เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

การตรวจสอบค่าโปรแลคตินสูงว่าเกิดจากอะไร

Prolactin คืออะไร ? ฮอร์โมนสำคัญที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

หลายคู่รักที่วางแผนมีบุตร มักให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่มักอาจถูกมองข้ามไป คือการควบคุมระดับ "ฮอร์โมนโปรแลคติน" ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ เนื่องจากหากฮอร์โมนประเภทนี้มีระดับที่สูงกว่าปกติ อาจส่งผลต่อความผิดปกติของการตกไข่ ทำให้ตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น และแม้ว่าภาวะโปรแลคตินสูงจะไม่ใช่สาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีบุตรยาก แต่ก็เป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม การทำความเข้าใจว่า โปรแลคตินสูงเกิดจากสาเหตุใด และควรมีแนวทางดูแลอย่างไร เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สำเร็จได้อย่างมั่นใจ โปรแลคติน (Prolactin) คืออะไร? โปรแลคตินคือฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า มีหน้าที่หลักในการกระตุ้นต่อมน้ำนมให้สร้างน้ำนมหลังคลอด ซึ่งระดับโปรแลคตินจะสูงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรตามธรรมชาติ แต่หากระดับโปรแลคตินสูงในช่วงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และ LH (Luteinizing Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่ ทำให้ไข่ไม่ตก และส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ได้ ระดับโปรแลคตินปกติ ผู้หญิง : ประมาณ 15-25 ng/mL (หรือไม่เกิน 25 mcg/L) โดยระดับอาจแปรผันตามรอบเดือน ผู้ชาย : ปกติจะต่ำกว่าผู้หญิง โดยไม่เกิน 20 mcg/L โปรแลคตินสูง เกิดจากอะไร? ภาวะโปรแลคตินสูงสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้ สาเหตุทางพยาธิวิทยา เนื้องอกต่อมใต้สมอง (Prolactinoma) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โรคไทรอยด์ โดยเฉพาะภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) ภาวะไตวายเรื้อรังที่ลดการกรองโปรแลคติน สาเหตุจากพฤติกรรมหรือปัจจัยชั่วคราว ความเครียดสูง การนอนหลับไม่เพียงพอ การออกกำลังกายหนักเกินไป การกระตุ้นหรือบีบเต้านม การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคความดันโลหิต หรือยาต้านอาการคลื่นไส้บางชนิด ภาวะโปรแลคตินสูง อาการเป็นอย่างไร? อาการของภาวะโปรแลคตินสูงจะแตกต่างกันไปตามเพศและระดับฮอร์โมน โดยทั่วไปจะพบในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มากที่สุด...

การแช่แข็งตัวอ่อนด้วยวิธีผลึกแก้วเพื่อรอย้ายตัวอ่อนแบบ Frozen Embryo Transfer

ทำ ICSI แต่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์ การย้ายตัวอ่อน FET คือคำตอบ

เมื่อพูดถึงกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก อย่างการทำ ICSI หรือ IVF หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ คือการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง โดยทั่วไปจะมีการย้ายตัวอ่อนสด (Fresh Transfer) ในรอบเดียวกับที่มีการกระตุ้นไข่ แต่ในปัจจุบันมีอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ การย้ายตัวอ่อนแช่แข็ง หรือ Frozen Embryo Transfer (FET) ซึ่งการเลือกแช่แข็งตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีไว้ก่อน แล้วค่อยทำการย้ายในเวลาที่เหมาะสม สามารถช่วยลดภาวะความเสี่ยงบางประการ และยังเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย  ทำความรู้จักกับกระบวนการ Frozen Embryo Transfer (FET) Frozen Embryo Transfer หรือ FET คือ กระบวนการย้ายตัวอ่อนที่ได้จากการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการและนำไปแช่แข็งไว้ด้วยวิธีการแช่แข็งแบบผลึกแก้วหรือ Vitrification โดยนำตัวอ่อนแช่แข็งที่อยู่ในระยะ Blastocyst มาผ่านกระบวนการละลาย (Thawing) แล้วย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง กระบวนการนี้แตกต่างจากการย้ายตัวอ่อนรอบสดตรงที่ไม่จำเป็นต้องทำในรอบเดียวกับการกระตุ้นไข่และเก็บไข่ สามารถเลือกทำในช่วงเวลาที่ร่างกายพร้อมหรือคู่สมรสสะดวกได้ และมีอัตราประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูงกว่าการย้ายตัวอ่อนในรอบสด ขั้นตอนการย้ายตัวอ่อนแช่แข็ง การตรวจร่างกายและเยื่อบุโพรงมดลูก : ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนของฝ่ายหญิง รวมทั้งตรวจความหนาและความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกด้วยการอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด การละลายตัวอ่อน : ตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งด้วยวิธี Vitrification จะถูกนำมาละลายด้วยการดึงสารป้องกันการแช่แข็งออกแล้วใส่น้ำกลับไปแทนที่ เพื่อป้องกันเซลล์ได้รับความเสียหาย โดยอุณหภูมิจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดจากอุณหภูมิห้องไปถึงอุณหภูมิร่างกาย (37 องศาเซลเซียส) ใช้เวลา 20-30 นาที การย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก : ตัวอ่อนที่ละลายแล้วจะถูกนำไปประเมินคุณภาพอีกครั้ง จากนั้นแพทย์จะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกโดยการใช้เครื่องมือเฉพาะ เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวกับผนังมดลูกและเกิดการตั้งครรภ์ การพักฟื้นหลังย้ายตัวอ่อน : หลังย้ายตัวอ่อนเสร็จ ฝ่ายหญิงควรพักฟื้นที่สถานพยาบาล 1-2...

การตรวจยีน ตรวจพันธุกรรม ค้นหาความเสี่ยงก่อนมีลูก

วางแผนมีบุตรด้วยการตรวจพันธุกรรม ก้าวแรกสู่ครอบครัวสุขภาพดี

การวางแผนมีบุตรในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องสุขภาพร่างกายหรือช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกต่อไป หากแต่ยังครอบคลุมถึง “การตรวจพันธุกรรม” หรือที่เรียกกันว่า “การตรวจยีน” ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่คู่รักควรให้ความสำคัญก่อนเริ่มต้นตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในยุคที่โรคทางพันธุกรรมสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายของพ่อแม่โดยไม่แสดงอาการใด ๆ การตรวจยีนจึงเป็นการวางแผนล่วงหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกน้อยเกิดมาด้วยสุขภาพที่แข็งแรงและสมบูรณ์ การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์คืออะไร? การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์ คือการตรวจหาความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซมที่อาจแฝงอยู่ในร่างกายของพ่อแม่ แม้จะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป้าหมายหลักคือการประเมินความเสี่ยงในการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมสู่ลูก และช่วยให้สามารถวางแผนหรือเลือกแนวทางการตั้งครรภ์ที่เหมาะสมได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตัวอย่างโรคที่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจยีน หรือโครโมโซม ยีนผิดปกติที่ก่อให้เกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย, โรคซิสติกไฟโบรซิส, โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ความผิดปกติของโครโมโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม หรือ เอ็ดเวิร์ดซินโดรม ความเสี่ยงโรคหายากที่พ่อแม่ไม่มีอาการแต่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ทำไมการตรวจยีนก่อนตั้งครรภ์ถึงสำคัญสำหรับคู่รัก? สำหรับคู่รักที่วางแผนมีลูก การตรวจยีนให้มากกว่าการ “รู้ความเสี่ยง” เพราะยังเป็นการเปิดโอกาสให้ครอบครัวได้เริ่มต้นอย่างมั่นใจ พร้อมข้อดีที่หลากหลาย เช่น ป้องกันการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม : หากพบยีนผิดปกติทั้งพ่อและแม่ แพทย์สามารถให้คำแนะนำและเสนอทางเลือก เช่น การทำ IVF ร่วมกับการคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อน (PGT-A)และ การตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมแบบยีนเดี่ยวในตัวอ่อน (PGT-M) เพื่อหลีกเลี่ยงตัวอ่อนที่มียีนผิดปกติ วางแผนครอบครัวได้อย่างรอบคอบ : การรู้ล่วงหน้าจะช่วยให้มีเวลาเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ลดความกังวลใจของคู่รัก : คู่รักจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนเริ่มตั้งครรภ์ เป็นประโยชน์สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก : โดยเฉพาะคู่รักที่ต้องพึ่งเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์เพื่อช่วยให้มีบุตร เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และ อิ๊กซี่ (ICSI) ใครควรเข้ารับการตรวจยีนและตรวจก่อนตั้งครรภ์? แม้การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์จะเหมาะกับทุกคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร แต่กลุ่มดังนี้ควรพิจารณาเป็นพิเศษ กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจยีน คู่รักที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคพันธุกรรม ผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี หรือผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี เคยแท้งบุตรโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเคยมีลูกที่มีความผิดปกติ ...

แอลกอฮอล์มีผลต่ออสุจิ ทำให้คู่รักประสบภาวะมีบุตรยาก

อยากมีบุตรต้องเลี่ยง! แอลกอฮอล์มีผลต่ออสุจิอย่างไร?

ปัจจุบันภาวะมีบุตรยากได้กลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากขึ้น ทำให้คู่รักต่างหาคำตอบว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้มีลูกยาก โดยหนึ่งในปัจจัยที่หลายคนอาจไม่รู้และมักถูกมองข้ามไปก็คือ ‘การดื่มแอลกอฮอล์’ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการมีบุตรของผู้ชายได้อย่างมาก แอลกอฮอล์มีผลต่ออสุจิอย่างไร? “ดื่มเหล้า มีผลกับอสุจิไหม ?” อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า “มี” และอาจมีผลกระทบมากกว่าที่หลายคนคาดคิด เนื่องจากการดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการสร้างอสุจิใหม่ที่เกิดขึ้นในอัณฑะ โดยเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาประมาณ 74 วัน และแอลกอฮอล์สามารถส่งผลกระทบได้ในทุกขั้นตอนของการสร้างอสุจิ ทำให้อสุจิที่ผลิตออกมาใหม่มีคุณภาพลดลง ดังนี้ 1. จำนวนอสุจิลดลง (Oligospermia) แอลกอฮอล์จะเข้าไปขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ช่วยในการผลิตอสุจิ หากระดับฮอร์โมนนี้ลดลง กระบวนการสร้างอสุจิก็จะถูกหยุดชะงักหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้จำนวนอสุจิที่ผลิตออกมาไม่เพียงพอต่อการตั้งครรภ์  2. ความเคลื่อนไหวของอสุจิลดลง (Asthenospermia) เพื่อให้การตั้งครรภ์เกิดขึ้น อสุจิต้องสามารถเคลื่อนที่ไปถึงไข่และปฏิสนธิกันได้ แต่หากอสุจิเคลื่อนไหวได้ช้าลง หรือเคลื่อนที่ไม่ตรงทิศทาง โอกาสที่อสุจิจะไปถึงไข่และทำการปฏิสนธิก็จะลดลงอย่างมาก ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้ระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของอสุจิถูกขัดขวาง ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของอสุจิไม่ราบรื่น หรือไม่สามารถวิ่งไปยังไข่ได้ตามปกติ 3. รูปร่างอสุจิผิดปกติ (Teratospermia) การดื่มแอลกอฮอล์สามารถส่งผลต่อรูปร่าง ทำให้อสุจิไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยอสุจิที่มีรูปร่างผิดปกติ เช่น หัวอสุจิที่มีขนาดใหญ่เกินไป หรือปลายหางที่สั้นเกินไป จะไม่สามารถฝ่ากลไกของไข่ในการปฏิสนธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ แอลกอฮอล์มีผลต่อสมรรถภาพอย่างไร? ผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชายไม่ได้จำกัดเพียงแค่คุณภาพอสุจิ แต่ยังรวมถึงสมรรถภาพทางเพศและความสามารถในการมีบุตร ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อฮอร์โมน ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน  การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้ระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดลดลง ซึ่งเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมการสร้างอสุจิและรักษาสมรรถภาพทางเพศ เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ลดลง จึงส่งผลโดยตรงต่อการสร้างอสุจิและสมรรถภาพทางเพศ ฮอร์โมน LH และ FSH  แอลกอฮอล์จะเข้าไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) และ Follicle Stimulating Hormone (FSH) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองประเภทมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของอัณฑะและกระบวนการสร้างอสุจิ ฮอร์โมนเอสโตรเจน  การดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มระดับเอสโตรเจนในผู้ชาย ซึ่งเมื่อระดับเอสโตรเจนในผู้ชายสูงขึ้น อาจทำให้การผลิตอสุจิลดลงและยังส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศได้ 2. ผลกระทบต่อประสิทธิภาพทางเพศ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ  แอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดและระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งจะทำให้อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวได้อย่างเต็มที่ (Erectile...

การสูบบุหรี่จะทำให้อสุจิไม่แข็งแรง

สูบบุหรี่ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง ส่งผลต่อการมีลูกจริงหรือไม่?

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าการสูบบุหรี่จะทำให้อสุจิไม่แข็งแรง และส่งผลให้มีลูกยาก เป็นเรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อผิด ๆ เพื่อเป็นการไขข้อสงสัย เราจะมาสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของการสูบบุหรี่ เพื่อช่วยให้คุณและคู่รักสามารถวางแผนป้องกัน พร้อมกับดูแลสุขภาพ เพื่อเตรียมตัวมีบุตรได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ผู้ชายสูบบุหรี่มีลูกยากจริงหรือไม่ เพราะอะไร? การสูบบุหรี่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของอสุจิ และอาจนำไปสู่ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ สารพิษในบุหรี่ นอกจากสารนิโคตินแล้ว ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากกว่า 4,000 กว่าชนิด ซึ่งจะเข้าไปทำลายเซลล์อสุจิ รวมถึงลดจำนวนและความสามารถในการเคลื่อนไหวของอสุจิ เพิ่มระดับอนุมูลอิสระ (Oxidative Stress) ในร่างกาย การสูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน จะทำให้สารเคมีเกิดการสะสมในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้ DNA ของอสุจิเสียหาย จนอสุจิไม่แข็งแรง ส่งผลให้โอกาสในการปฏิสนธิน้อยลง  กระทบต่อฮอร์โมนเพศชาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อการผลิตอสุจิและสมรรถภาพทางเพศ เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศลดลง ส่งผลต่อการทำงานของอัณฑะในการผลิตอสุจิ รู้ได้อย่างไรว่าอสุจิของคนที่สูบบุหรี่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้มีลูกยาก? หากต้องการรู้ว่าอสุจิของคนที่สูบบุหรี่ไม่มีคุณภาพ และส่งผลให้เกิดภาวะการมีบุตรยากจริงหรือไม่ สามารถทำได้ด้วยการตรวจวิเคราะห์น้ำเชื้ออย่างละเอียด ซึ่งเรียกว่า Semen Analysis (SA) โดยจะเป็นการตรวจวัดปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณของอสุจิ การตรวจนับจำนวนอสุจิในน้ำเชื้อ เป็นตัวชี้วัดคุณภาพพื้นฐานของอสุจิ โดยปกติแล้วในน้ำเชื้อ 1 มิลลิลิตร ควรมีอสุจิอย่างน้อย 15 ล้านตัว หากพบว่าจำนวนอสุจิต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการผลิตอสุจิ ที่จะส่งผลกระทบต่อการมีบุตรได้ ปริมาตรของอสุจิ ในส่วนของปริมาตรอสุจิที่มีคุณภาพนั้น ต้องมีประมาณ 2-6 มิลลิลิตร ต่อการหลั่งอสุจิหนึ่งครั้ง แต่ถ้าน้อยกว่า 1.5 มิลลิลิตร อาจเป็นสัญญาณของภาวะมีบุตรยาก อันเนื่องมาจากความบกพร่องของอัณฑะหรือท่อนำอสุจิ การเคลื่อนไหวของอสุจิ  ลักษณะการเคลื่อนไหวของอสุจิ เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดคุณภาพที่สำคัญ โดยอสุจิที่แข็งแรงจะต้องเคลื่อนที่ได้รวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถเดินทางผ่านระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงและไปถึงไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปร่างของอสุจิ สำหรับรูปร่างของอสุจิที่มีคุณภาพ...

วิตามินดีได้จากอะไร? ร่างกายจะสร้างวิตามินดีเมื่อได้รับแสงแดด หรือกินอาหารอย่างปลาน้ำลึกและไข่แดง

วิตามินดีช่วยอะไร? สำคัญอย่างไรกับการตั้งครรภ์?

วิตามินดีเป็นวิตามินที่หลายคนมักมองข้ามไป แม้ว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ ทั้งในการช่วยดูดซับแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหาร ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง อีกทั้งยังมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ทั้งในเรื่องของการปรับปรุงคุณภาพไข่และสเปิร์ม จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ที่สำคัญการได้รับวิตามินดีของหญิงตั้งครรภ์ ยังจะช่วยสนับสนุนระบบสืบพันธุ์และช่วยให้สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างสมบูรณ์ วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยอะไรบ้าง ประโยชน์ที่คุณควรรู้ วิตามินดีมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน ซึ่งแต่ละด้านล้วนมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและการเตรียมความพร้อมสำหรับการมีบุตร ไม่ว่าจะเป็น สำหรับกระดูกและฟัน วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันภาวะกระดูกพรุน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินดีทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบป้องกันโรค ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ไม่ให้มีปฏิกิริยาแพ้มากเกินไป ระบบสืบพันธุ์ เป็นด้านที่หลายคนยังไม่รู้จักประโยชน์ของวิตามินดี โดยวิตามินดีสามารถปรับปรุงคุณภาพไข่และสเปิร์ม ช่วยในการรักษาสมดุลฮอร์โมนทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ส่งผลให้เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้สำเร็จ   เสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด วิตามินดีช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดช่วงการตั้งครรภ์ อารมณ์และจิตใจ การขาดวิตามินดีมีความเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรือในผู้ที่ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ การมีระดับวิตามินดีที่เพียงพอจะช่วยปรับปรุงอารมณ์และสุขภาพจิตได้  วิตามินดีได้จากอะไรบ้าง ? แหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติใกล้ตัว การหาแหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติไม่ใช่เรื่องยาก หากเรารู้จักแหล่งที่ถูกต้องและวิธีการรับประทานที่เหมาะสม แสงแดด ถือเป็นแหล่งวิตามินดีที่สำคัญที่สุดและเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยร่างกายจะสร้างวิตามินดีขึ้นเองเมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด แต่ไม่ควรตากแดดนานเกินไป เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากรังสียูวีได้ อาหารทะเล โดยเฉพาะปลาน้ำลึกอย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีมาก และนอกจากจะได้วิตามินดีแล้ว ยังได้โอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อสมองและหัวใจอีกด้วย เห็ด โดยเฉพาะเห็ดชิตาเกะและเห็ดที่ได้รับแสงแดดในระหว่างการเพาะปลูก จะมีปริมาณวิตามินดีสูง และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติอีกด้วย ไข่แดง เป็นแหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติที่หาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะไข่จากไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยให้ได้รับแสงแดดตามธรรมชาติ จะมีปริมาณวิตามินดีสูงกว่าไข่จากไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือน รู้ครบเรื่องวิตามินดี สำหรับหญิงตั้งครรภ์ วิตามินดีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในการสร้างกระดูกและฟันของทารก หากแม่ขาดวิตามินดี ทารกอาจเกิดปัญหากระดูกอ่อนหรือมีความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตในภายหลังได้ นอกจากนี้ การได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอยังจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ...

CoQ10 และประโยชน์สำหรับการเพิ่มคุณภาพอสุจิของคุณผู้ชาย

CoQ10 กับประโยชน์ด้านการฟื้นฟูคุณภาพอสุจิ

การวางแผนมีบุตรในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่สุขภาพของผู้หญิงที่ต้องสมบูรณ์พร้อมเท่านั้น แต่สุขภาพของฝ่ายชายก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะคุณภาพของอสุจิซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์  สำหรับคุณผู้ชายที่กำลังเตรียมตัวเก็บอสุจิเพื่อวางแผนครอบครัวในอนาคต หรือกำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย และหนึ่งในสารอาหารที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากที่ต้องพูดถึงก็คือ Coenzyme Q10 (CoQ10) ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์อสุจิ ทั้งยังมีส่วนช่วยปกป้องอสุจิจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระอีกด้วย  ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Coenzyme Q10 (CoQ10) Coenzyme Q10 (CoQ10) หรือโคเอนไซม์คิวเท็น เป็นสารคล้ายวิตามินที่ละลายในไขมัน พบได้ในไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเป็นแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์ที่สำคัญทั่วร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายภายในร่างกาย  บทบาทของ CoQ10 ในร่างกาย มีหน้าที่ช่วยเรื่องอะไร? อย่างที่กล่าวไปว่า CoQ10 มีหน้าที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ โดยเฉพาะในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ ไต และกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังมีหน้าที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ที่สำคัญทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) พร้อมช่วยลดผลกระทบที่อาจเข้าไปทำลายเซลล์ที่จะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม ความสำคัญของ CoQ10 ต่อสุขภาพเพศชาย สำหรับคุณผู้ชายที่มีข้อสงสัยว่า CoQ10 ช่วยอะไรบ้าง สามารถตอบได้ว่า สารสำคัญตัวนี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของระบบสืบพันธุ์เพศชาย โดยเฉพาะในกระบวนการสร้างอสุจิ (Spermatogenesis) ในอัณฑะ ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง การมีระดับ CoQ10 ที่เหมาะสม จะช่วยสนับสนุนการทำงานของเซลล์สืบพันธุ์ ช่วยลดการทำลายเซลล์จากภาวะเครียดออกซิเดชัน และส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิ  CoQ10 กับประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของอสุจิ จากบทบาทสำคัญของ CoQ10 ในการสร้างพลังงานและปกป้องเซลล์จากความเสียหายด้วยอนุมูลอิสระ ซึ่งครอบคลุมถึงระบบสืบพันธุ์เพศชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการสร้างและพัฒนาคุณภาพของอสุจิ การรักษาระดับ CoQ10 ให้สมดุลจะช่วยส่งเสริมให้อสุจิมีคุณภาพยิ่งขึ้น  1. การเพิ่มจำนวนและความเคลื่อนไหวของอสุจิ มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่า CoQ10 มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มจำนวนของอสุจิได้ รวมถึงช่วยให้การเคลื่อนไหวของอสุจิมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทางไปยังไข่เพื่อทำการปฏิสนธิ โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยาก การเสริม CoQ10...

ภาพจำลองของเดอร์มอยด์ซีสต์ คือซีสต์ที่มีเนื้อเยื่อ ผม ฟัน และกระดูกอยู่ภายใน

รู้จัก ‘เดอร์มอยด์ซีสต์’ ผู้หญิงมีอาการปวดท้องผิดปกติต้องระวัง

ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ การพบซีสต์ในรังไข่ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะซีสต์บางประเภทอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านการเจริญพันธุ์โดยตรง หนึ่งในนั้นคือ "เดอร์มอยด์ซีสต์" ที่แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้องอกชนิดที่ไม่ร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจรบกวนระบบสืบพันธุ์หรือทำให้การตั้งครรภ์เป็นเรื่องยากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีลูกหรือมีอาการผิดปกติในช่องท้องที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ เดอร์มอยด์ซีสต์คืออะไร? เดอร์มอยด์ซีสต์ (Dermoid Cyst) หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Mature Cystic Teratoma เป็นถุงน้ำในรังไข่ที่เกิดจากเซลล์ไข่ที่เจริญเติบโตผิดปกติ ลักษณะของเดอร์มอยด์ซีสต์ คือมักเป็นก้อนกลม ผนังถุงหนา ภายในมักประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อหลายชนิด เช่น ผิวหนัง เส้นผม ฟัน กระดูก หรือไขมัน เนื่องจากเดอร์มอยด์ซีสต์มีสาเหตุมาจากเซลล์ต้นกำเนิด (Totipotent cells) ที่มีความสามารถพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ มักอยู่ผิดตำแหน่งโดยกำเนิด และหากได้รับการกระตุ้นบางอย่าง จะเจริญเติบโตกลายเป็นเดอร์มอยด์ซีสต์ในเวลาต่อมา แต่นอกจากจะพบในรังไข่แล้ว ซีสต์ชนิดนี้ยังสามารถพบได้ที่ตำแหน่งอื่น ๆ ของร่างกายด้วย เช่น หางคิ้ว จมูก ช่องท้อง หนังศีรษะ สามารถตรวจพบได้โดยการตรวจภายใน การอัลตราซาวนด์ การทำ MRI และการทำ CT Scan แต่หากซีสต์มีขนาดใหญ่มาก ก็สามารถคลำพบได้เช่นกัน อาการของเดอร์มอยด์ซีสต์ โดยทั่วไป เดอร์มอยด์ซีสต์มักไม่แสดงอาการและถูกตรวจพบโดยบังเอิญในระหว่างการตรวจสุขภาพหรืออัลตราซาวนด์ แต่หากมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนใหญ่จะก่อให้เกิดอาการเหล่านี้ ปวดหน่วงหรือรู้สึกอึดอัดบริเวณท้องน้อย โดยเฉพาะข้างที่มีซีสต์ มักเป็นอาการแรก ๆ ที่พบในผู้ป่วยเดอร์มอยด์ซีสต์ รู้สึกแน่นท้อง ท้องอืด หรือคล้ายมีก้อนในท้อง เป็นผลมาจากซีสต์ที่ดันเบียดอวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อย หรือถ่ายอุจจาระลำบาก ประจำเดือนมาไม่ปกติ...

คู่รักพูดคุยกับแพทย์ เรื่องการทำ IUI, IVF หรือ ICSI จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรสไหม

สรุปชัด! ทำ IUI, IVF หรือ ICSI ต้องจดทะเบียนสมรสไหม?

เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เช่น IUI, IVF และ ICSI ได้กลายเป็นความหวังของคู่รักที่เผชิญภาวะมีบุตรยาก โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ “การมีลูกเพื่อมาเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์” แต่หนึ่งในคำถามสำคัญที่หลายคู่สงสัยก็คือ “การทำ IUI, IVF หรือ ICSI จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรสไหม ?” เพราะแม้ว่ากระบวนการทางการแพทย์จะช่วยให้มีลูกได้ แต่ประเด็นทางกฎหมายและสิทธิของเด็กที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเหล่านี้ก็มีผลโดยตรงต่อการใช้ชีวิตในอนาคตเช่นกัน ดังนั้น การเข้าใจถึงข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม กระบวนการทำ IUI, IVF และ ICSI คืออะไร? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและความเหมาะสมต่างกัน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเพื่อเลือกแนวทางที่ตอบโจทย์ที่สุดในแต่ละกรณี IUI (Intrauterine Insemination) : การฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่นำอสุจิที่ผ่านการคัดกรองแล้วฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงในช่วงไข่ตก เพื่อเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิโดยธรรมชาติ เหมาะสำหรับคู่ที่สุขภาพโดยรวมปกติ แต่ฝ่ายชายมีจำนวนหรือการเคลื่อนไหวของอสุจิต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย และฝ่ายหญิงมีปัญหาไข่ตกไม่สม่ำเสมอ IVF (In Vitro Fertilization) : เด็กหลอดแก้ว เป็นกระบวนการนำไข่และอสุจิออกมาปฏิสนธิกันนอกร่างกาย แล้วเพาะเลี้ยงตัวอ่อนก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เหมาะสำหรับคู่ที่ฝ่ายชายมีจำนวนอสุจิน้อย หรือมีปัญหาในการหลั่งอสุจิ และฝ่ายหญิงมีปัญหาท่อนำไข่อุดตัน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมีความผิดปกติในการตกไข่ ทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) : การฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง เป็นเทคนิคขั้นสูงที่ใช้อสุจิที่แข็งแรงเพียง 1 ตัว ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีปัญหามาก เช่น การเคลื่อนไหวผิดปกติ หรือมีจำนวนน้อยมาก รวมถึงฝ่ายหญิงที่มีจำนวนไข่น้อย เปลือกไข่แข็ง หรือมีภาวะมดลูกไม่แข็งแรง ทำ IUI, IVF หรือ ICSI ต้องจดทะเบียนสมรสไหม? ตามกฎหมายไทย : ต้องจดทะเบียนสมรส การเข้ารับบริการเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ในประเทศไทย...

ฮอร์โมน hCG คืออะไร ทำไมจึงสำคัญกับการตั้งครรภ์

ฮอร์โมน hCG คืออะไร สำคัญกับการตั้งครรภ์อย่างไร?

การรับรู้ถึงการตั้งครรภ์ มีความสำคัญอย่างมากต่อการวางแผนดูแลสุขภาพของคุณแม่และทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก ซึ่งมักต้องการความแม่นยำและความรวดเร็วในการติดตามความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่ง “ฮอร์โมน hCG” ถือเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าการตั้งครรภ์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพราะเป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิแล้วฝังตัวในโพรงมดลูก บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า ฮอร์โมน hCG คืออะไร พร้อมวิธีตรวจสอบค่า hCG ที่ถูกต้อง รวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจ เพื่อให้คุณมั่นใจและพร้อมในการดูแลครรภ์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ฮอร์โมน hCG คืออะไร ทำไมจึงสำคัญกับการตั้งครรภ์? ฮอร์โมน hCG ย่อมาจาก Human Chorionic Gonadotropin เป็นฮอร์โมนที่ผลิตขึ้นจากรก หลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งจะเริ่มผลิตทันทีภายใน 6-10 วันหลังจากไข่ที่ผสมและมีการฝังตัว หน้าที่หลักของ hCG คือการกระตุ้นรังไข่ให้คงระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเอาไว้ เพื่อให้ผนังมดลูกมีความหนาและเหมาะกับการตั้งครรภ์ อีกทั้งยังมีบทบาทในการป้องกันการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งจะนำไปสู่การแท้ง ฮอร์โมน hCG ตรวจพบได้เมื่อไหร่ และด้วยวิธีไหนบ้าง? การตรวจพบฮอร์โมน hCG สามารถทำได้สองวิธีหลัก ๆ ได้แก่ ตรวจเลือด (Blood test) สามารถตรวจพบ hCG ได้ตั้งแต่ 6-8 วันหลังไข่ได้รับการปฏิสนธิ เป็นวิธีที่ไวและแม่นยำที่สุด แพทย์มักใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันผลการตั้งครรภ์ในระยะแรก ตรวจปัสสาวะ (ชุดตรวจครรภ์) แนะนำให้ตรวจหลังประจำเดือนขาดประมาณ 1 สัปดาห์ เพราะหากตรวจเร็วเกินไป ระดับ hCG อาจยังต่ำจนไม่สามารถตรวจเจอได้   ทั้งนี้ ปัจจัยอย่างรอบเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ หรือวันตกไข่คลาดเคลื่อน อาจส่งผลให้ผลตรวจคลาดเคลื่อนได้ จึงควรตรวจซ้ำตามคำแนะนำหากผลออกมาไม่ชัดเจน ค่า hCG เท่าไหร่ถึงท้อง? ในเชิงตัวเลข หากตรวจเลือดแล้วพบว่า ค่า hCG มากกว่า 25 mIU/mL จะถือว่าตั้งครรภ์...