ภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป หรือ Ovarian Hyperstimulation Syndrome (OHSS) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ ยากระตุ้นไข่มากเกินไป ในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำ ICSI โดยรังไข่จะตอบสนองต่อยาอย่างรุนแรง ทำให้เกิดฟอลลิเคิลจำนวนมาก ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงผิดปกติ และมีน้ำรั่วออกจากหลอดเลือดไปสะสมในช่องท้องหรือช่องปอด ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักเพิ่ม และในรายรุนแรงอาจเกิดลิ่มเลือดอุดตันหรือไตวายได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถป้องกันและควบคุมได้ หากได้รับการประเมินความเสี่ยง วางแผนการใช้ยาอย่างเหมาะสม และติดตามอาการอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
ในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วหรือการทำ ICSI ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการกระตุ้นรังไข่ เพื่อให้ได้ไข่หลายใบในรอบเดียว จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ได้ตัวอ่อนที่แข็งแรงมากขึ้น แต่สำหรับบางคน รังไข่อาจตอบสนองต่อยากระตุ้นไวผิดปกติ ส่งผลให้เกิดฟอลลิเคิล (ถุงน้ำบรรจุไข่ที่กำลังพัฒนา) จำนวนมาก อีกทั้งฮอร์โมนที่สูงขึ้น ยังจะนำไปสู่ภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป หรือในทางการแพทย์เรียกว่าภาวะ Ovarian Hyperstimulation Syndrome (OHSS) ได้
ความสำคัญของการกระตุ้นไข่และยากระตุ้นไข่
การกระตุ้นไข่เป็นขั้นตอนพื้นฐานของการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อให้ในหนึ่งรอบสามารถเก็บไข่ได้มากกว่าตามธรรมชาติ ซึ่งมักตกไข่เพียง 1 ใบต่อรอบเดือน การใช้ยากระตุ้น เช่น FSH หรือ hMG จึงช่วยกระตุ้นให้มีฟอลลิเคิลเติบโตหลายใบพร้อมกัน ส่งผลให้สามารถสร้างตัวอ่อนจำนวนมากขึ้นและคัดเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุดสำหรับการย้ายเข้าโพรงมดลูก
อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นรังไข่ต้องอาศัยการติดตามอัลตราซาวนด์และระดับฮอร์โมนอย่างใกล้ชิด เพราะการตอบสนองที่มากเกินไป อาจทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงผิดปกติ และเกิดการขยายตัวของรังไข่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ภาวะ OHSS หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม
ลดความเสี่ยงภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไป ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ที่ VFC Center
ภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไปคืออะไร ?
ภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไปหรือ OHSS เกิดขึ้นเมื่อรังไข่ตอบสนองต่อยากระตุ้นสูงกว่าที่คาดไว้ เช่น มีจำนวนฟอลลิเคิลมากกว่า 15-20 ใบ หรือระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงผิดปกติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนว่าคนไข้อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการกระตุ้นไข่ได้
เมื่อรังไข่ที่ถูกกระตุ้นทำงานเกินปกติ จะปล่อยสารที่เพิ่มความสามารถในการซึมผ่านของหลอดเลือด (เช่น VEGF) ทำให้น้ำรั่วออกจากเส้นเลือดไปสะสมในช่องท้องหรือช่องปอด ส่งผลให้เกิดอาการท้องแน่น หายใจลำบาก และปัสสาวะน้อยลงในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไป
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งรังไข่มีการตอบสนองได้ไวกว่าผู้ที่มีอายุมากกว่า
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือค่า BMI ต่ำ
- ผู้ที่มีระดับฮอร์โมน AMH หรือ AFC สูง
- ผู้ที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)
- ผู้ที่ได้รับยากระตุ้นไข่มากเกินไป
- ผู้ที่เคยมีประวัติภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไปในรอบก่อน
ภาวะแทรกซ้อนจากการกระตุ้นไข่ที่ต้องระวัง
เมื่อรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่
- รังไข่โตและตึงผิดปกติ ทำให้มีอาการแน่นท้อง ปวดท้อง
- ท้องอืดจากการมีน้ำคั่งในช่องท้อง
- คลื่นไส้ อาเจียน กินอาหารได้น้อย
- น้ำหนักขึ้นรวดเร็วภายในไม่กี่วัน
- ปัสสาวะลดลง
- เหนื่อยง่าย หายใจลำบากเมื่อมีน้ำในช่องปอด
- ในรายที่รุนแรง อาจเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน ไตวาย หรือมีภาวะช็อกได้
ผลกระทบจากภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไป
ภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกาย แต่ยังมีผลต่อแผนการรักษาและอารมณ์ของผู้เข้ารับการรักษาด้วย
1. ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย
มีอาการท้องอืด ปวดท้อง แน่นหน้าอก หรือปัสสาวะน้อย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียและต้องการการดูแลใกล้ชิด หากรุนแรงถึงขั้นมีน้ำในช่องท้องหรือช่องปอด อาจต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อให้สารน้ำและเฝ้าระวังการทำงานของไต
2. ผลกระทบต่อแผนการทำ ICSI
ในบางกรณี แพทย์อาจต้องปรับเปลี่ยนแผนกลางคัน เช่น ลดขนาดยาหรือหยุดยาเพื่อควบคุมระดับฮอร์โมน และย้ายตัวอ่อนแช่แข็งแทนรอบสดเพราะเยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัว ทำให้ระยะเวลาในกระบวนการทำ ICSI ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
วางแผนใช้ยากระตุ้นไข่ในปริมาณเหมาะสม แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ยินดีให้คำปรึกษา
วิธีรักษาภาวะรังไข่ตอบสนองต่อยากระตุ้นไข่มากเกินไป
เมื่อตรวจพบสัญญาณของภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไป แพทย์จะเลือกแนวทางรักษาที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของอาการ เช่น
กรณีอาการไม่รุนแรง ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้องเล็กน้อย
แพทย์อาจพิจารณาให้ดูแลตัวเองที่บ้าน พร้อมนัดติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยต้องปรับพฤติกรรม ดังนี้
- ดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ให้เพียงพอ
- พักผ่อน ลดกิจกรรมที่ต้องใช้แรง
- ชั่งน้ำหนักและวัดรอบเอวทุกวัน
- สังเกตปริมาณปัสสาวะ หากน้อยลงต้องแจ้งแพทย์ทันที
กรณีอาการรุนแรงปานกลาง ท้องอืดมาก น้ำหนักขึ้นเร็ว ปัสสาวะน้อย
ควรเข้ารับการดูแลในโรงพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน แนวทางการรักษา ได้แก่
- ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด เพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย
- ประเมินการทำงานของไตและภาวะขาดน้ำ
- ตรวจเลือดดูความเข้มข้นของเลือด
- เฝ้าระวังน้ำเกลือแร่ในร่างกายให้สมดุล
- อาจให้ยาเพื่อลดความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน
กรณีอาการรุนแรง หายใจลำบาก ท้องโตมาก ปวดท้องหรือเวียนหัวมาก
ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเร่งด่วน แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับอาการ เช่น
- เจาะระบายน้ำในช่องท้องเพื่อลดอาการแน่นท้องและช่วยให้หายใจดีขึ้น
- ให้ยาเพื่อป้องกันหรือลดโอกาสเกิดลิ่มเลือด
- ดูแลภาวะไตวายหรือความผิดปกติของระบบเกลือแร่
- ประเมินการทำงานของปอดและหัวใจอย่างต่อเนื่อง
ภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไปเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มี AMH สูงหรือเป็น PCOS แต่ก็สามารถควบคุมและป้องกันได้เช่นกัน หากเลือกวางแผนการตั้งครรภ์และรักษาภาวะมีบุตรยากร่วมกับศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากที่ได้มาตรฐานสากล
ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) เราพร้อมช่วยให้คำปรึกษาและดูแลคุณอย่างใกล้ชิด ออกแบบแผนการรักษาภาวะมีบุตรยากให้เหมาะกับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ มีประสบการณ์สูง ทุกขั้นตอนอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
อาการแบบไหนถือว่าเป็นอาการปกติหลังการกระตุ้นไข่ ?
A: หลังการกระตุ้นไข่ ฝ่ายหญิงมักมีอาการท้องอืด แน่นท้องเล็กน้อย ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย คล้ายก่อนมีประจำเดือน รวมถึงอาจรู้สึกอ่อนเพลียหรือคัดตึงเต้านม อาการเหล่านี้มักดีขึ้นภายใน 2-5 วัน และถือว่าเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป
ภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไปทำให้คุณภาพไข่ลดลงหรือไม่ ?
A: ไม่เสมอไป แต่หากฮอร์โมนสูงมากจนร่างกายเครียดหรือมีอาการบวมของรังไข่ อาจกระทบต่อสภาพแวดล้อมของการเจริญเติบโตของไข่บางส่วนได้
การทำงานหนัก นอนดึก เครียดมาก เป็นปัจจัยก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการกระตุ้นไข่หรือไม่ ?
A: ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรง แต่ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการใช้แรงมาก อาจทำให้มีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือปวดท้องรุนแรงขึ้น แพทย์จึงมักแนะนำให้พักผ่อนมาก ๆ ในช่วงกระตุ้นไข่เพื่อความปลอดภัย
หากเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการกระตุ้นไข่แล้ว ยังสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติหรือไม่ ?
A: สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี และเมื่อร่างกายฟื้นตัวโดยสมบูรณ์แล้ว แพทย์จะวางแผนการกระตุ้นไข่ครั้งถัดไปให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไปซ้ำ
หลังเกิดภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไป ฝ่ายหญิงควรงดกิจกรรมใดบ้าง ?
A: ควรงดกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง เช่น กระโดด วิ่งเร็ว ยกของหนัก หรือออกกำลังกายอย่างหนัก 2-4 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการบวมของรังไข่จะลดลง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่รังไข่ขยายใหญ่และเสี่ยงต่อการบิดตัวได้ง่าย ควรกลับมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อได้รับคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น
บทความโดย แพทย์หญิงศรมน ทรงวีรธรรม
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.