ภาวะมดลูกอักเสบ (Endometritis) คือภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกติดเชื้อและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ส่งผลกระทบต่อโอกาสตั้งครรภ์อย่างมาก ทั้งทำให้ไข่ไม่ตกสม่ำเสมอ การฝังตัวอ่อนลดลง หรือเสี่ยงภาวะมีบุตรยากในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่เคยทำ ICSI แล้วไม่สำเร็จหลายครั้ง มดลูกอักเสบอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไปได้ง่าย การรู้เท่าทันอาการ สาเหตุ วิธีตรวจวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพมดลูกให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ทั้งแบบธรรมชาติและด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์
มาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาการ การตรวจวินิจฉัย การรักษา และวิธีการป้องกันภาวะมดลูกอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะมีบุตรยากได้ตั้งแต่วันนี้
มดลูกอักเสบคืออะไร ?
ภาวะมดลูกอักเสบ หรือ Endometritis คือภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่บุอยู่ด้านในของมดลูกเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ ส่วนใหญ่แล้วมดลูกอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อโรคสามารถเดินทางเข้าสู่โพรงมดลูกได้หลายวิธีและก่อให้เกิดการอักเสบได้ เกิดได้ทั้งแบบกะทันหันและแบบที่เป็น ๆ หาย ๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ปัจจัยเสี่ยง และภูมิคุ้มกันของร่างกาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ มดลูกอักเสบเฉียบพลัน และมดลูกอักเสบเรื้อรัง
ความแตกต่างระหว่างมดลูกอักเสบเฉียบพลันและมดลูกอักเสบเรื้อรัง
ภาวะมดลูกอักเสบทั้งสองประเภท มีสาเหตุและลักษณะอาการที่แตกต่างกันชัดเจน ซึ่งรายละเอียดที่ผู้หญิงควรทำความเข้าใจเบื้องต้น ได้แก่
- มดลูกอักเสบเฉียบพลัน (Acute Endometritis) : มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรงหลังจากการคลอดบุตร การแท้งบุตร หรือการทำหัตถการอื่นที่เกี่ยวข้องกับมดลูก เช่น การขูดมดลูก เนื่องจากเป็นช่วงที่ปากมดลูกเปิดกว้าง ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่โพรงมดลูกได้ง่าย อาการจึงแสดงออกชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอาการไข้สูง ปวดท้องน้อย หรือตกขาวผิดปกติ
- มดลูกอักเสบเรื้อรัง (Chronic Endometritis) : เป็นภาวะของอาการอักเสบที่สะสมมาเป็นเวลานาน อาการอาจไม่ชัดเจนหรือรุนแรงเท่าแบบเฉียบพลัน แต่มักพบในผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ล้มเหลวจากการทำเด็กหลอดแก้วหรือการทำ ICSI ซ้ำ ๆ
มีประวัติภาวะมดลูกอักเสบ นัดหมายรับคำปรึกษากับสูตินรีแพทย์ก่อนวางแผนตั้งครรภ์
มดลูกอักเสบเกิดจากอะไร ?
สาเหตุหลักของการเกิดมดลูกอักเสบคือการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อโรคสามารถเข้าสู่โพรงมดลูกได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ หรือจากเหตุการณ์ที่ทำให้จุลชีพเปลี่ยนแปลงหลังคลอดหรือหลังทำหัตถการทางการแพทย์ การทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้สามารถป้องกันได้ตรงจุด พร้อมกับช่วยป้องกันภาวะมีบุตรยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การติดเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบในมดลูกมีหลายชนิด โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) หนองในเทียม (Chlamydia) และเชื้อวัณโรค ซึ่งสามารถลุกลามจากช่องคลอดขึ้นไปถึงมดลูกได้
2. ภายหลังการคลอดหรือแท้งบุตร
หลังการคลอดบุตร ไม่ว่าจะเป็นการคลอดธรรมชาติหรือผ่าตัดคลอด รวมไปถึงหลังการแท้งบุตรและการขูดมดลูก โพรงมดลูกจะมีความบอบช้ำและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย หากไม่มีการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการอักเสบตามมา
3. หัตถการทางการแพทย์
หัตถการที่ต้องสอดอุปกรณ์เข้าไปในมดลูก เช่น การใส่ห่วงคุมกำเนิด การส่องกล้องโพรงมดลูก (Hysteroscopy) หรือการขูดมดลูก หากไม่ได้ทำในสภาพปลอดเชื้อและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมอย่างเคร่งครัด ก็ถือเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่โพรงมดลูกและเกิดการอักเสบได้เช่นกัน
4. การอักเสบที่ลุกลามจากอวัยวะอื่น
ในบางกรณี การติดเชื้อในบริเวณใกล้เคียงอย่างอุ้งเชิงกรานหรือท่อนำไข่ อาจลุกลามจนไปถึงเยื่อบุโพรงมดลูกและเป็นสาเหตุของภาวะมดลูกอักเสบได้ โดยเฉพาะกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
อาการของมดลูกอักเสบที่ควรระวัง
หากมีภาวะมดลูกอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ ที่เรากล่าวไปข้างต้น ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนผ่านอาการผิดปกติหลายประการ ซึ่งอาการที่พบโดยทั่วไป มีดังนี้
อาการมดลูกอักเสบเฉียบพลัน
- ปวดท้องน้อยรุนแรงและเฉียบพลัน
- มีไข้สูงและรู้สึกไม่สบายตัว
- ตกขาวมีกลิ่นเหม็นและอาจมีสีผิดปกติ
- มีอาการปวดขณะขับถ่าย หรือมีอาการท้องผูก
- อาการปวดขณะปัสสาวะและปัสสาวะบ่อย
อาการมดลูกอักเสบเรื้อรัง
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น มามากผิดปกติ มาน้อยผิดปกติ หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอย
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง
- เจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- เกิดภาวะมีบุตรยากและฝังตัวอ่อนไม่สำเร็จ
และหากคุณสังเกตเห็นอาการที่น่ากังวล เช่น มีเลือดออกผิดปกติ เลือดออกกะปริบกะปรอยตลอดเวลา มีไข้สูงร่วมกับอาการปวดท้องอย่างรุนแรง นั่นคือสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอาจมีการติดเชื้อที่รุนแรงและควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
มีอาการมดลูกอักเสบแต่ต้องการมีบุตร วางแผนการรักษากับสูตินรีแพทย์ได้ที่นี่
ภาวะแทรกซ้อนของมดลูกอักเสบและผลกระทบต่อการมีบุตร
ภาวะแทรกซ้อนของมดลูกอักเสบไม่ได้จำกัดแค่การติดเชื้อเฉียบพลัน แต่รวมถึงผลกระทบต่อความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งส่งผลต่อการตั้งครรภ์ด้วย ภาวะที่พบบ่อยและกระทบต่อการมีบุตร ได้แก่
- การเกิดพังผืดในโพรงมดลูกจากการอักเสบเรื้อรัง เป็นเนื้อเยื่อผิดปกติที่เกาะอยู่ในมดลูก ทำให้พื้นผิวของมดลูกขรุขระและขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน ทำให้การตั้งครรภ์เป็นไปได้ยากขึ้น
- เพิ่มความเสี่ยงภาวะมีบุตรยาก เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ตัวอ่อนฝังตัวยากขึ้น แต่ยังอาจส่งผลต่อคุณภาพของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้ไม่พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ด้วย
- หากเกิดการตั้งครรภ์ขณะที่มีภาวะมดลูกอักเสบอยู่ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง นำไปสู่ภาวะแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนดได้

การวินิจฉัยมดลูกอักเสบ
การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นขั้นตอนแรกสู่การรักษาที่ได้ผล ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด นำไปสู่การรักษาอาการมดลูกอักเสบจากต้นเหตุที่แท้จริง
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย : แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพ ประวัติการทำหัตถการ และอาการผิดปกติต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการประเมินความเสี่ยง
- การตรวจภายในและการตรวจตกขาว : แพทย์จะทำการตรวจภายในเพื่อตรวจหาความผิดปกติ และเก็บตัวอย่างตกขาวไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อหาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ
- การส่องกล้องโพรงมดลูก (Hysteroscopy) : ในกรณีที่สงสัยว่ามีมดลูกอักเสบเรื้อรังหรือมีพังผืด การส่องกล้องโพรงมดลูกถือเป็นมาตรฐานทองคำในการวินิจฉัย แพทย์จะส่องกล้องขนาดเล็กเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อตรวจดูสภาพภายในอย่างละเอียด
วิธีการรักษามดลูกอักเสบ
การรักษามดลูกอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุ ชนิดและความรุนแรงของอาการ โดยมีเป้าหมายหลักคือการกำจัดเชื้อและลดการอักเสบเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
1. การใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Therapy)
โดยปกติ แพทย์จะเลือกชนิดของยาที่เหมาะสมกับเชื้อแบคทีเรียที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) ในกรณีของมดลูกอักเสบเฉียบพลันที่รุนแรง อาจต้องให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำในโรงพยาบาล ในขณะที่การอักเสบเรื้อรังมักจะใช้ยาชนิดรับประทานในการรักษา
2. การรักษาภาวะแทรกซ้อน
หากภาวะอักเสบเรื้อรังนำไปสู่การเกิดพังผืดในโพรงมดลูก (Intrauterine Adhesions) หรือที่เรียกว่า Asherman’s Syndrome แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการผ่าตัดส่องกล้องในโพรงมดลูก (Hysteroscopy) เพื่อเข้าไปตัดและเลาะพังผืดออก ซึ่งจะช่วยให้โพรงมดลูกกลับมาเรียบเนียนและพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน
3. การรักษาด้วยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์สำหรับผู้มีบุตรยาก
สำหรับผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากจากมดลูกอักเสบเรื้อรัง หลังจากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนแล้ว อาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์เข้ามาช่วย เช่น การทำ ICSI ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการปฏิสนธิและย้ายตัวอ่อนกลับสู่โพรงมดลูกที่ได้รับการรักษาแล้วอย่างเหมาะสม
นัดหมายรับคำปรึกษาการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการทำ ICSI
การป้องกันและการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากภาวะมดลูกอักเสบ
การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงการเกิดภาวะมดลูกอักเสบ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ทำได้ด้วย 3 วิธีง่าย ๆ เหล่านี้
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้
- หลังคลอดหรือทำหัตถการทุกชนิด ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ
- ตรวจสุขภาพภายในเป็นประจำ ช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตรหรือเคยมีภาวะแท้งบุตรมาก่อน
โดยสรุป อาการมดลูกอักเสบเป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อและการอักเสบในโพรงมดลูก ซึ่งหากละเลยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิงในระยะยาวได้
การวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ในอนาคต หากมีอาการผิดปกติที่น่ากังวล หรือกำลังวางแผนมีบุตรแต่ยังไม่สำเร็จ สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัย การรักษา และวางแผนรักษาภาวะมีบุตรยากกับสูตินรีแพทย์ได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เราพร้อมให้คำแนะนำและการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์ ด้วยแผนการรักษาที่ออกแบบมาเพื่อแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q : มดลูกอักเสบเรื้อรังรักษาหายไหม และมีโอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้หรือไม่ ?
A : มดลูกอักเสบเรื้อรังสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะและการรักษาร่วมอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ หากรักษาหายแล้ว ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้สำเร็จ แต่หากยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่เหมาะสมต่อไป
Q : หากเคยมีประวัติมดลูกอักเสบ ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนวางแผนทำ ICSI ?
A : ผู้ที่มีประวัติมดลูกอักเสบควรเข้าปรึกษาสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะเจริญพันธุ์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจส่องกล้องโพรงมดลูก (Hysteroscopy) เพื่อประเมินความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกและตรวจหาพังผืด หากพบความผิดปกติ จะต้องทำการรักษาให้เรียบร้อยก่อนจึงจะเริ่มกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วหรือ ICSI ได้ เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์
Q : อาการปวดท้องน้อยเรื้อรังบ่งบอกว่าเป็นมดลูกอักเสบไหม เมื่อไหร่ที่ควรไปตรวจ ?
A : อาการปวดท้องน้อยเรื้อรังอาจเป็นสัญญาณของภาวะมดลูกอักเสบเรื้อรังได้ แต่ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือโรคในระบบทางเดินอาหาร หากอาการปวดท้องไม่ดีขึ้นหรือไม่ทราบสาเหตุ ควรนัดหมายเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการปวดนั้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ มีภาวะมีบุตรยาก
Q : การรักษามดลูกอักเสบส่งผลกระทบต่อคุณภาพของไข่หรืออสุจิหรือไม่ ?
การรักษามดลูกอักเสบโดยทั่วไปจะใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพของไข่หรืออสุจิ อย่างไรก็ตาม การอักเสบที่เกิดขึ้นในโพรงมดลูกอาจส่งผลเสียต่อการฝังตัวของตัวอ่อนโดยตรง ดังนั้น การรักษาภาวะนี้ให้หายขาดก่อนจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากกว่า
บทความโดย แพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.