เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

กินยาคุมมา 10 ปี ยังท้องได้หรือไม่? ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

ผลกระทบของการกินยาคุมกำเนิดบ่อยต่อภาวะมีบุตรยาก

Table of Contents

โดยทั่วไปการ กินยาคุมชนิดเม็ด เป็นเวลานาน “ไม่ได้ทำให้มีบุตรยากถาวร” และภาวะเจริญพันธุ์มักกลับมาได้ภายใน 1–3 เดือน หลังหยุดยา ขณะที่ ยาฉีดคุมกำเนิด และ ยาฝังรุ่นเก่า (6 แท่ง) อาจทำให้รอบเดือนและการตกไข่กลับมาช้ากว่า (ราว 6–12 เดือน ในบางราย) ส่วน ยาฝังรุ่นใหม่ (1 แท่ง) มักกลับมาปกติภายใน 2–3 เดือน การใช้ ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ได้ทำให้มีบุตรยากโดยตรง แต่รบกวนรอบเดือน/การตกไข่ชั่วคราวและเพิ่มความเสี่ยงบางภาวะ ควรปรึกษาแพทย์หากหยุดคุมกำเนิดและพยายามตั้งครรภ์เกิน 12 เดือน (หรือ 6 เดือน หากอายุ ≥35 ปี) เพื่อประเมินและวางแผนแนวทางต่อไป

หนึ่งในความเชื่อเกี่ยวกับการมีลูกยากที่เป็นประเด็นให้ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน คือเรื่องของการกินยาคุมกำเนิด โดยมีหลายคนสงสัยว่า หากกินยาคุมมานานจะมีลูกได้หรือไม่ ? รวมถึงฤทธิ์ของยาคุมเมื่อใช้เป็นเวลานาน ผลของยาจะทำให้มดลูกแห้ง ผนังมดลูกบาง และส่งผลให้มีลูกได้ยากกว่าคนทั่วไปจริงหรือเปล่า ? ดังนั้นเพื่อช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เราจะมาตอบข้อควรรู้เกี่ยวกับการกินยาคุมให้ครบรอบด้าน และมีวิธีเตรียมความพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์มาแนะนำกัน

ผู้หญิงที่กินยาคุมมานาน และกังวลว่าจะมีลูกได้หรือไม่

ทำความรู้จักยาคุมกำเนิด

ก่อนจะไปสู่คำตอบของข้อสงสัยที่ว่า หากกินยาคุมมา 10 ปีแล้ว ท้องได้หรือไม่ รวมถึงคนที่กินยาคุมฉุกเฉินบ่อยจะยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้อยู่ไหม เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เราจะพาไปทำความรู้จักกับประเภทของยาคุมกำเนิดกันก่อน เนื่องจากยาคุมกำเนิดแต่ละประเภทจะส่งผลต่อร่างกายที่แตกต่างกัน  

ยาคุมแบบเม็ด

ยาคุมแบบเม็ด จะใช้กินต่อเนื่องตามที่กำหนดเพื่อคุมกำเนิด ซึ่งจะหมดฤทธิ์เร็ว บางครั้งจึงเห็นว่าผู้หญิงหลายคนที่ลืมกินยา หรือหยุดกินยาคุมก็สามารถตั้งครรภ์ได้

ยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉินจะคุมกำเนิดไม่ค่อยได้ผลมากนัก เพราะมีเพียงแค่ 2 เม็ด และเหมาะสำหรับใช้แบบฉุกเฉิน โดยเป็นยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนสูง ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ประจำเดือนเลื่อน ประจำเดือนมากะปริดกะปรอย ไข่ตกผิดปกติหลังจากใช้ยาคุมฉุกเฉิน รวมถึงอาจเสี่ยงทำให้เกิดท้องนอกมดลูก ซึ่งค่อนข้างอันตราย แต่ไม่มีผลต่อการมีลูกยากเท่าไรนัก

ยาคุมแบบฉีด

ยากลุ่มนี้อาจจะมีปัญหาได้มากกว่า เพราะยาฉีดออกฤทธิ์ค้างนาน ปกติยาคุมแบบฉีดจะมีฤทธิ์กดฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นถ้าฉีดมาสักระยะ 2-3 ปีขึ้นไปแล้วหยุดฉีดไป อาจทำให้บางคนประจำเดือนยังไม่มา เพราะไข่จะยังไม่ตกในทันที จึงต้องรอจนกว่าไข่ตกและมีประจำเดือนตามปกติเอง เพราะฉะนั้นคู่ที่วางแผนจะมีลูกแล้วใช้วิธีฉีดยาคุมกำเนิดอยู่ อาจจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าสัก 1 ปี เพื่อวางแผนการมีบุตรต่อไป  

ยาคุมกำเนิดแบบฝัง (ที่ใต้ท้องแขน)

ยาคุมประเภทนี้มีทั้งแบบเก่าที่จะฝัง 6 แท่ง อยู่ได้ 3 ปี ซึ่งจะมีฤทธิ์คล้ายยาฉีด แต่ถ้าใช้ต่อเนื่องนาน ๆ อาจต้องใช้เวลา 6-12 เดือนกว่าจะกลับมาไข่ตกและมีประจำเดือนตามปกติเอง แล้วถึงจะตั้งครรภ์ได้ ส่วนยาฝังแบบใหม่ คือฝัง 1 แท่งอยู่ได้ 3 ปี ฮอร์โมนออกฤทธิ์เร็ว พอเอายาออกสัก 2-3 เดือนก็มีโอกาสท้องแล้ว เพราะกลับมาเป็นปกติ และไข่ตกเองได้ในระยะเวลาไม่นาน

ผู้หญิงที่กินยาคุมมานาน กังวลว่าจะมีลูกได้หรือไม่ จึงมาปรึกษาแพทย์

ตอบคำถาม! สรุปแล้ว การกินยาคุมมานาน จะมีลูกยากหรือไม่?

ไม่จริง เพราะยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดจะหมดฤทธิ์เร็ว ทำให้ผู้ที่กินยาไม่ต่อเนื่อง หรือหยุดกินยา กลับมาตกไข่ได้ตามปกติ จึงสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ในบางกรณี คนที่กินยาคุมมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี จนเกิดคำถามว่าจะท้องได้หรือไม่ ต้องตอบว่าแท้จริงแล้ว หากกินยาคุมติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปีขึ้นไป อาจส่งผลต่อระบบฮอร์โมนและความสามารถในการเจริญพันธุ์ ซึ่งอาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ทำให้ส่งผลต่อการมีประจำเดือนหรือการตกไข่ที่น้อยลงได้ ดังนั้น ผู้ที่กินยาคุมต่อเนื่องมานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและรับการรักษาอย่างเหมาะสม 

อย่างไรก็ดี เมื่อหยุดกินยาคุม ไข่ก็สามารถตกได้ตามปกติ ดังนั้นการรับประทานยาคุมส่วนใหญ่แล้วก็ไม่น่าจะมีผลให้มีลูกยากขึ้น

เลิกกินยาคุมกี่เดือนท้อง?

สำหรับผู้ที่วางแผนตั้งครรภ์สามารถหยุดยาได้ทันทีเมื่อกินหมดแผง ซึ่งร่างกายจะกลับมามีการตกไข่และสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ หากหยุดกินยาคุมเป็นเวลา 1-3 เดือน และผู้หญิงบางคนพอช่วงหยุดยาคุมใหม่ ๆ ไข่อาจจะตกมากกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสเกิดลูกแฝดเพิ่มขึ้นได้ แต่เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้สูงมากนัก โดยอาจมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพ รวมถึงระยะเวลาในการกินยาคุม

นัดหมายพูดคุยกับสูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ หลังจากหยุดยาคุมได้ที่นี่

ข้อควรระวังในการใช้ยาคุม 

ถึงแม้ว่าการใช้ยาคุมแบบเม็ดจะไม่ก่อให้เกิดภาวะมีบุตรยากโดยตรง แต่หากพูดถึงการกินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ หลายคนอาจสงสัยว่าจะท้องยากหรือไม่ ซึ่งตามปกติแล้ว การใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยจนเกินไปอาจส่งผลให้มีลูกยากหรือเกิดความเสี่ยงขณะตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากยาคุมประเภทนี้จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ทั้งยังจะไปรบกวนกระบวนการสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกใหม่ จึงส่งผลต่อการฝังตัวของทารกในครรภ์ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่ตัวอ่อนจะฝังตัวนอกมดลูกได้ 

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการมีลูกหลังกินยาคุมต่อเนื่องหลายปี 

สำหรับผู้ที่ต้องการหยุดยาคุม เพื่อวางแผนการมีลูก จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน โดยมีสิ่งที่ควรปฏิบัติ ดังนี้

ปรึกษาแพทย์

หลังจากได้คำตอบแล้วว่าการกินยาคุมมานาน จะมีลูกได้หรือไม่ ? คงเข้าใจแล้วว่าถึงแม้ว่ายาคุมกำเนิดในหลายรูปแบบ จะไม่ส่งผลให้เกิดภาวะมีลูกยาก แต่การเตรียมร่างกายให้พร้อมหลังจากกินยาคุมต่อเนื่องหลายปีก็มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งสิ่งแรกที่ควรทำ คือการเข้าพบแพทย์และแจ้งประวัติการกินยาคุมอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาในการกิน รวมถึงประเภทของยา ควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพโดยรวม จากนั้นแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจฮอร์โมน ตรวจเลือด หรือตรวจอัลตราซาวด์เพิ่มเติม เพื่อประเมินภาวะมีบุตรยากและหาทางรักษา หรือวางแผนการมีลูกให้เหมาะสมกับปัญหาในขั้นตอนถัดไป 

ปรับพฤติกรรม

ผู้ที่วางแผนจะมีบุตร ควรปรับพฤติกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับการตั้งครรภ์ โดยสามารถทำได้เองด้วยวิธีเบื้องต้น ดังนี้

  • กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักผลไม้ รวมถึงอาหารที่มีกรดโฟลิก, วิตามินบี 12, สังกะสี และธาตุเหล็ก เนื่องจากเป็นสารอาหารที่เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงไข่ ช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุล สร้างผนังมดลูกให้แข็งแรง เพื่อให้ผู้ที่เตรียมตัวเป็นคุณแม่ พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการออกกำลังกายสามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ซึ่งส่งผลดีต่อระบบสืบพันธุ์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากการพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อระบบฮอร์โมน
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบสืบพันธุ์ของทั้งชายและหญิง

นัดหมายพูดคุยกับสูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อขอแนวทางการดูแลสุขภาพและวางแผนการตั้งครรภ์ได้ที่นี่

การรักษาภาวะมีบุตรยาก

หากหยุดยาคุมแล้ว และได้ลองพยายามตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติเป็นเวลา 1 ปี แต่ยังไม่สำเร็จ อาจบ่งบอกได้ถึงภาวะมีบุตรยาก ซึ่งควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น

ใช้ยากระตุ้นไข่

ยากระตุ้นการตกไข่ เป็นยาที่ใช้กระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่ที่โตเต็มที่และพร้อมสำหรับการปฏิสนธิมากขึ้น โดยสามารถช่วยกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่ที่โตเต็มที่ได้หลายฟอง อีกทั้งยังช่วยให้แพทย์คาดการณ์ช่วงเวลาตกไข่ได้แม่นยำมากขึ้น

IVF (In Vitro Fertilization)

IVF เป็นเทคโนโลยีการผสมเทียมในหลอดแก้ว ที่ช่วยการเจริญพันธุ์ซึ่งได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. กระตุ้นรังไข่ โดยใช้ยาฮอร์โมน เพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่หลายฟอง
  2. เก็บไข่ โดยใช้เข็มที่มีปลายขนาดเล็ก เก็บไข่ผ่านช่องคลอด 
  3. เก็บน้ำเชื้อ ซึ่งผู้ชายต้องดำเนินการเก็บน้ำเชื้อในวันเดียวกับการเก็บไข่
  4. แพทย์จะนำไข่และอสุจิมาผสมกันในห้องปฏิบัติการ ให้เกิดการปฏิสนธิกลายเป็นตัวอ่อน
  5. เพาะเลี้ยงตัวอ่อน และติดตามการเจริญเติบโตของตัวอ่อนเป็นเวลา 3-5 วัน
  6. คัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดสำหรับการฝังตัว
  7. ย้ายตัวอ่อน โดยนำตัวอ่อนไปฝังในมดลูกผ่านคอมดลูก

ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection)

ICSI เป็นเทคนิคการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง จึงเหมาะทั้งกับผู้หญิงที่มีปัญหาท่อนำไข่ รวมถึงผู้ชายที่มีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนอสุจิ คุณภาพของอสุจิ และภาวะการเคลื่อนที่ของอสุจิ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. ขั้นตอนการกระตุ้นรังไข่และเก็บไข่เหมือนกับการทำ IVF
  2. แพทย์จะนำไข่และอสุจิมาผสมกัน แต่แทนที่จะปล่อยให้อสุจิและไข่ผสมกันเอง จะใช้เครื่องมือพิเศษฉีดอสุจิตัวเดียวเข้าไปในไข่โดยตรง
  3. ติดตามการเจริญเติบโตของตัวอ่อนและย้ายไปฝังในมดลูก

นัดหมายพูดคุยกับสูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อรับการรักษาภาวะมีบุตรยากได้ที่นี่

สำหรับคุณผู้หญิงที่กินยาคุมมากว่า 10 ปี และกังวลว่าจะสามารถท้องได้หรือไม่ ? หรือกลัวว่าต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก สามารถมาปรึกษากับแพทย์เพื่อวางแผนครอบครัวได้ตั้งแต่ตอนนี้ และเลือกช่วงเวลาที่อยากมีลูก พร้อมรับคำแนะนำในการเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center)  ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพด้านการมีบุตรยากในระดับสากล ให้บริการครอบคลุมทั้งการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ):

Q1: กินยาคุมมานาน จะมีลูกได้ไหม?

A: ได้ โดยเฉพาะยาคุมแบบเม็ดซึ่งออกฤทธิ์สั้น ภาวะตกไข่มักกลับมาภายใน 1–3 เดือนหลังหยุดยา แต่ควรประเมินสุขภาพและอายุร่วมด้วย

Q2: กินยาคุมมา 10 ปี ต้องรอนานแค่ไหนถึงท้องได้?

A: ส่วนใหญ่ตั้งครรภ์ได้หลังหยุดยา 1–3 เดือน หากเป็นยาฉีดหรือยาฝังรุ่นเก่าอาจช้ากว่า (ประมาณ 6–12 เดือน) ยาฝังรุ่นใหม่มักกลับมาปกติราว 2–3 เดือน

Q3: กินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ส่งผลต่อโอกาสตั้งครรภ์หรือไม่?

A: ไม่ทำให้มีบุตรยากถาวร แต่มีฮอร์โมนสูง รบกวนรอบเดือน การตกไข่ชั่วคราว และเพิ่มความเสี่ยงบางภาวะ จึงไม่ควรใช้บ่อย ควรเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมแทน

Q4: หยุดฉีดยาคุมหรือเอายาฝังออกแล้ว ประจำเดือนไม่มา ควรทำอย่างไร?

A: เป็นได้จากฤทธิ์ยาที่คงค้าง ให้ติดตามรอบเดือน 3–6 เดือน หากยังไม่มา หรือมีอาการผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อประเมินการตกไข่ ฮอร์โมน

Q5: เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์หลังหยุดยาคุมอย่างไร และเมื่อไรควรพบแพทย์?

A: ปรับโภชนาการ ออกกำลังกาย พักผ่อนพอ งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และเริ่มโฟลิก หากพยายาม 12 เดือนแล้วยังไม่สำเร็จ (หรือ 6 เดือนเมื่ออายุ ≥35 ปี) ควรพบแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

 

บทความโดย แพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดปรึกษาและวางแผนกับแพทย์ได้ที่

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
โทร. 082-903-2035
Line : @vfccenter
อ่านบทความสุขภาพ : https://www.v-ivf.com/article/

Book a consultation with Dr. Worawat Siripoon at our infertility clinic

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.