คู่สมรสบางคู่ แต่งงานมาหลายปีและพยายามมีลูกด้วยวิธีธรรมชาติมานานแต่ก็ยังตั้งครรภ์ไม่สำเร็จ ทำให้ฝ่ายชายรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ ขณะที่ฝ่ายหญิงก็ต้องเผชิญกับความกดดันและความเครียดอย่างหนัก แท้จริงแล้ว หนึ่งในสาเหตุการเกิดภาวะมีบุตรยากที่หลายคนมักมองข้าม คือ ‘แอนติบอดีอสุจิ’ หรือสารภูมิคุ้มกันที่ไปโจมตีอสุจิ ซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสการมีบุตรอย่างมีนัยสำคัญ
แอนติบอดีอสุจิคืออะไร ?
แอนติบอดีอสุจิ (Antisperm Antibodies: ASA) คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านอสุจิ ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ภูมิคุ้มกันชนิดนี้เป็นโปรตีนจากระบบภูมิคุ้มกัน (Immunoglobulins) เช่น IgG, IgA, IgM ที่เข้ามาจับกับเซลล์อสุจิ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของอสุจิหลายด้าน ได้แก่
- การเคลื่อนที่ของอสุจิ (Motility) : แอนติบอดีสามารถทำให้อสุจิรวมตัวกันหรือเคลื่อนที่ช้าลง ทำให้ไม่สามารถว่ายไปหาหรือเจาะไข่ได้ตามปกติ
- ความสามารถในการปฏิสนธิ : แอนติบอดีอาจไปขัดขวางกระบวนการ Acrosome Reaction ซึ่งจำเป็นต่อการเจาะเยื่อหุ้มไข่
- การฝังตัวของตัวอ่อน : ในกรณีที่แอนติบอดีเกิดในฝ่ายหญิง อาจทำให้ภูมิคุ้มกันโจมตีตัวอ่อนที่ปฏิสนธิแล้วหรือขัดขวางการฝังตัวในมดลูก
นอกจากนี้ ASA ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิด Immune Infertility หรือภาวะมีบุตรยากจากภูมิคุ้มกัน โดยฝ่ายชายมักไม่มีอาการเจ็บป่วยหรือเกิดสัญญาณภายนอกที่ชัดเจน การตรวจหาแอนติบอดีจึงมักทำร่วมกับการวิเคราะห์น้ำอสุจิ และเพื่อประเมินถึงภาวะการเจริญพันธุ์เท่านั้น
วิธีที่สามารถตรวจพบภาวะแอนติบอดีอสุจิ
การตรวจหา ASA สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าตรวจในฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง และระดับความแม่นยำที่ต้องการ โดยวิธีที่ใช้ทั่วไป ได้แก่
- Mixed Antiglobulin Reaction Test (MAR Test) วิธีมาตรฐานที่ตรวจจากน้ำอสุจิของฝ่ายชายและน้ำมูกในช่องคลอดของฝ่ายหญิง สามารถระบุได้ว่าอสุจิถูกจับด้วยแอนติบอดีกี่เปอร์เซ็นต์ และเป็น ASA ชนิดใด
- Immunobead Test (IB Test) ใช้อนุภาคขนาดเล็ก (Beads) จับกับแอนติบอดี เพื่อระบุว่าภูมิคุ้มกันจับที่ส่วนใดของอสุจิ เช่น ส่วนหัว ส่วงกลาง หรือส่วนหาง เป็นวิธีที่ช่วยให้ข้อมูลเชิงคุณภาพเกี่ยวกับอสุจิที่ได้รับผลกระทบได้ดี
- Indirect Testing ตรวจภูมิคุ้มกันที่อยู่ในเลือดหรือของเหลวจากฝ่ายหญิง ที่อาจโจมตีอสุจิเมื่อเข้าสู่ร่างกาย
- Sperm Immobilization Test ตรวจว่าของเหลวจากฝ่ายหญิงสามารถยับยั้งการเคลื่อนที่ของอสุจิหรือไม่
สงสัยว่าตัวเองมีภาวะแอนติบอดีอสุจิ นัดหมายตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนวางแผนมีบุตร

สาเหตุการเกิดแอนติบอดีอสุจิในเพศชาย
ภาวะแอนติบอดีอสุจิที่ส่งผลให้ผู้ชายมีลูกยาก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันโจมตีอสุจิของตัวเอง ทำให้การเคลื่อนที่และการปฏิสนธิของอสุจิผิดปกติ มักสัมพันธ์กับการละเมิดหรือทำลาย Blood-Testis Barrier และปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ดังนี้
1. การบาดเจ็บหรือการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ชาย
- ภาวะอักเสบหรือติดเชื้อ เช่น อัณฑะอักเสบ (Orchitis), ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea), หนองในเทียม (Chlamydia)
- การติดเชื้อไวรัส เช่น โรคคางทูม (Mumps) ที่ลงลูกอัณฑะ
- การบาดเจ็บโดยตรงหรือแรงกระแทกบริเวณอัณฑะ
2. การผ่าตัดบริเวณอัณฑะหรือระบบสืบพันธุ์
แม้ว่าการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เช่น การทำหมัน การผ่าตัดต่อมลูกหมาก จะอยู่ในระบบปลอดเชื้อ แต่ภูมิคุ้มกันอาจตรวจจับอสุจิได้ จึงสามารถไปทำลาย Blood-Testis Barrier และทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่ออสุจิในที่สุด
3. ภาวะภูมิคุ้มกันทำงานเกิน
เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานเกินและสร้างแอนติบอดีมาต่อต้านอสุจิ ทำให้อสุจิถูกทำลายหรือเคลื่อนที่ได้ไม่ดี ส่งผลให้เกิดปัญหามีลูกยาก เป็นสาเหตุที่เกิดได้กับทั้งเพศชายและเพศหญิง
4. ความเสียหายหรือรอยแตกของเนื้อเยื่ออัณฑะ และการรั่วของโปรตีนอสุจิ
การบาดเจ็บหรือความเสียหายของเนื้อเยื่ออัณฑะ ทำให้โปรตีนและเซลล์อสุจิรั่วเข้าสู่กระแสเลือดร่างกายจึงมองว่าอสุจิเป็นสิ่งแปลกปลอมและสร้างแอนติบอดีขึ้นมา เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงโดยตรงที่ทำให้การปฏิสนธิตามธรรมชาติลดลง
5. ปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง
- การสัมผัสสารเคมีบางชนิด หรือรังสีที่ทำลายอัณฑะ
- ภาวะความเครียดหรือโรคเรื้อรังที่ทำให้ภูมิคุ้มกันผิดปกติ
- การติดเชื้อซ้ำหรือการอักเสบเรื้อรัง
นัดหมายสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุการเกิดแอนติบอดีอสุจิ

ผลกระทบของแอนติบอดีอสุจิกับภาวะมีบุตรยาก
แอนติบอดีอสุจิสามารถส่งผลต่อความสามารถในการมีบุตรของคู่สมรสได้อย่างชัดเจน จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ชายมีลูกยาก โดยมีผลกระทบสำคัญ ดังนี้
- ลดความสามารถในการเคลื่อนที่ของอสุจิ ทำให้อสุจิจับกลุ่มหรือเคลื่อนไหวได้ช้าลง และส่งผลให้ไม่สามารถว่ายไปถึงไข่ได้
- ขัดขวางกระบวนการ Acrosome Reaction ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจาะเยื่อหุ้มไข่ ทำให้การเจาะไข่หรือการปฏิสนธิเกิดยากขึ้น
- ส่งผลให้อสุจิจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้จำนวนอสุจิที่สามารถปฏิสนธิลดลง
- ระบบภูมิคุ้มกันอาจทำลายอสุจิไปบางส่วน ทำให้จำนวนอสุจิในน้ำอสุจิลดลง ส่งผลให้โอกาสการตั้งครรภ์ต่ำลง
- แม้จะสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่อสุจิที่ถูกแอนติบอดีโจมตีอาจส่งผลต่อความสมบูรณ์และพัฒนาการของตัวอ่อน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งหรือเกิดปัญหาการฝังตัวในมดลูก
แนวทางรับมือหากฝ่ายชายมีภาวะแอนติบอดีอสุจิ ส่งผลให้มีลูกยาก
การวินิจฉัยหาภาวะ ASA ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาและเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งแนวทางรับมือสำหรับผู้ที่มีภาวะแอนติบอดีอสุจิ ได้แก่
การปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ
ผู้ชายที่มีภาวะแอนติบอดีอสุจิต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพโดยรวมเพื่อรักษาคุณภาพอสุจิ ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีและกิจกรรมที่ทำให้อุณหภูมิถุงอัณฑะสูงเกินไป ป้องกันการบาดเจ็บและการติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ รวมถึงรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและออกกำลังกายสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสในการผลิตอสุจิที่แข็งแรงได้มากยิ่งขึ้น
การใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์
สำหรับคู่สมรสที่มีลูกยากเพราะแอนติบอดีอสุจิ การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำ IUI (Intrauterine Insemination) โดยจะเป็นการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง ลดการสัมผัสแอนติบอดีของฝ่ายหญิง หรือใช้การทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ซึ่งแพทย์จะทำการเก็บอสุจิจากอัณฑะโดยตรง (Testicular Sperm Extraction) เพื่อนำมาปฏิสนธิกับไข่แบบเฉพาะเจาะจง เพิ่มโอกาสปฏิสนธิแม้มีแอนติบอดี และช่วยให้คู่สมรสมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สำเร็จ
เพิ่มโอกาสในการวางแผนมีบุตรอย่างมั่นใจด้วยการตรวจน้ำเชื้อผู้ชาย ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เรามีทีมสูตินรีแพทย์คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ช่วยวิเคราะห์สาเหตุการมีบุตรยากอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อดูแลทุกขั้นตอนจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จในการมีบุตร
บทความโดย แพทย์หญิงนันท์นภัส ปโรสิยานนท์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q : แอนติบอดีอสุจิคืออะไร และส่งผลต่อการมีบุตรอย่างไร ?
A : แอนติบอดีอสุจิ (Antisperm Antibodies: ASA) คือภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านอสุจิ ทำให้อสุจิเคลื่อนไหวได้ช้า, จับตัวกันเป็นก้อน หรือไม่สามารถเจาะไข่ได้ตามปกติ จึงลดโอกาสการปฏิสนธิและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก
Q : สาเหตุหลักของแอนติบอดีอสุจิในผู้ชายมีอะไรบ้าง ?
A : สาเหตุหลัก ได้แก่ การอักเสบหรือติดเชื้อในอัณฑะและต่อมลูกหมาก, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, การติดเชื้อไวรัส, การบาดเจ็บหรือแรงกระแทกบริเวณอัณฑะ, การผ่าตัดหรือเคยทำหัตถการในระบบสืบพันธุ์, ภาวะภูมิคุ้มกันทำงานเกิน, และการสัมผัสสารเคมีหรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ
Q : แอนติบอดีอสุจิมีอาการอย่างไร ตรวจพบได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?
A : ผู้ที่มีภาวะแอนติบอดีอสุจิมักไม่แสดงอาการภายนอก จึงต้องตรวจด้วยวิธีทางการแพทย์เหล่านี้
- MAR Test (Mixed Antiglobulin Reaction Test) ตรวจจากอสุจิของฝ่ายชายหรือของเหลวในฝ่ายหญิง
- Immunobead Binding Test (IB Test) ระบุว่าภูมิคุ้มกันจับส่วนใดของอสุจิ เช่น ส่วนหัว ส่วนกลาง หรือส่วนหาง
- Indirect Testing ตรวจภูมิคุ้มกันในเลือดหรือของเหลวจากฝ่ายหญิง
- Sperm Immobilization Test ตรวจว่าของเหลวฝ่ายหญิงสามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวของอสุจิได้หรือไม่
Q : แอนติบอดีอสุจิสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?
A : ภาวะแอนติบอดีอสุจิมักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การปรับพฤติกรรม และใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ IUI หรือ ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.