เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

อาการท้องนอกมดลูกเกิดจากอะไร ลดความเสี่ยงได้อย่างไร?

ผู้หญิงมาหาแพทย์เพราะสงสัยว่าตั้งครรภ์นอกมดลูก

การตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีสำหรับผู้หญิงที่กำลังก้าวสู่ความเป็นแม่อย่างเต็มตัว แต่บางครั้งก็อาจมาพร้อมการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่คาดคิด อย่าง “การตั้งครรภ์นอกมดลูก” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของคุณแม่ผู้ตั้งครรภ์ได้อีกด้วย บทความนี้จึงจะพาไปรู้จักการท้องนอกมดลูกให้แน่ชัดว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ส่งผลต่อการมีบุตรอย่างไร และมีวิธีลดความเสี่ยงได้หรือไม่

การตั้งครรภ์นอกมดลูกคืออะไร?

การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy) หรือที่หลายคนเรียกว่า อาการท้องนอกมดลูก คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วฝังตัวนอกโพรงมดลูก ซึ่งตามปกติแล้ว ตัวอ่อนควรเคลื่อนที่ผ่านท่อนำไข่และฝังตัวในโพรงมดลูกเพื่อเจริญเติบโต แต่ในกรณีที่ตัวอ่อนฝังตัวผิดที่ โดยไปฝังตัวในบริเวณอื่นนอกโพรงมดลูก ส่วนใหญ่มักพบในท่อนำไข่ รองลงมาคือรังไข่ ปากมดลูก และช่องท้อง ซึ่งทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคุณแม่ผู้ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะหากตัวอ่อนเติบโตจนทำให้ท่อนำไข่แตก จะเกิดการเสียเลือดและตกเลือดในช่องท้อง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ท้องนอกมดลูกอันตรายไหม?

การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีความอันตรายอย่างมาก หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที เนื่องจากตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตได้และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น 

  • ตกเลือดภายในช่องท้อง หากตัวอ่อนฝังตัวในท่อนำไข่และทำให้ท่อนำไข่แตก อาจทำให้เสียเลือดมากจนเกิดภาวะช็อกได้
  • ความเสียหายต่ออวัยวะสืบพันธุ์ อาจทำให้เกิดพังผืดหรือความเสียหายต่อท่อนำไข่ ส่งผลให้มีบุตรยากในอนาคต
  • ความเจ็บปวดรุนแรง มารดาอาจมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา

ดังนั้นหากพบอาการที่บ่งบอกถึงภาวะท้องนอกมดลูก ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

ท้องนอกมดลูกเกิดจากอะไร?

การตั้งครรภ์นอกมดลูกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

1. การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน

การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เช่น โรคหนองใน หรือโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อาจทำให้เกิดการอักเสบและพังผืดในท่อนำไข่และบริเวณอุ้งเชิงกราน ส่งผลทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปฝังตัวในโพรงมดลูกได้ทันเวลา และฝังตัวนอกโพรงมดลูกแทน

2. ฮอร์โมนไม่สมดุล

ฮอร์โมนเพศหญิงมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนที่ของตัวอ่อน หากฮอร์โมนไม่สมดุล อาจส่งผลต่อการบีบตัวของท่อนำไข่ ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปฝังตัวในโพรงมดลูกได้ โดยเฉพาะผู้ที่เคยใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งอาจมีผลต่อการเคลื่อนที่ของท่อนำไข่ได้เช่นกัน

3. ความผิดปกติทางโครงสร้างของท่อนำไข่

  • ท่อนำไข่ตีบแคบ หรือผิดรูปจากพันธุกรรม
  • เคยผ่าตัดท่อนำไข่มาก่อน เช่น ผ่าตัดแก้หมัน หรือผ่าตัดรักษาท้องนอกมดลูกมาก่อนแล้วไม่ได้ตัดท่อนำไข่ออก
  • การเกิดพังผืดที่ท่อนำไข่จากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน

4. อายุ

ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี มีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากอวัยวะในระบบสืบพันธุ์อาจมีความผิดปกติ รวมทั้งตรวจพบว่ามีเนื้องอกมากขึ้นในอายุที่มากขึ้น เช่น การทำงานของท่อนำไข่ลดลง หรือมีความผิดปกติที่ทำให้การฝังตัวของตัวอ่อนไม่เป็นไปตามธรรมชาติ

5. เคยมีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน

หากเคยเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกแล้ว มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำได้สูงกว่าคนที่ไม่เคยมีประวัติมาก่อน

 

 

ผู้หญิงปวดท้องเพราะอาจเกิดสัญญาณอาการท้องนอกมดลูก

 

สัญญาณเตือนของอาการท้องนอกมดลูก

ภาวะท้องนอกมดลูกอาการอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยมีสัญญาณเตือนที่พบได้บ่อย ดังนี้

  • ปวดท้องน้อย มักเป็นอาการแรก ๆ ที่เกิดขึ้น โดยจะเกิดอาการปวดข้างเดียวในตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัว และอาจร้าวไปยังบริเวณสะโพก ต้นขา หรือไหล่
  • ปวดไหล่ ปวดคอ ซึ่งอาจรวมถึงหลังส่วนล่างและบริเวณทวารหนัก
  • เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด มีสีน้ำตาล ชมพู หรือแดงสด มักมีปริมาณน้อยกว่าประจำเดือน
  • หน้ามืด เป็นลม อาจเกิดจากภาวะเลือดออกภายในช่องท้อง
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง หากท่อนำไข่แตก จะเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงร่วมกับอาการตกเลือดในช่องท้อง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใด ๆ ที่กล่าวมานี้เลย ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ ซึ่งสามารถทำได้โดย

  • การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องคลอด : เพื่อตรวจหาตำแหน่งของตัวอ่อน เมื่อตั้งครรภ์ได้ 5 สัปดาห์เป็นต้นไป
  • การตรวจระดับฮอร์โมน hCG : หากระดับฮอร์โมน hCG สูงกว่า 2,000-2,500 mIU/ml แต่ตรวจไม่พบถุงการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูกด้วยการตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องแต่หากตรวจด้วยการตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดจะใช้ระดับฮอร์โมน hCG ที่สูงกว่า 1500-2000 mIU/ml  อาจบ่งบอกถึงภาวะท้องนอกมดลูก

การรักษาอาการท้องนอกมดลูก

  • การใช้ยา : ใช้ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของตัวอ่อน เหมาะสำหรับกรณีที่ถุงการตั้งครรภ์ยังมีขนาดเล็ก ยังตรวจไม่พบการเต้นของหัวใจและไม่มีภาวะเสียเลือดมาก
  • การผ่าตัด : หากการใช้ยาไม่ได้ผล อาจต้องผ่าตัดเพื่อนำตัวอ่อนออก โดยมี 2 วิธีหลัก ได้แก่
    • การผ่าตัดส่องกล้อง : แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
    • การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง : ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
  • การรักษาภาวะแทรกซ้อน : หากมีภาวะช็อกจากการเสียเลือด อาจต้องได้รับเลือดทดแทน หรือหากมีการติดเชื้อ อาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

วิธีลดความเสี่ยง และป้องกันการท้องนอกมดลูก

แม้ว่าการตั้งครรภ์นอกมดลูกจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

1. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย 

การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานที่ส่งผลให้ท่อนำไข่ผิดปกติและเพิ่มโอกาสการฝังตัวของตัวอ่อนในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม

2. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง

การดูแลรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสมดุลของฮอร์โมน ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานเป็นปกติ ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน รวมถึงการตั้งครรภ์นอกมดลูก

3. สังเกตอาการขณะตั้งครรภ์

คุณแม่ที่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์ควรสังเกตอาการของตัวเองอยู่เป็นประจำ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง เลือดออก คลื่นไส้ อาเจียน ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งรับการตรวจอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย

ท้องนอกมดลูกสามารถมีลูกได้ไหม ?

การตั้งครรภ์นอกมดลูกไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ เนื่องจากตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตได้นอกมดลูก จึงถือเป็นภาวะที่ต้องยุติการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยท้องนอกมดลูกยังสามารถตั้งครรภ์ได้อีก แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากมีความเสี่ยงเกิดซ้ำสูงกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวเป็นคุณแม่มือใหม่ หลายคนอาจเกิดความกังวลใจและเริ่มมองหาตัวเลือกในการวางแผนตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์ เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของตนเองและลูกน้อย ปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยเพิ่มโอกาสในการมีลูก เช่น การทํา ICSI ซึ่งหากสงสัยว่าควรทำที่ไหนดี ? สามารถมาปรึกษาสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร ที่ให้บริการครอบคลุม ทั้งให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาคู่รักที่ประสบปัญหามีบุตรยาก ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ห้องปฏิบัติการได้มาตรฐานระดับสากล

บทความโดย แพทย์หญิงวนากานต์ สิงหเสนา

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร

Hotline : 082-903-2035

Line : @vfccenter

ข้อมูลอ้างอิง: 

Dr. Wannakan Singhasena, a fertility specialist in Thailand

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.