
“เป็นโรค PCOS มีลูกได้ไหม ?” คำถามนี้อาจกำลังอยู่ในใจของผู้หญิงหลายคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่ากำลังเผชิญกับโรคนี้อยู่ เพราะการมีลูกและได้ทำหน้าที่ ‘แม่’ อย่างสมบูรณ์แบบนั้น ถือเป็นความฝันของผู้หญิงหลายคน แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่ การตั้งครรภ์อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ทั้งยังเต็มไปด้วยความกังวลและเกิดคำถามมากมายว่าตนเองจะสามารถมีลูกได้หรือไม่
จากสถิติพบว่า 6–13% ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์เป็นโรค PCOS ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีโอกาสเป็นแม่ได้เลย บทความนี้จะมาไขทุกข้อสงสัยว่าผู้ป่วยโรค PCOS มีลูกได้ไหม พร้อมแนวทางการรักษาที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่คุณควรรู้
โรค PCOS คืออะไร อาการเป็นอย่างไร ?
โรค PCOS (Polycystic ovary syndrome) คือ ความผิดปกติของระบบฮอร์โมน ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีถุงน้ำในรังไข่หลายใบ และส่งผลให้รังไข่ทำงานผิดปกติ โดยภาวะนี้เป็นหนึ่งในปัญหาทางระบบต่อมไร้ท่อที่พบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) มากเกินไป ร่วมกับความไม่สมดุลของฮอร์โมนอินซูลิน
ภาวะ PCOS มักส่งผลกระทบต่อการทำงานของรังไข่ ทำให้เกิดความผิดปกติในการตกไข่ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากได้ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบเมตาบอลิซึมของร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจในระยะยาว
โดยอาการของโรค PCOS จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่หลัก ๆ แล้วจะประกอบด้วยกลุ่มอาการดังนี้
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยอาจมาห่างกันกว่าปกติ มาน้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี หรือขาดประจำเดือน เนื่องจากการตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีการตกไข่
- มีภาวะน้ำหนักเกิน มักพบว่าผู้ป่วย PCOS มีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- มีฮอร์โมนเพศชายเกิน โดยแสดงออกมาในรูปแบบของ ผิวหน้ามัน, ขนดก, สิวขึ้นบ่อย, ผมร่วง และศีรษะล้าน
การวินิจฉัยโรค PCOS
การวินิจฉัยโรค PCOS มักอาศัยการตรวจร่างกาย การตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมน และการตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องเพื่อดูลักษณะของรังไข่ โดยแพทย์จะพิจารณาจากเกณฑ์การวินิจฉัยที่เรียกว่า Rotterdam criteria ซึ่งต้องมีอาการอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อต่อไปนี้
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือไม่มีการตกไข่
- มีอาการของภาวะฮอร์โมนเพศชายสูง (จากการตรวจร่างกายหรือผลเลือด)
- พบถุงน้ำหลายใบในรังไข่จากการตรวจอัลตราซาวนด์
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค PCOS
โรค PCOS เกิดจากหลายปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบฮอร์โมนและรังไข่ ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก ได้แก่
- ฮอร์โมนแอนโดรเจนสูง – ผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปมักมีอาการที่สังเกตได้ เช่น ขนดก ผมร่วง ผิวมัน และเป็นสิวง่าย ผู้ที่มีอาการเหล่านี้อาจเป็นโรค PCOS ซึ่งอาจส่งผลให้การมีบุตรเป็นเรื่องยาก
- ภาวะดื้ออินซูลิน – เมื่อร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ทำให้เกิดการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนมากเกินไป จนไปรบกวนการตกไข่และทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ภาวะดื้ออินซูลินถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรค PCOS และส่งผลต่อการมีลูก
- น้ำหนักเกิน – ผู้ป่วยโรค PCOS มักมีน้ำหนักเกินจากภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น การลดน้ำหนักอาจช่วยให้ผู้ป่วยที่เกิดภาวะถุงน้ำในรังไข่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้น
- พันธุกรรม – หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรค PCOS โอกาสที่ลูกสาวจะเป็นโรคนี้ก็จะสูงขึ้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการมีบุตรตั้งแต่เนิ่น ๆ
โรค PCOS รักษาหายไหม ?
หากถามว่า โรค PCOS รักษาหายไหม ? คำตอบคือ โรค PCOS ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและจัดการกับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ที่เป็นโรค PCOS สามารถรักษาอาการให้ดีขึ้นได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การรับประทานยา และการรักษาทางการแพทย์
พบโรคถุงน้ำในรังไข่ มีลูกได้ไหม : โรค PCOS ส่งผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไร ?
สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับโรค PCOS หรือโรคถุงน้ำรังไข่แล้วเกิดความสงสัยว่า เป็นโรคถุงน้ำในรังไข่แล้วมีลูกได้ไหม ? คำตอบคือ “มีได้” เพราะแม้ว่าจะเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้เมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
อย่างไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจถึงภาวะของการเกิดโรคเสียก่อน เนื่องจากโรค PCOS นั้นถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ในหลายด้าน ดังนี้
- ปัญหาการตกไข่ – ภาวะถุงน้ำรังไข่กับการตั้งครรภ์มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง เนื่องจากผู้ป่วย PCOS มักมีภาวะการตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่มีการตกไข่เลย ซึ่งเมื่อไม่มีการตกไข่ อสุจิก็จะไม่สามารถเข้าไปผสมได้ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติลดลงอย่างมาก
- ความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์ – ผู้ที่เป็นโรค PCOS และเกิดการตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น
- ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
- เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes)
- การคลอดก่อนกำหนด
- ความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูงขึ้น
- ผลกระทบจากฮอร์โมนเพศชายที่สูง – ผู้ป่วย PCOS จะมีระดับฮอร์โมนเพศชายที่สูงกว่าปกติ ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของฮอร์โมนอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์ ทำให้การรักษาสภาพการตั้งครรภ์เป็นไปได้ยากขึ้น
- ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระยะยาว – โรค PCOS ยังทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการเกิดเยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น เนื่องจากประจำเดือนมาไม่ปกติ ทำให้ไม่มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกเหมือนกับคนทั่วไป ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
สรุปชัด เป็นโรค PCOS แล้วมีลูกได้ไหม ?
โรค PCOS ทำให้มีลูกยากไหม ? แม้จะมีความท้าทายบ้าง แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน “ผู้ป่วยโรค PCOS สามารถมีลูกได้” แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสี่ยงและลดโอกาสเกิดอันตรายกับทั้งคุณแม่และลูกน้อย
โดยภาวะ PCOS ควรที่จะได้รับการรักษาให้อาการดีขึ้นและพร้อมสำหรับการมีบุตร ซึ่งทาง VFC Center (V-Fertility Center) ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร พร้อมดูแลให้บริการรักษาผู้ที่มีภาวะ PCOS ด้วยการเน้นการรักษาเพื่อให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพมากพอที่จะนำไปใช้ในกระบวนการ ICSI หรือการกระตุ้นไข่ IUI ต่อไป
แนวทางรักษาภาวะมีบุตรยากสำหรับผู้ป่วยเป็นโรค PCOS
แนวทางการรักษาผู้ป่วยโรค PCOS ที่อยากมีลูกจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุ และปัจจัยอื่น ๆ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการวางแผนการมีบุตรสำหรับผู้ป่วย PCOS
โดยการรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้ป่วย PCOS มีขั้นตอนดังนี้
- การประเมินเบื้องต้น
การประเมินเบื้องต้น จะช่วยให้แพทย์เข้าใจถึงระดับความรุนแรงของภาวะถุงน้ำรังไข่ที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในแต่ละราย โดยจะใช้วิธีเหล่านี้ในการช่วยประเมินอาการ
-
- ซักประวัติ แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับประวัติการมีประจำเดือน ประวัติการตั้งครรภ์ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ PCOS
- ตรวจร่างกาย เพื่อประเมินสภาพร่างกายโดยรวม รวมถึงดัชนีมวลกาย (BMI) และสัญญาณของภาวะฮอร์โมนเพศชายสูง
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-
- ตรวจระดับฮอร์โมน เช่น FSH, LH, Estradiol, Testosterone, และ AMH เพื่อประเมินการทำงานของรังไข่และระดับฮอร์โมนเพศ
- ตรวจระดับน้ำตาลและอินซูลิน เพื่อประเมินภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- การตรวจอัลตราซาวนด์
อัลตราซาวนด์ช่องท้องเพื่อดูลักษณะของรังไข่และนับจำนวนฟอลลิเคิล ซึ่งเป็นถุงเล็ก ๆ ในรังไข่ที่บรรจุไข่ที่กำลังเจริญเติบโต
- การวางแผนการรักษา
โดยแพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมตามผลการตรวจและความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งอาจรวมถึง
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต อย่างการลดน้ำหนัก ปรับอาหารการกิน และออกกำลังกาย
- การใช้ยา เช่น ยากระตุ้นการตกไข่ (Clomiphene หรือ Letrozole) หรือยาควบคุมระดับน้ำตาล (Metformin)
- เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น IUI, IVF, หรือ ICSI
- การกระตุ้นการตกไข่
ถ้าจำเป็นอาจใช้ยากระตุ้นการตกไข่ร่วมกับการติดตามการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิลด้วยอัลตราซาวนด์ และอาจใช้ฮอร์โมน hCG เพื่อกระตุ้นการตกไข่ในจังหวะที่เหมาะสม
- การทำ IVF หรือ ICSI
หากจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วยในการมีบุตรอย่างการทำ IVF หรือ ICSI ทีมแพทย์จะทำการเก็บไข่ที่มีคุณภาพเพื่อนำมาผสมกับอสุจิในห้องปฏิบัติการ และติดตามการเจริญเติบโตของตัวอ่อนก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกต่อไปตามกระบวนการ IVF หรือ ICSI
- การติดตามผลและดูแลต่อเนื่อง
การติดตามผลและดูแลต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมถึงการตรวจการตั้งครรภ์ ติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และการให้คำแนะนำในการดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์สำหรับผู้ป่วย PCOS ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้ป่วย PCOS
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ PCOS และการมีบุตร
1. PCOS มีลูกยากไหม และควรเตรียมตัวอย่างไร ?
PCOS มีลูกยากไหม เป็นคำถามที่ผู้ป่วยหลายคนกังวล ความจริงแล้วแม้จะมีความท้าทายมากกว่าคนปกติ แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ป่วย PCOS สามารถมีลูกได้สำเร็จ การเตรียมตัวที่ดีและการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ
2. อายุมีผลต่อการตั้งครรภ์ในผู้ป่วย PCOS หรือไม่ ?
อายุเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของผู้ป่วย PCOS และผู้หญิงทั่วไป โดยปริมาณและคุณภาพของไข่จะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ป่วยโรค PCOS ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี มักมีโอกาสประสบความสำเร็จในการรักษาภาวะมีบุตรยากสูงกว่า ดังนั้นหากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค PCOS และอยากมีลูก การวางแผนตั้งครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้มากขึ้น
3. การลดน้ำหนักช่วยให้ผู้ป่วย PCOS มีลูกได้ง่ายขึ้นจริงหรือไม่ ?
ใช่ การลดน้ำหนักช่วยได้จริง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้นสามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดภาวะดื้ออินซูลิน และฟื้นฟูการตกไข่ตามธรรมชาติได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแพทย์มักแนะนำให้ผู้ที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่และอยากมีลูก ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและควบคุมน้ำหนักร่วมด้วย
4. หากป่วยเป็น PCOS และกำลังพยายามตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เมื่อใด ?
หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค PCOS และกำลังวางแผนมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชหรือด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ต้องรอเวลาให้ล่วงเลย หรือพยายามมีบุตรเองนานเกินไป เพราะผู้ป่วยที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่จะมีลูกได้ง่ายขึ้นเมื่อได้รับการดูแลและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น
โดยทั่วไป หากคุณมีอายุต่ำกว่า 35 ปีและพยายามตั้งครรภ์เองมาแล้ว 6-12 เดือนโดยไม่สำเร็จ หรือมีอายุมากกว่า 35 ปีและพยายามมาแล้ว 3-6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
สำหรับใครที่ประสบปัญหามีบุตรยากจากการเป็นโรค PCOS หรือปัญหาอื่น ๆ สามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร ซึ่งเป็นศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากที่ได้รับการรับรองมาตรฐานรายโรคเกี่ยวกับการรักษาผู้มีบุตรยากแห่งแรกของโลก (CCPC) บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัย ไปจนถึงทำการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เราพร้อมอยู่เคียงข้างคุณจนประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline : 082-903-2035
Line : @vfccenter
บทความโดยแพทย์หญิงศรมน ทรงวีรธรรม
แหล่งอ้างอิง
- PCOS and pregnancy. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 จาก https://www.pregnancybirthbaby.org.au/pcos-and-pregnancy

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.