถูกปรับตามอายุและการตอบสนองของรังไข่ของแต่ละบุคคล
3. การติดตามการเจริญเติบโตของไข่
หลังจากเริ่มฉีดยากระตุ้นไข่ จะใช้เวลาอีกประมาณ 3-5 วัน ก่อนที่แพทย์จะนัดเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดฮอร์โมนรังไข่อีกครั้ง และเช็กการเจริญเติบโตของไข่ด้วยการอัลตราซาวนด์ หากมีขนาดที่เหมาะสม ก็จะเข้าสู่กระบวนการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกต่อไปซึ่งจะใช้เวลาฉีดยากระตุ้นไข่ทั้งหมด 8-10 วัน
4. การฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก (Trigger Injection)
เมื่อไข่เจริญเติบโตถึงขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก โดยใช้ยา HCG หรือ GnRH agonist เพื่อให้ไข่สุกพร้อมสำหรับการเก็บในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
การเก็บไข่ (Egg Retrieval)
เมื่อฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกแล้ว 34-36 ชั่วโมงต่อมา แพทย์จะอัลตราซาวนด์ดูตำแหน่งไข่ให้ชัดเจน แล้วนำเข็มสอดเข้าไปในรังไข่ผ่านทางช่องคลอดเพื่อเก็บเซลล์ไข่ออกมา ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที หลังจากเก็บไข่เสร็จ จะต้องนอนพักประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นสามารถกลับบ้านไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
การแช่แข็งไข่ (Vitrification)
เซลล์ไข่ที่ได้จะถูกประเมินคุณภาพ จากนั้นบรรจุในหลอดแก้วและนำไปผ่านกระบวนการแช่แข็งด้วยเทคนิค Vitrification ที่ช่วยคงสภาพของเซลล์ไข่ให้เหมือนเดิมมากที่สุด โดยจัดเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาไข่ไว้สำหรับการใช้ในอนาคต

ตอบข้อสงสัยยอดฮิต: การเก็บไข่เจ็บไหม ?
คำถามที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักสงสัยคือ “เก็บไข่เจ็บไหม ?” คำตอบคือ ขั้นตอนนี้ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เพราะระหว่างที่แพทย์ทำการเก็บไข่จะมีการให้ยาสลบก่อน คุณจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่หลังจากกระบวนการเก็บไข่เสร็จ อาจรู้สึกปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยหรือแน่นท้องเล็กน้อย ซึ่งสามารถทานยาตามที่แพทย์แนะนำได้
แนวทางการดูแลตนเองก่อนและหลังการเก็บไข่
การเตรียมตัวก่อนเก็บไข่
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง
- หลีกเลี่ยงของหมักดองและอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
- พักผ่อนอย่างเพียงพอและหลีกเลี่ยงความเครียด
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิตามินหรืออาหารเสริมที่ช่วยบำรุงไข่
การดูแลหลังเก็บไข่
- พักผ่อนให้มาก หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
- งดมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 สัปดาห์
- รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องมากหรือมีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ทันที
ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการเก็บไข่และฝากไข่แช่แข็ง
โดยทั่วไป แนะนำให้ผู้หญิงพิจารณาทำการเก็บไข่และฝากไข่ ในช่วงอายุ 25–35 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ไข่มีคุณภาพดีที่สุดและมีจำนวนมากที่สุด เพราะหลังจากอายุ 35 ปีขึ้นไป คุณภาพและปริมาณของไข่จะเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ลดลงด้วย ดังนั้น การวางแผนเก็บไข่ตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด
นัดหมายวางแผนฝากไข่กับ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center)
เริ่มต้นวางแผนมีลูกในวันที่พร้อม กับแพทย์เฉพาะทางด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
สนใจอยากเก็บไข่เพื่อวางแผนตั้งครรภ์ในอนาคต ปรึกษาแพทย์ได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) เราคือศูนย์รักษาการมีบุตรยาก ที่พร้อมช่วยคุณวางแผนและทำการรักษาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ปลอดภัย พร้อมแพ็กเกจเก็บไข่หรือฝากไข่ราคาพิเศษ เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ให้ลูกน้อยของคุณสมบูรณ์แข็งแรง อยู่ในความดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาตั้งแต่วันแรก
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. การเก็บไข่เหมาะกับใครบ้าง ?
การเก็บไข่ เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องการวางแผนมีบุตรในอนาคตแต่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์ในช่วงเวลาปัจจุบัน เช่น
- ผู้หญิงวัยทำงานที่ต้องการโฟกัสกับอาชีพหรือยังไม่เจอคู่ชีวิต แต่ไม่อยากให้คุณภาพของไข่ลดลงตามอายุ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรมและต้องการตรวจคัดกรองไข่ก่อนนำไปใช้
- ผู้ที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ซึ่งอาจทำให้รังไข่เสื่อมลงหลังการรักษา
- ผู้ที่มีภาวะรังไข่เสื่อมเร็วกว่าปกติ (Premature Ovarian Failure) และต้องการเก็บไข่ไว้ก่อนที่คุณภาพจะลดลง
โดยสรุปแล้ว การเก็บไข่ของผู้หญิงเป็นตัวช่วยที่เปิดโอกาสให้สามารถรักษาคุณภาพไข่ที่ดีที่สุดไว้ใช้ในวันที่พร้อมตั้งครรภ์จริง ๆ
2. การเก็บไข่เพื่อทำ ICSI ต่างจากการเก็บไข่แบบทั่วไปอย่างไร ?
แม้ขั้นตอนการเก็บไข่เพื่อการทำ ICSI จะเหมือนกับการเก็บไข่ทั่วไปทุกประการ แต่ความแตกต่างจะอยู่ในกระบวนการหลังการเก็บไข่ โดย
- ในการเก็บไข่ทั่วไป จะนำไข่ที่ได้ไปผสมกับอสุจิในห้องแล็บให้ปฏิสนธิกันตามธรรมชาติ (คล้ายการทำ IVF)
- ส่วนขั้นตอนการเก็บไข่เพื่อทำ ICSI จะคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุด แล้วฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงด้วยเข็มขนาดเล็ก (Intra-Cytoplasmic Sperm Injection) เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการปฏิสนธิ
เทคนิคนี้เหมาะกับคู่สมรสที่ฝ่ายชายมีปัญหาอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวช้า หรือมีจำนวนน้อย และมักถูกใช้ร่วมกับไข่ที่ผ่านกระบวนการเก็บไข่แช่แข็งที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถวางแผนทำเด็กหลอดแก้วได้เมื่อพร้อมในอนาคต
3. เก็บไข่แช่แข็งไว้ได้นานแค่ไหน ?
ไข่ที่ผ่านการเก็บไข่แช่แข็งสามารถเก็บรักษาไว้ได้ยาวนานสูงสุดถึง 10 ปี โดยใช้เทคโนโลยีแช่แข็งแบบ Vitrification ที่ช่วยคงคุณภาพของไข่ให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมที่สุด หากจัดเก็บในอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียสภายใต้ไนโตรเจนเหลว จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้งานแพทย์จะทำการละลายไข่ที่แช่แข็งไว้ ตรวจคุณภาพ และนำไปใช้ในกระบวนการปฏิสนธิได้อย่างปลอดภัย
กล่าวได้ว่าการเก็บไข่สำหรับผู้หญิงเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตของครอบครัว ช่วยให้สามารถตั้งครรภ์ด้วยไข่ของตนเองได้แม้เลือกสร้างครอบครัวเมื่ออายุมากขึ้น
4. ค่าใช้จ่ายในการเก็บไข่
เก็บไข่ราคาโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 80,000–150,000 บาท ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ จำนวนรอบการกระตุ้นไข่ และการดูแลหลังทำ รวมถึงโปรโมชันของคลินิก โดยอาจมีค่าฝากไข่รายปีเพิ่มเติมหากต้องการเก็บไข่ระยะยาว ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของครอบครัวที่คุ้มค่าและมีความหมาย
บทความโดย แพทย์ศรมน ทรงวีรธรรม
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.