ยากระตุ้นไข่คือยาที่ช่วยให้รังไข่ผลิตไข่จำนวนมากขึ้นและให้ไข่สุกสมบูรณ์ เหมาะกับการรักษาภาวะมีบุตรยากและกระบวนการช่วยเจริญพันธุ์อย่าง ICSI/IUI ภายใต้แผน COH (Controlled Ovarian Hyperstimulation) โดยแพทย์จะกำหนดชนิดยา ขนาดยา และช่วงเวลาฉีดอย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์และลดความเสี่ยง เช่น ภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกิน (OHSS) การใช้ยาต้องอาศัยการติดตามอัลตราซาวนด์และผลเลือดสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการซื้อใช้เองทุกกรณี
สำหรับคู่รักที่กำลังเตรียมตัวสู่การเป็นพ่อแม่ การรู้จัก “ยากระตุ้นไข่” คือการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ที่จะทำให้ความฝันในการมีลูกเป็นจริงได้ง่ายขึ้น เนื่องจากยากระตุ้นไข่เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ภาวะมีบุตรยาก ไม่ว่าจะเป็นการทำ ICSI, IUI หรือแม้แต่การปรับปรุงรอบการตกไข่ตามธรรมชาติ
หากอยากรู้ว่า ยากระตุ้นไข่ทำงานอย่างไร มีกี่ประเภท ช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จได้มากแค่ไหน และควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด วันนี้ทาง VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร พร้อมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วน และสามารถวางแผนเส้นทางสู่การเป็นพ่อแม่ได้อย่างมั่นใจ
ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยากระตุ้นไข่และการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพิ่มโอกาสให้กับการตั้งครรภ์ได้ที่นี่
ยากระตุ้นไข่ คืออะไร?
ในขั้นตอนการรักษาภาวะมีบุตรยาก แพทย์จะใช้ยากระตุ้นไข่เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังต่อไปนี้
- ยากระตุ้นไข่ (Ovarian Stimulation Drug) คือ ยาที่ใช้เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนเพศหญิงให้รังไข่มีการผลิตไข่ที่มากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ไข่แต่ละใบมีความสมบูรณ์ มีขนาดโตเหมาะสม และพร้อมสำหรับการปฏิสนธิในขั้นตอนของการทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) หรือ IUI (Intrauterine Insemination) ต่อไป หากไข่มีความสมบูรณ์แข็งแรง ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น
- ยากระตุ้นไข่ตก หรือยาเร่งไข่ตก (Ovulation Induction Drug) คือ ยาที่ช่วยกระตุ้นไข่ที่สุกเต็มที่แล้วให้ออกจากรังไข่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์มากขึ้น
เทคนิค COH สำหรับการทำเด็กหลอดแก้วด้วยยากระตุ้นไข่
สำหรับการทำเด็กหลอดแก้ว แพทย์จะใช้เทคนิคพิเศษที่เรียกว่า COH (Controlled Ovarian Hyperstimulation) ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ในปริมาณที่มากกว่าธรรมชาติ (ปกติจะมีแค่ 1 ฟองต่อเดือน) เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการรักษา การได้ไข่หลายฟองจะทำให้มีตัวอ่อนที่มีคุณภาพมากขึ้น และสามารถเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุดเพื่อการฝังตัว
ทำไมยากระตุ้นไข่และยาเร่งไข่ตกจึงสำคัญสำหรับคนอยากมีลูก?
การทำ ICSI หรือ IUI ต้องการไข่จากคุณแม่ที่มีความสมบูรณ์และแข็งแรง และต้องการไข่จำนวนที่มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ โดยยาทั้งสองชนิดมีความสำคัญในการรักษาภาวะการมีบุตรยากดังต่อไปนี้
- เพิ่มจำนวนไข่ที่ตกในแต่ละเดือนให้มากขึ้น โดยปกติแล้ว รังไข่จะผลิตไข่เพียงเดือนละ 1 ใบเท่านั้น ซึ่งน้อยเกินไปสำหรับการทำ ICSI หรือ IUI เพราะหากมีจำนวนแค่ 1 ฟอง โอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ก็จะมีน้อยตามลงไป ดังนั้น การกินยากระตุ้นไข่จึงช่วยเพิ่มจำนวนไข่ให้มากขึ้น และยาเร่งไข่ตกยังจะช่วยกระตุ้นให้ไข่หลุดออกมาจากรังไข่มากกว่า 1 ฟองในแต่ละเดือน
- เพิ่มคุณภาพของไข่ ช่วยให้ไข่ที่ตกมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
- เพิ่มโอกาสความสำเร็จ การที่จำนวนไข่เพิ่มมากขึ้นและมีความสมบูรณ์ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ประเภทของผู้ป่วยที่ต้องใช้ยากระตุ้นไข่ตามการจำแนกของ WHO
ก่อนที่แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยากระตุ้นไข่ จะต้องวินิจฉัยก่อนว่าคุณอยู่ในกลุ่มไหน เพราะแต่ละกลุ่มจะมีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จำแนกภาวะไข่ไม่ตกออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งการเลือกใช้ยากระตุ้นไข่จะต้องปรับให้เหมาะกับสภาพร่างกายและสาเหตุภาวะไข่ไม่ตกของแต่ละบุคคล
- กลุ่มที่ 1 : ผู้ที่มีภาวะฮอร์โมน FSH และ LH ต่ำ อาจเกิดจากปัญหาของต่อมใต้สมอง แพทย์จะแนะนำใช้ยาฉีดฮอร์โมน FSH และ LH โดยตรง
- กลุ่มที่ 2 : ผู้ที่มีภาวะ PCOS หรือปัญหาไข่ตกไม่สม่ำเสมอ (เป็นกลุ่มที่พบมากที่สุด) แพทย์อาจรักษาโดยเริ่มจากยากิน เช่น Clomid, Ovinum หากไม่ได้ผล อาจเปลี่ยนเป็นยาแบบฉีดแทน
- กลุ่มที่ 3 : ผู้ที่มีปัญหารังไข่เสื่อมหรือวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจรักษาภาวะไข่ไม่ตกด้วยการใช้ยาฉีดในขนาดที่สูง หรืออาจใช้ไข่บริจาคในบางกรณี
รูปแบบของยากระตุ้นไข่

รูปแบบของยากระตุ้นไข่มีทั้งแบบฉีดและแบบรับประทาน โดยการฉีดยากระตุ้นไข่จะออกฤทธิ์ได้แรงมากกว่ายาชนิดรับประทาน แต่จะใช้วิธีไหนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลากหลายประการ
- ยารับประทาน มักมีส่วนประกอบหลักเป็น Clomiphene Citrate จึงมักใช้กับคนไข้ที่มีภาวะ PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ไข่ตกตามธรรมชาติ มีผลข้างเคียงน้อย แต่อาจไม่ได้ผลกับคนไข้บางราย และสามารถกระตุ้นไข่ตกได้ไม่มากเท่ากับแบบฉีด
- ยาฉีด มีหลายชนิดตามส่วนประกอบของฮอร์โมน เช่น ยาที่มี FSH เพียงอย่างเดียว หรือผสม FSH และ LH มักใช้กับผู้ที่ใช้ยารับประทานแล้วไม่ได้ผล หรือผู้ที่ต้องการทำ ICSI หรือ IUI ที่ต้องการไข่ในปริมาณมากและมีความสมบูรณ์ สามารถเร่งให้ไข่ตกได้มากกว่า แต่ต้องระวังเรื่องผลข้างเคียง และต้องมีการตรวจร่างกายโดยแพทย์ก่อนฉีดยา เพื่อความปลอดภัย
ปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกใช้วิธีกระตุ้นไข่และแนวทางรักษาภาวะมีบุตรยากที่เหมาะกับคุณได้ที่นี่
ฮอร์โมนในยากระตุ้นไข่มีอะไรบ้าง?
ยากระตุ้นไข่ประกอบด้วยฮอร์โมนหลัก ๆ ดังนี้
- FSH (Follicle Stimulating Hormone) : กระตุ้นการเจริญเติบโตของฟองไข่
- LH (Luteinizing Hormone) และ hCG (Human Chorionic Gonadotropin) : ใช้ฉีดในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกเต็มที่และเกิดการตกไข่ตามมา
- GnRH Antagonist : ใช้ควบคุมการตกไข่ให้อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรซื้อยากระตุ้นไข่มาใช้เอง ต้องได้รับการสั่งจ่ายจากแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา
ฉีดยากระตุ้นไข่ เวลาไหนดี?
การฉีดยากระตุ้นไข่ แพทย์จะนัดหมายให้คุณแม่มาฉีดฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นไข่วันที่ 2-3 ของการมีประจำเดือน โดยจะใช้เวลาประมาณ 9-12 วัน เพื่อให้ไข่โต และหลุดออกมาจากผนังของรังไข่ สามารถเก็บไข่มาใช้ในการทำ ICSI หรือ IUI ได้
โดยปกติแล้ว ธรรมชาติของระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง ภายในรังไข่จะมีเซลล์ไข่จำนวนมาก และไข่แต่ละใบจะค่อย ๆ เติบโตเต็มวัยจนสุก และหลุดออกจากผนังของรังไข่ เพื่อรอผสมกับอสุจิของฝ่ายชาย แต่การฉีดยากระตุ้นไข่ จะช่วยเร่งการเติบโตของไข่ให้สุกเร็วขึ้น และหลุดออกจากรังไข่พร้อมกันหลายใบ อีกทั้งไข่ยังมีความสมบูรณ์ ช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาภาวะการมีบุตรยากให้ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
หลังจากที่แพทย์ฉีดยากระตุ้นไข่แล้ว จะนัดหมายให้คนไข้เดินทางมาที่คลินิกเพื่อตรวจเลือดและทำอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจสอบประสิทธิภาพของยากระตุ้นไข่ว่าได้ผลดี และพร้อมสำหรับการเก็บไข่หรือไม่
ฉีดยากระตุ้นไข่มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
เช่นเดียวกับยาทุกชนิด ยากระตุ้นไข่อาจมีผลข้างเคียงได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีอาการ และส่วนใหญ่จะหายไปเองหลังจากหยุดยา
ผลข้างเคียงทั่วไป (พบได้บ่อย)
- คลื่นไส้ อาเจียน – คล้ายอาการตั้งครรภ์เล็กน้อย
- อารมณ์แปรปรวน – เหมือนช่วงก่อนมีประจำเดือน
- ท้องอืด – รู้สึกอึดอัดบริเวณท้องน้อย
- ปวดท้องน้อย – เนื่องจากรังไข่ขยายตัวจากการตอบสนองของยา
- อาการบวม – เนื่องจากฮอร์โมนที่สูงทำให้เกิดการสะสมน้ำในชั้นเนื้อเยื่อ
- คัดตึงเต้านม – จากฮอร์โมนที่สูงขึ้นระหว่างการกระตุ้นไข่
- ปวดศีรษะ – จากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว
ผลข้างเคียงที่ต้องระวัง : ภาวะ OHSS (Ovarian Hyperstimulation Syndrome)
ภาวะ OHSS เป็นภาวะที่รังไข่ตอบสนองต่อยากระตุ้นไข่มากเกินไป แม้จะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่อาจเป็นอันตรายได้หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
อาการเตือนที่ต้องรีบไปพบแพทย์
- ท้องบวมมาก รอบเอวใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 กิโลกรัมภายใน 2-3 วัน
- ปัสสาวะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
- หายใจลำบาก มีอาการเหนื่อย
- คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง ไม่สามารถรับประทานอาหารได้
หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น

ยากระตุ้นไข่เหมาะสำหรับใคร?
ยากระตุ้นไข่ ไม่ได้นำมาใช้เฉพาะการทำ ICSI หรือ IUI เท่านั้น แต่ยังนำมาใช้ในวัตถุประสงค์ในการรักษาทั่วไป โดยจะเหมาะสำหรับบุคคลดังต่อไปนี้
- ผู้ที่อยู่ในขั้นตอนการรักษาการมีบุตรยาก อยู่ระหว่างการทำ ICIS หรือ IUI
- ผู้ที่ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพของไข่
- ผู้ที่รังไข่เสื่อมก่อนวัยอันควร
ใครไม่ควรใช้ยากระตุ้นไข่?
กลุ่มที่ไม่ควรใช้ยากระตุ้นไข่ ได้แก่
- ผู้ที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์ที่ยังไม่ได้รักษา
- ผู้ที่มีโรคหัวใจ หรือไตวาย
- ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยากระตุ้นไข่
- ผู้ที่มีภาวะมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้
การดูแลตัวเองในช่วงใช้ยากระตุ้นไข่
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากยากระตุ้นไข่ ควรปฏิบัติดังนี้
สิ่งที่ควรทำ
- ฉีดยาให้ตรงเวลา คลาดเคลื่อนได้ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง
- กินอาหารที่มีโปรตีนสูง ไข่ขาว ปลา เนื้อไก่ เพื่อป้องกันภาวะ OHSS
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะ เดิน ว่ายน้ำเบา ๆ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- การออกกำลังกายหนัก วิ่ง เล่นเทนนิส ยกน้ำหนัก
- การดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ จะลดประสิทธิภาพของยา
- กิจกรรมที่เสี่ยงต่อการกระแทก เพราะรังไข่จะบวมโตขึ้น
- มีความเครียดมากเกินไป ควรทำจิตใจให้ผ่อนคลาย
- กินกาแฟมากเกินไป จำกัดไม่เกิน 1-2 แก้วต่อวัน
โอกาสการตั้งครรภ์แฝดจากยากระตุ้นไข่
การใช้ยากระตุ้นไข่มีโอกาสทำให้เกิดการตั้งครรภ์แฝดได้ เนื่องจากยากระตุ้นไข่จะทำให้ไข่ตกหลายฟองพร้อมกัน หากปฏิสนธิพร้อมกันหลายฟองอาจทำให้มีลูกแฝดได้ โดยเฉพาะในการทำ IUI
อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์แฝดมากกว่า 2 คนมีความเสี่ยงสูง อาจต้องยุติการตั้งครรภ์เพื่อความปลอดภัยของแม่ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์และคลอด ดังนั้นแพทย์จะมีมาตรการป้องกันโดยหยุดการรักษาหากไข่ตกมากกว่า 3 ฟอง และในการทำ ICSI หรือ IVF จะคัดเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุดเพียง 1-2 ตัวเท่านั้น
ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยากระตุ้นไข่และยาเร่งไข่ตก
สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาภาวะการมีบุตรยากหรือระบบสืบพันธุ์โดยการใช้ยากระตุ้นไข่และยาเร่งไข่ตก มีข้อควรระมัดระวังดังต่อไปนี้
- ต้องดำเนินการโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ห้ามกินหรือฉีดยากระตุ้นไข่และยากระตุ้นไข่ตกเองโดยพลการ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
- ตรวจสุขภาพร่างกายก่อนอย่างละเอียด เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ยา
คำเตือน : ห้ามซื้อยากระตุ้นไข่ใช้เอง
การซื้อยากระตุ้นไข่มาใช้เองมีอันตรายอย่างมาก เช่น
- ขนาดยาผิด : อาจได้รับยาเกินขนาดหรือน้อยเกินไป
- เกิด OHSS : ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจถึงชีวิต
- ไข่ตกก่อนเวลา : ทำให้ไม่สามารถเก็บไข่ได้
- ไข่คุณภาพไม่ดี : ลดโอกาสความสำเร็จในการรักษาภาวะมีบุตรยาก
- เสียเงินเปล่า : การรักษาไม่ได้ผล และต้องเริ่มต้นใหม่
แม้จะหาซื้อยากระตุ้นไข่ได้ทางออนไลน์ แต่แพทย์ไม่แนะนำ เนื่องจากควรได้รับการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น
ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) เรามีบริการครบวงจรสำหรับคู่รักที่กำลังตั้งใจมีบุตร ด้วยการใช้ยากระตุ้นไข่อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการทำ ICSI โดยทีมสูตินรีแพทย์ที่จะประเมินสภาพร่างกายของคุณอย่างละเอียด และเลือกใช้ยากระตุ้นไข่ที่เหมาะสมที่สุด พร้อมติดตามดูแลตลอดกระบวนการรักษา เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกขั้นตอนสู่การเป็นคุณพ่อคุณแม่ และมีลูกน้อยอยู่ในอ้อมใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: ยากระตุ้นไข่จำเป็นเมื่อใด และช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์อย่างไร?
A: ใช้เมื่อไข่ตกไม่สม่ำเสมอ มี PCOS เตรียมทำ ICSI/IUI หรือจำเป็นต้องได้ไข่หลายฟองในรอบเดียว ยาช่วยเพิ่มจำนวนและคุณภาพของไข่ ทำให้มีตัวเลือกตัวอ่อนมากขึ้นและเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จ
Q2: ยากระตุ้นไข่มีกี่ชนิด และแตกต่างกันอย่างไร?
A: แบ่งกว้าง ๆ เป็นยารับประทาน (เช่น clomiphene citrate) ผลข้างเคียงน้อย เหมาะเริ่มต้นรักษา และยาฉีด (FSH เดี่ยว หรือผสม FSH+LH/ใช้ GnRH antagonist ควบคุมเวลา) ให้การตอบสนองแรง เหมาะกรณีทำ ICSI/IUI หรือเมื่อยากินไม่ได้ผล
Q3: ฉีดยาเมื่อไร และต้องติดตามอย่างไร?
A: มักเริ่มวันที่ 2–3 ของรอบเดือน ต่อเนื่องราว 9–12 วัน พร้อมอัลตราซาวนด์ติดตามขนาดฟองไข่และตรวจเลือด เมื่อไข่พร้อม จะฉีด hCG/trigger ให้ตกไข่ตามแผนเก็บไข่หรือทำ IUI
Q4: ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่ควรรู้มีอะไรบ้าง?
A: พบได้เช่น ท้องอืด คัดตึงเต้านม ปวดหน่วงท้องน้อย อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ เสี่ยงภาวะ OHSS (ท้องบวมเร็ว น้ำหนักขึ้นเร็ว ปัสสาวะน้อย หายใจลำบาก คลื่นไส้รุนแรง) ต้องพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเตือน
Q5: ใครเหมาะ/ไม่เหมาะกับยากระตุ้นไข่? ต้องระวังอะไรบ้าง?
A: เหมาะกับผู้มีภาวะไข่ไม่ตก/เตรียมทำ ICSI/IUI หรือจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนไข่ ไม่เหมาะในภาวะไทรอยด์ยังไม่คุม โรคหัวใจ/ไตวาย มะเร็งไวต่อฮอร์โมน หรือเคยแพ้ยา ควรฉีดตรงเวลา ดื่มน้ำพอ พักผ่อนเพียงพอ เลี่ยงออกกำลังกายหนัก แอลกอฮอล์และบุหรี่ และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น
เริ่มต้นการรักษาภาวะมีบุตรยาก ปรึกษาการใช้ฉีดยากระตุ้นไข่กับแพทย์จาก VFC Center ได้ที่นี่
บทความโดย แพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.