รวมข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจทำลูกแฝด ว่าที่คุณพ่อคุณแม่เช็กเลย !
เรียนรู้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีลูกแฝด วิธีเพิ่มโอกาสในการมีลูกแฝด และความเสี่ยงที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำลูกแฝด พร้อมคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางด้านการมีบุตร...
ฮอร์โมน FSH คืออะไร ? ความสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์และการมีบุตร
ฮอร์โมน FSH คือกุญแจสำคัญของการมีบุตร มาทำความเข้าใจค่าปกติของฮอร์โมน FSH พร้อมวิธีการดูแลตัวเองเพื่อปรับปรุงระดับฮอร์โมน FSH อย่างมีประสิทธิภาพ...
เริ่มชีวิตคู่อย่างมั่นใจ ด้วยการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน
เตรียมพร้อมชีวิตคู่ด้วยการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน ช่วยป้องกันโรคและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในครอบครัว สร้างความมั่นใจในทุกก้าวของการวางแผนครอบครัว...
รู้ชัด! ผลกระทบจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต่อการตั้งครรภ์
สุขภาพทางเพศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่มักถูกมองข้ามไป คือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์และอาจเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว การได้รู้และทำความเข้าใจถึงภาวะของโรคและการรักษา นอกจากจะช่วยให้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อลูกน้อยที่เกิดมา ยังจะทำให้เข้าใจว่า หากเคยติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน จะยังสามารถมีบุตรได้หรือไม่ หรือควรต้องวางแผนอย่างไร เพื่อให้มีลูกได้สำเร็จ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยาก การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections - STIs) เป็นกลุ่มโรคที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา ซึ่งแม้ว่าบางโรคอาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน รวมถึงภาวะมีบุตรยาก ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ผลกระทบจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต่อภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สามารถส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อความสามารถในการตั้งครรภ์ ดังนี้ 1. ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease - PID) ภาวะนี้เกิดจากการติดเชื้อที่มีการแพร่กระจายจากช่องคลอดถึงอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์โดยตรง เช่น ทำให้ท่อนำไข่อุดตัน ซึ่งอาจทำให้การเดินทางของไข่ไปถึงมดลูกไม่สมบูรณ์ หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก 2. ท่อนำไข่อุดตัน การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดการอักเสบในท่อนำไข่ ที่อาจส่งผลทำให้ท่อนำไข่เกิดการอุดตัน จนขัดขวางการเดินทางของไข่ไปยังมดลูก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโอกาสการตั้งครรภ์ 3. ภาวะแท้งบุตร หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก การติดเชื้อในผู้หญิงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแท้งบุตร หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก โดยเฉพาะเมื่อท่อนำไข่เกิดความเสียหายจากการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ ผลกระทบจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต่อภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย เช่นเดียวกับผู้หญิง การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ก็สามารถส่งผลต่อความสามารถในการมีบุตรในผู้ชายได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการติดเชื้อมีผลต่อคุณภาพของน้ำอสุจิ ซึ่งจะกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้อย่างมาก 1. การอักเสบของท่ออสุจิ (Epididymitis) การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในผู้ชายอาจทำให้ท่ออสุจิอักเสบ ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอสุจิและความสามารถในการผสมพันธุ์ การอักเสบในท่ออสุจิยังจะลดความสามารถในการขนส่งน้ำอสุจิจากอัณฑะไปยังท่อฉีดของอสุจิ 2. การอักเสบของต่อมลูกหมาก (Prostatitis) การอักเสบในต่อมลูกหมากจากการติดเชื้ออาจทำให้น้ำอสุจิมีคุณภาพต่ำ หรือส่งผลต่อการผลิตน้ำอสุจิให้แข็งแรงและมีความสามารถในการปฏิสนธิ 3. ความผิดปกติของน้ำอสุจิ นอกจากนี้ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ยังอาจส่งผลต่อการผลิตน้ำอสุจิโดยตรง เช่น การลดความหนืด ความเข้มข้นของอสุจิ หรือการเคลื่อนไหวของอสุจิที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้การตั้งครรภ์ยากขึ้น โรคทางเพศสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์...
ภาวะผนังมดลูกบาง : เข้าใจปัญหาเพื่อเพิ่มโอกาสมีบุตร
ภาวะผนังมดลูกบางคือสาเหตุหลักของการมีบุตรยาก มาเข้าใจถึงสาเหตุ การวินิจฉัย และวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการมีบุตร ...
ทํากิฟต์ (GIFT) กับ เด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI) ต่างกันอย่างไร ?
การทํากิฟต์ (GIFT) กับ เด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI) ต่างกันอย่างไร ? รู้จักกระบวนการของ GIFT, IVF และ ICSI พร้อมเปรียบเทียบข้อแตกต่างในแต่ละเทคนิค...
น้ำอสุจิน้อย ท้องได้หรือไม่ ? เข้าใจสาเหตุและรู้วิธีป้องกัน
น้ำอสุจิน้อย ท้องได้หรือไม่ ? ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับปริมาณอสุจิที่มีผลต่อการมีบุตร สาเหตุและวิธีการป้องกัน พร้อมแนวทางการเพิ่มโอกาสในการมีบุตร...
เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ในวัย 35+ ด้วยการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน
การตั้งครรภ์ในวัยที่มากขึ้นเป็นเรื่องที่คู่รักหลายคู่กังวลใจ เพราะเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากและโรคทางพันธุกรรมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจมีโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมในตัวอ่อนมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่การตรวจคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว หรือ PGT-A (Preimplantation Genetic Testing for Aneuploidy) กลายเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์สมบูรณ์ และลดความเสี่ยงจากการแท้งบุตรที่เกิดจากสาเหตุตัวอ่อนที่มีโครโมโซมผิดปกติ การตรวจโครโมโซม PGT-A คืออะไร? PGT-A (Preimplantation Genetic Testing for Aneuploidy) หรือการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน คือ กระบวนการที่ใช้ในการคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อน โดยการตรวจนี้จะตรวจคัดกรองโครโมโซมทั้ง 23 คู่ เพื่อหาความผิดปกติที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาของทารกในระยะยาว เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome), กลุ่มอาการพาทู (Patau Syndrome) และกลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด (Edward Syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่พบได้บ่อย โดย PGT-A จะช่วยเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมสมบูรณ์ก่อนการฝังตัวในมดลูก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม พร้อมกับช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ได้ ทำไมการตรวจ PGT-A ถึงสำคัญสำหรับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี? เมื่อผู้หญิงมีอายุเพิ่มขึ้น การผลิตไข่ของร่างกายจะเริ่มลดลง ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในไข่ เช่น การมีโครโมโซมเกิน หรือขาด ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมในตัวอ่อน การตรวจโครโมโซม PGT-A จึงมีความสำคัญ ดังนี้ 1. ลดโอกาสในการมีโครโมโซมผิดปกติ เมื่อผู้หญิงมีอายุเกิน 35 ปี โอกาสที่ตัวอ่อนจะมีโครโมโซมผิดปกติจะสูงขึ้น โดยเฉพาะการเกิดกลุ่มอาการที่อาจส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีพัฒนาการที่ผิดปกติ การตรวจโครโมโซม PGT-A จะช่วยคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพ ทั้งยังลดความเสี่ยงของการได้ตัวอ่อนที่มีโครโมโซมผิดปกติที่จะส่งผลต่อทารก 2. การลดความเสี่ยงจากการแท้งบุตร การตรวจ...
Time-Lapse System ช่วยคัดเลือกตัวอ่อน เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
สำหรับคู่แต่งงานที่ประสบภาวะมีบุตรยาก การทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ คือการคัดเลือกตัวอ่อนซึ่งมีคุณภาพสูงที่สุด ที่ผ่านมา แพทย์และนักวิทยาศาสตร์จะต้องนำตัวอ่อนออกจากตู้อบ เพื่อตรวจสอบพัฒนาการเป็นระยะ ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อน จนนำไปสู่การตั้งครรภ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยี Time-lapse system เข้ามาช่วยติดตามพัฒนาการของตัวอ่อนได้อย่างละเอียดในแบบเรียลไทม์ โดยไม่รบกวนการเจริญเติบโตของตัวอ่อน ทั้งยังช่วยให้การคัดเลือกแม่นยำ เพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้มากยิ่งขึ้น ตัวอ่อนที่มีคุณภาพต้องมีลักษณะอย่างไร? การคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพ คือปัจจัยพื้นฐานของความสำเร็จในการฝังตัวในมดลูก และการตั้งครรภ์ โดยลักษณะของตัวอ่อนที่ดี ได้แก่ รูปร่างภายนอก (Morphology) ตัวอ่อนที่มีคุณภาพควรมีเซลล์ที่มีขนาดและรูปร่างเหมาะสม สมมาตร ไม่มีเศษเซลล์ (fragmentation) มากเกินไป เนื่องจากเศษเซลล์เหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงความเสียหาย หรือความผิดปกติของเซลล์ได้ นอกจากนี้ การจัดเรียงตัวของเซลล์อย่างเหมาะสม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยซึ่งบ่งชี้ถึงสุขภาพโดยรวมของตัวอ่อนได้อีกด้วย อัตราการแบ่งเซลล์ (Cell Division Rate) ตัวอ่อนที่มีคุณภาพควรมีการแบ่งเซลล์ในระยะเวลาที่เหมาะสม ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ การแบ่งเซลล์ที่เร็วเกินไปหรือช้าเกินไปอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในการพัฒนาของเซลล์ อัตราการแบ่งเซลล์อย่างเหมาะสม ยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงศักยภาพในการเจริญเติบโตของเซลล์ และการพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst) ที่พร้อมสำหรับการฝังตัว ความพร้อมของโครโมโซมในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์ (Chromosomal Competency) ลักษณะของโครโมโซมที่ผิดปกติ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่เกิดการฝังตัวของตัวอ่อน รวมถึงการแท้งซ้ำซาก หรือความพิการของทารกตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นการตรวจคัดกรองโครโมโซม ด้วยวิธี PGS/PGT-A (Preimplantation Genetic Screening/Testing for Aneuploidy) จึงเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ Time-Lapse System คืออะไร? Time-Lapse System คือเทคโนโลยีการเลี้ยงตัวอ่อนแบบใหม่ที่ใช้ตู้อบพิเศษ (EmbryoScope) ซึ่งมีกล้องถ่ายภาพอัตโนมัติแบบต่อเนื่องทุก 10-20 นาที โดยไม่จำเป็นต้องนำตัวอ่อนออกมาตรวจซ้ำแบบวิธีดั้งเดิมที่ใช้การส่องดูในช่วงเวลาต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการบันทึกวิดีโอแบบ...
รู้ทันอาการแท้งลูก และสาเหตุแท้งบ่อยที่ควรระวัง
การแท้งลูกเป็นประสบการณ์ที่กระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เฝ้ารอการมีลูกมาอย่างยาวนาน ซึ่งบางครั้งหลายคนอาจไม่ทราบว่าอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย คือสัญญาณเตือนของการแท้ง หากตรวจพบได้เร็วและได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ก็อาจช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้สำเร็จ บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการแท้งที่ควรรู้ พร้อมรู้ทันสาเหตุที่ทำให้แท้งบ่อย เพื่อการรับมืออย่างทันท่วงที อาการแท้งลูกที่ควรรู้ สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม การแท้งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาการแท้งที่พบบ่อย ได้แก่ มีเลือดออกจากช่องคลอด เริ่มจากเลือดสีน้ำตาลจาง ๆ ไปจนถึงเลือดแดงสด มีอาการปวดท้องน้อยหรือปวดหลังอย่างต่อเนื่อง คล้ายอาการปวดประจำเดือนแต่รุนแรงกว่า มีของเหลวหรือชิ้นเนื้อขนาดเล็กออกมาทางช่องคลอด อาการแพ้ท้องที่เคยมีหายไปอย่างรวดเร็ว เช่น รู้สึกคลื่นไส้ลดลง เต้านมไม่คัดตึง หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและประเมินสภาพของครรภ์ทันที แท้งบ่อยเกิดจากอะไร? ภาวะแท้งบ่อย หรือการแท้งติดต่อกันหลายครั้งไม่ใช่เรื่องปกติ และควรได้รับการตรวจอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุ มีดังนี้ ความผิดปกติทางพันธุกรรม เกิดจากโครโมโซมหรือยีนที่ผิดปกติของไข่หรืออสุจิ ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถพัฒนาได้ตามปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของการแท้งบ่อยที่พบได้มากที่สุด ความผิดปกติของมดลูก หากมดลูกมีผนังกั้น โพรงมดลูกผิดรูป หรือมีพังผืด อาจส่งผลให้การฝังตัวของตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ หรือเกิดการหลุดออกง่าย ปัญหาฮอร์โมน ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน อย่าง ภาวะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำ มีผลต่อการเตรียมผนังมดลูกให้พร้อมกับการฝังตัว และ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการตกไข่และการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูก โรคประจำตัวเรื้อรัง โรคประจำตัวต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์ หรือภูมิคุ้มกันทำลายตัวอ่อน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดอาการแท้งได้เช่นกัน อายุของทั้งฝ่ายหญิงและชาย หากฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่า 35 ปี หรือฝ่ายชายมากกว่า 40 ปี โอกาสเกิดความผิดปกติของเซลล์ไข่และอสุจิจะเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการปฏิสนธิและพัฒนาการของตัวอ่อน การวินิจฉัยที่แม่นยำและการวางแผนการตั้งครรภ์ร่วมกับแพทย์ จะช่วยลดความเสี่ยงของการแท้งซ้ำและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรได้มากขึ้น แนวทางวินิจฉัยเมื่อแท้งบ่อย สำหรับผู้ที่มีประวัติแท้งซ้ำติดต่อกัน การตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างละเอียดถือเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนเริ่มต้นการตั้งครรภ์ใหม่ เพราะการแท้งบ่อยมักเกิดจากปัจจัยที่สามารถตรวจพบและแก้ไขได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางพันธุกรรม ฮอร์โมน โครงสร้างมดลูก หรือโรคประจำตัวบางชนิด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์จะวางแผนการตรวจอย่างครอบคลุม โดยพิจารณาจากประวัติทางการแพทย์ อายุของคู่สมรส จำนวนครั้งที่แท้ง รวมถึงลักษณะของการแท้งลูกแต่ละครั้ง เพื่อให้สามารถระบุปัจจัยเสี่ยง และเลือกแนวทางการรักษาหรือการวางแผนตั้งครรภ์ที่เหมาะสมที่สุดในครั้งถัดไป โดยมีแนวทางการตรวจวินิจฉัยดังนี้ ...