เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

การฝึกโยคะบำบัดสำหรับการเตรียมตั้งครรภ์

โยคะบำบัด วิธีธรรมชาติช่วยเสริมโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์

การเตรียมร่างกายก่อนตั้งครรภ์ถือเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนมีลูก เพราะร่างกายและจิตใจของคุณแม่มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของการตั้งครรภ์ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและมีผลวิจัยสนับสนุนก็คือ “การฝึกโยคะบำบัด” ซึ่งช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนหญิง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และเสริมการไหลเวียนของเลือดบริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้ร่างกายพร้อมต่อการปฏิสนธิและการฝังตัวของตัวอ่อน  สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวมีลูก การฝึกโยคะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อม ทั้งยังสามารถทำควบคู่ไปกับการตรวจความพร้อมมีบุตร เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของร่างกาย และพร้อมสำหรับการมีลูกในอนาคต  โยคะบำบัดช่วยในการวางแผนมีลูกอย่างไร? โยคะบำบัดไม่ใช่เพียงการออกกำลังกาย แต่เป็นศาสตร์ที่ช่วยสร้างสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งยังส่งผลโดยตรงต่อระบบสืบพันธุ์ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการปรับฮอร์โมนให้เหมาะสมและลดความเสี่ยงจากภาวะมีบุตรยาก โดยมีประโยชน์ดังนี้ เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในอวัยวะสืบพันธุ์ ท่าโยคะที่เน้นการยืดเหยียดและเปิดสะโพกจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังมดลูกและรังไข่ ส่งผลต่อคุณภาพไข่และความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกในการฝังตัว กระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานของเพศหญิง กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรงช่วยพยุงมดลูกและอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้การทำงานของระบบเจริญพันธุ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเครียดและความวิตกกังวล เทคนิคการหายใจและท่าผ่อนคลายขณะทำโยคะ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ซึ่งมีผลกระทบต่อการตกไข่และการตั้งครรภ์ ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนและระบบต่าง ๆ ในร่างกาย การฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อให้ทำงานได้อย่างสมดุล ส่งเสริมสุขภาพโดยรวม และเพิ่มโอกาสในการมีบุตร ปรึกษาแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก จาก VFC Center ได้ที่นี่   ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฝึกโยคะบำบัดเพื่อการตั้งครรภ์ แม้ว่าการฝึกโยคะบำบัดจะช่วยสร้างสมดุลให้แก่ร่างกาย แต่หากหักโหมเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บได้ เพราะฉะนั้นการเลือกช่วงเวลาและระดับความเข้มข้นในการฝึกจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการเตรียมความพร้อมให้แก่ร่างกาย  ช่วงเตรียมร่างกายก่อนตั้งครรภ์ ระยะนี้ร่างกายยังไม่ได้อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ การฝึกโยคะสามารถทำได้ค่อนข้างหลากหลายและเข้มข้น แต่ควรเน้นไปที่การเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณอุ้งเชิงกราน ยืดกล้ามเนื้อสะโพก และผ่อนคลายจิตใจ การฝึกอย่างสม่ำเสมอ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 10-15 นาที จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนหญิงและเสริมความแข็งแรงของร่างกายให้พร้อมต่อการปฏิสนธิ ช่วงระหว่างกระตุ้นไข่และการเก็บไข่ สำหรับผู้ที่เข้าสู่กระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (ICSI) ร่างกายจะตอบสนองต่อยาฮอร์โมน ทำให้รังไข่ขยายใหญ่ขึ้น ช่วงนี้ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่รุนแรงหรือท่าที่กดทับบริเวณท้องน้อย เนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะรังไข่บิด การฝึกที่เหมาะสมคือ ควรเลือกท่าโยคะที่เน้นการหายใจ ยืดเหยียดอ่อนโยน และการผ่อนคลายจิตใจ ทั้งนี้ควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือครูโยคะที่เข้าใจด้านสุขภาพการเจริญพันธุ์โดยเฉพาะ ท่าโยคะที่เหมาะสำหรับการเตรียมตั้งครรภ์ การเลือกท่าโยคะบำบัดที่เหมาะสมจะช่วยเสริมทั้งความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และสุขภาพจิตใจ ตัวอย่างท่าที่เหมาะมีดังนี้ ท่าที่ช่วยยืดสะโพกและอุ้งเชิงกราน ท่าผีเสื้อ (Baddha Konasana) วิธีทำ นั่งหลังตั้งตรง หันฝ่าเท้าชนทั้ง 2 ข้างประกบกัน เปิดเข่าออกไปด้านนอก โดยพยายามให้เข่าอยู่ติดพื้นมากที่สุด ใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับลงไปที่ข้อเท้า แล้วค่อย...

อาหารที่มีแร่ธาตุซิงก์ช่วยในการบำรุงอสุจิ

บทบาทของซิงก์ (Zinc) ต่อการบำรุงอสุจิและเพิ่มโอกาสมีบุตร

การบำรุงอสุจิเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ซึ่งหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของอสุจิก็คือ "แร่ธาตุซิงก์" แต่นอกจากจะดีต่อกระบวนการสร้างอสุจิแล้ว ยังมีบทบาทในการเสริมสร้างและปรับสมดุลเพศชาย สู่การเพิ่มโอกาสมีลูกอย่างที่ตั้งใจ  อย่างไรก็ดี การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบำรุงอสุจิด้วยซิงก์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในแง่ของการดูแลตนเอง และการเลือกรับประทานที่เหมาะสม เพื่อการเตรียมพร้อมร่างกายให้สมบูรณ์    ซิงก์คืออะไร? ซิงก์ (Zinc) เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเจริญเติบโตของเซลล์ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งการทำงานของฮอร์โมน แต่ซิงก์เป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุซิงก์อย่างสม่ำเสมอ  บทบาทของแร่ธาตุซิงก์กับอสุจิ การบำรุงอสุจิด้วยแร่ธาตุซิงก์เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากซิงก์มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการทำงานของอสุจิในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้ เสริมสร้างและกระตุ้นการเจริญเติบโตของอสุจิ ซิงก์เปรียบเสมือนผู้ช่วยคนสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาอสุจิจากเซลล์ต้นกำเนิดไปเป็นอสุจิที่มีความสมบูรณ์และมีความสามารถในการปฏิสนธิได้อย่างเต็มที่ เพิ่มจำนวนอสุจิและคุณภาพน้ำอสุจิ การขาดซิงก์อาจทำให้จำนวนอสุจิและคุณภาพของน้ำอสุจิลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการมีบุตรยาก แต่หากได้รับซิงก์อย่างเพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายสร้างอสุจิได้ในปริมาณที่เหมาะสมและมีคุณภาพดีขึ้น สนับสนุนการเคลื่อนไหวของอสุจิ  อสุจิต้องเคลื่อนที่เพื่อไปหาไข่ ดังนั้นความสามารถในการเคลื่อนไหวที่แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการได้รับซิงก์อย่างเพียงพอจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวของอสุจิ ทำให้อสุจิสามารถว่ายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ควบคุมระดับฮอร์เทสโทสเตอโรน ซิงก์มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีความสำคัญต่อการรักษาความสมดุลในระบบสืบพันธุ์ การได้รับแร่ธาตุซิงก์เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม จะส่งผลดีต่อสมรรถภาพทางเพศและการผลิตอสุจิโดยรวม ตรวจเช็กสุขภาพและระดับฮอร์โมนของร่างกาย เพื่อวางแผนการมีบุตรได้ที่นี่  ผลกระทบของการขาดซิงก์ต่ออสุจิและการมีบุตร การขาดซิงก์ในร่างกายจะมีผลกระทบต่อคุณภาพและจำนวนของอสุจิ และอาจทำให้ต้องเจอกับภาวะมีบุตรยากจากปัจจัยเหล่านี้   อสุจิลดลง รูปร่างผิดปกติ และเคลื่อนไหวช้า  เมื่อร่างกายขาดซิงก์ การสร้างอสุจิจะทำงานได้ไม่เต็มที่ อสุจิที่ถูกผลิตออกมาอาจมีจำนวนน้อยลง หรือมีรูปร่างผิดปกติ และเคลื่อนไหวได้ช้าลง ซึ่งลดโอกาสในการปฏิสนธิ  ผลเสียต่อฮอร์โมนเพศชาย  การขาดซิงก์อาจทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงจนส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ นำไปสู่การสร้างอสุจิที่ด้อยคุณภาพ  มีโอกาสเกิดภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย จากการตรวจวินิจฉัยพบว่า ผู้ชายที่มีปัญหาด้านการมีบุตร มักมีระดับซิงก์ในร่างกายต่ำกว่าคนปกติ ดังนั้นการเสริมแร่ธาตุซิงก์ให้แก่ร่างกาย จึงเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ ตรวจเช็กคุณภาพอสุจิ โดยแพทย์เฉพาะทาง พร้อมวางแผนการมีบุตรได้ที่นี่ วิธีบำรุงอสุจิด้วยแร่ธาตุซิงก์ รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุซิงก์สูง เลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุซิงก์ในชีวิตประจำวัน เช่น หอยนางรม เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และเมล็ดพืชต่าง ๆ  เสริมซิงก์ด้วยอาหารเสริม ในบางกรณี การรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดจากแร่ธาตุซิงก์ แต่ควรรับประทานภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้รับปริมาณที่เหมาะสมแก่ร่างกาย และหลีกเลี่ยงการได้รับปริมาณที่มากเกินไปซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เสริมซิงก์ให้ร่างกายอย่างเพียงพอ การได้รับซิงก์อย่างเพียงพอจะช่วยเสริมสุขภาพอสุจิและสมรรถภาพทางเพศอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ชายวัยผู้ใหญ่ควรได้รับซิงก์วันละ 11 มิลลิกรัม และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เนื่องจากจะไปขัดขวางการดูดซึมซิงก์เข้าสู่ร่างกาย ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับแนวทางการดูแลสุขภาพ เพิ่มโอกาสในการมีบุตรได้ที่นี่ สารอาหารอื่นที่ช่วยบำรุงอสุจิร่วมกับซิงก์ นอกจากซิงก์แล้ว ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงอสุจิอีก เช่น วิตามิน C...

อาหารที่คนนิยมรับประทานในช่วงเทศกาลกินเจ

แนะนำเคล็ดลับ กินเจอย่างไร ไม่กระทบต่อการวางแผนตั้งครรภ์

การรับประทานอาหารเจเป็นทางเลือกในการทำบุญและดูแลสุขภาพที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งมักจะมีการจำกัดการบริโภคเนื้อสัตว์และเน้นการรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชแทน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตร การรับประทานอาหารเจต้องได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ความสามารถในการมีบุตร และการวางแผนตั้งครรภ์ การกินเจคืออะไร ต้องงดเว้นอะไรบ้าง? เทศกาลกินเจ เป็นเทศกาลที่ผู้เข้าร่วมต้องบริโภคอาหารที่มาจากผักและไม่มีของคาวผสมเท่านั้น โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุกปี ซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทยเป็นเวลา 9 วัน คำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายเดียวกับ "อุโบสถ" ซึ่งในศาสนาพุทธนิกายมหายาน หมายถึงการถือศีลและกินอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับการรักษาศีล 8 ของชาวพุทธในไทยที่ไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวัน แต่การกินเจในปัจจุบันไม่ได้หมายถึงแค่การงดเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้น ยังรวมถึงการรักษาศีลและการดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์และสะอาดทั้งกาย วาจา ใจด้วย ผู้ที่เข้าร่วมจะงดการบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู เครื่องในสัตว์ น้ำปลา นม เนย รวมถึงหลีกเลี่ยงการบริโภคกระเทียม หัวหอม และเครื่องเทศบางชนิดที่บางวัดถือว่าเป็น "มลทิน" ซึ่งเชื่อว่าอาจขัดขวางการรักษาศีลและทำให้ไม่สะอาดทางจิตใจ การกินเจจึงไม่ได้เป็นเพียงการควบคุมอาหาร แต่เป็นการล้างสารพิษในร่างกายและการเสริมสร้างจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ สอดคล้องกับการทำบุญและการสร้างความเป็นสิริมงคลในชีวิตประจำวัน สิ่งที่คนกินเจต้องงดเว้น งดเว้นการบริโภคอาหารและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด งดเว้นการบริโภคผักกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่ กระเทียม ทั้งหัวและต้นกระเทียม หัวหอมทุกชนิด ประกอบด้วย หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ต้นหอม ใบหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ งดเว้นจากบุหรี่ สารเสพติด ของมึนเมาทุกชนิด ...

การตรวจ TORCH คือการคัดกรองเชื้อโรคที่อาจส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์

การตรวจ TORCH Infection คืออะไร กรณีไหนที่แพทย์ต้องส่งตรวจ?

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการตรวจ TORCH เป็นการตรวจสุขภาพที่ว่าที่คุณแม่และหญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรทำ แต่ความจริงแล้ว การตรวจ TORCH ไม่ใช่การตรวจคัดกรองมาตรฐานที่ทุกคนต้องทำ แต่แพทย์จะพิจารณาตรวจเพิ่มเติม หากพบความผิดปกติของทารกจากการตรวจอัลตราซาวนด์ หรือเมื่อคุณแม่มีอาการน่าสงสัยว่าอาจติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์  บทความนี้ จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจ TORCH ว่าคืออะไร มีโรคใดบ้างที่เข้าข่ายต้องตรวจเพิ่มเติม และเมื่อไหร่แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจ รวมถึงข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ เพื่อร่วมตัดสินใจกับแพทย์ได้อย่างเหมาะสม ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์สำเร็จได้ที่นี่ การตรวจ TORCH คืออะไร? การตรวจ TORCH infection คือการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อโรคที่อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ซึ่งการตรวจนี้เป็นเครื่องมือวินิจฉัยเฉพาะกรณีที่แพทย์จะใช้เมื่อมีความจำเป็นทางการแพทย์ ไม่ใช่การตรวจคัดกรองที่แนะนำให้ทำทุกคน TORCH เป็นคำย่อที่มาจากชื่อเชื้อโรค 5 กลุ่มหลัก ที่สามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ ประกอบด้วย รายชื่อเชื้อโรคในกลุ่ม TORCH T - Toxoplasmosis (โรคท็อกโซพลาสโมซิส) เกิดจากปรสิตที่พบในเนื้อดิบ ดินที่ปนเปื้อน และมูลแมว O - Other infections (เชื้อโรคอื่น ๆ) ได้แก่ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และเชื้อโรคอื่น ๆ ที่อันตราย R - Rubella (โรครูเบลลา) หรือที่เรียกว่าหัดเยอรมัน ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน C - Cytomegalovirus (ไซโตเมกาโลไวรัส) ไวรัสที่พบได้ทั่วไปแต่เป็นอันตรายสำหรับทารกในครรภ์ H - Herpes simplex virus (เฮอร์เปสซิมเพล็กซ์ไวรัส) ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเริม ผลกระทบของการติดเชื้อ TORCH ต่อทารกในครรภ์ เชื้อโรคในกลุ่ม...

อยากมีลูกควรเลี่ยง สารเคมีในน้ำหอมที่อาจเสี่ยงต่อการเก็บไข่ใส่ตัวอ่อน

สารเคมีในน้ำหอม ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเก็บไข่และตัวอ่อน

ปัจจุบันผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลือกใช้วิธีการเก็บไข่และใส่ตัวอ่อน (Embryo Transfer) เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในคู่สมรสที่มีภาวะมีลูกยาก แต่สิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงคือปัจจัยเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันอย่าง “การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำหอม” ที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพของไข่และตัวอ่อน เนื่องจากสารเคมีในน้ำหอมบางชนิดสามารถรบกวนระบบฮอร์โมนและกระบวนการสืบพันธุ์ได้ ทำไมน้ำหอมจึงส่งผลต่อการเก็บไข่และขั้นตอนใส่ตัวอ่อน? น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมมักประกอบด้วยสารระเหย (Volatile Organic Compounds: VOCs) เช่น Phthalates, Aldehydes และ Solvents เมื่อฉีด หรือทาลงบนร่างกาย สารเหล่านี้จะระเหยออกมาในอากาศ และสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ห้องแล็บที่เลี้ยงตัวอ่อนได้ แม้ในปริมาณที่เล็กน้อยก็ตาม ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในการรักษาภาวะมีลูกยาก เนื่องจากจะส่งผลกระทบในเรื่องต่อไปนี้ คุณภาพของไข่ลดลง เนื่องจาก VOCs สามารถรบกวนสภาพแวดล้อมในห้องแล็บ ทำให้ไข่บางใบไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่ การเจริญเติบโตของตัวอ่อนถูกรบกวน เนื่องจากตัวอ่อนอยู่ในระยะที่เซลล์แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว จึงไวต่อสารเคมี หากได้รับ VOCs แม้เพียงเล็กน้อย อาจลดโอกาสในการฝังตัว อัตราความสำเร็จของการทำ ICSI ลดลง โดยทั่วไปสถานพยาบาลที่ให้การรักษาภาวะมีบุตรยากทั่วโลก ต่างมีกฎเข้มงวดในการห้ามใช้น้ำหอม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการเลี้ยงตัวอ่อน มาตรการในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้การเก็บไข่และใส่ตัวอ่อนมีประสิทธิภาพสูงสุด ห้องปฏิบัติการของศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจึงต้องเป็นห้อง Clean Room ที่มีการควบคุมสภาพแวดล้อมอย่างเข้มงวด อีกทั้งภายในห้องแล็บยังจะมีระบบกรองอากาศขั้นสูงอย่าง HEPA และ Carbon Filter เพื่อป้องกันมลภาวะและรักษาคุณภาพอากาศให้สะอาดอยู่เสมอ และจะไม่อนุญาตให้นำผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมทุกชนิดเข้าไปในบริเวณดังกล่าวโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้ไข่และตัวอ่อนถูกทำลาย และเป็นการเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการรักษาภาวะมีลูกยากให้สูงที่สุด สิ่งที่ควรทำเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเก็บไข่และใส่ตัวอ่อน การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา โดยทำตามคำแนะนำจากแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น  หลีกเลี่ยงน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอม ในช่วงเตรียมตัวเข้ารับการรักษาปัญหามีลูกยากด้วยวิธี ICSI ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมทุกชนิด เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสารเคมีในน้ำหอม ไม่ว่าจะเป็นโลชั่น ครีมบำรุงผิว สเปรย์ฉีดผม น้ำหอม หรือแม้แต่น้ำยาปรับผ้านุ่มและสเปรย์ปรับอากาศ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีสารเคมีระเหยง่าย (Volatile Organic...

คู่รักมีลูกยาก ร่างกายปกติแต่ไม่ท้อง มีสาเหตุอะไร?

“ร่างกายปกติแต่ไม่ท้อง” เจาะปัจจัยที่อัลตราซาวนด์ตรวจไม่พบ

แม้ร่างกายจะดูแข็งแรง ประจำเดือนมาเป็นปกติ ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีภาวะผิดปกติทางกายภาพใด ๆ แต่หลายคู่สมรสกลับต้องเจอกับปัญหา “อยากท้องแต่ไม่ท้อง” โดยไม่ทราบสาเหตุ และเพื่อให้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของภาวะนี้ แพทย์อาจให้ความสนใจกับกลไกในระดับจุลภาคที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์หรือผลเลือดทั่วไป ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ไปขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน จนกลายเป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์  ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ แม้สุขภาพภายนอกจะดูปกติ คู่รักมีลูกยาก ในบางกรณีก็ไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุได้ เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจตรวจพบได้จากการตรวจหาความผิดปกติทั่วไป ไมโครอินฟลามเมชัน (Microinflammation) ไมโครอินฟลามเมชัน เป็นภาวะการอักเสบระดับต่ำที่มองไม่เห็นด้วยอัลตราซาวนด์ อาจส่งผลต่อการตอบสนองของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะการอักเสบนี้เกิดขึ้นในระดับเซลล์ที่มองไม่เห็นได้ด้วยเครื่องมือปกติ การตรวจไมโครอินฟลามเมชันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการวินิจฉัยสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก ภูมิคุ้มกันแปรปรวน (Immune Dysregulation) เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การทำงานที่มากเกินไปของ NK cell (Natural Killer cells) หรือความไม่สมดุลระหว่าง Th1/Th2 ที่มีความผิดปกติ ทำให้ส่งผลต่อการยอมรับตัวอ่อน โดยเฉพาะในกรณีที่ภูมิคุ้มกันมองว่าตัวอ่อนเป็นสิ่งแปลกปลอมและทำการป้องกัน ความเครียดจากระดับเซลล์ (Oxidative Stress) ความเครียดที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ (Oxidative Stress) อาจลดคุณภาพของไข่และตัวอ่อน ทำให้กระบวนการฝังตัวของตัวอ่อนไม่สมบูรณ์และอาจเป็นสาเหตุของการแท้งซ้ำซาก ซึ่งปัจจัยนี้ยังไม่สามารถตรวจพบได้ง่ายจากการตรวจเลือดทั่วไป   แนวทางการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำและลึกระดับเซลล์ การตรวจวินิจฉัยที่มีความแม่นยำสูงและเจาะลึกถึงระดับเซลล์ เป็นวิธีการที่สามารถตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ด้วยกระบวนการเหล่านี้  ERA Test (Endometrial Receptivity Analysis) คือการทดสอบที่ช่วยประเมินว่าผนังมดลูกพร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อนหรือไม่ โดยจะช่วยบ่งบอกว่าเยื่อบุโพรงมดลูกตอบสนองต่อฮอร์โมนได้อย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งการทดสอบนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเลือกเวลาฝังตัวอ่อนของคู่รักมีลูกยาก NK Cell Assay และ Cytokine Profiling: การตรวจวัดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของ NK cells ที่อาจรบกวนกระบวนการตั้งครรภ์ ส่วน Cytokine Profiling ใช้ในการวิเคราะห์และตรวจสอบความสมดุลระหว่างการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน  Hysteroscope Diagnosis: แนวทางการวินิจฉัยที่ช่วยในการมองเห็น...

กินอะไรบำรุงไข่ให้สมบูรณ์ เพิ่มความสำเร็จให้คู่รักที่อยากมีลูก

กินอะไรบํารุงไข่ให้สมบูรณ์ วางแผนให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์

เส้นทางสู่การเป็นคุณพ่อคุณแม่เริ่มต้นจากความหวังและความตั้งใจ ซึ่งการดูแลสุขภาพคือหัวใจสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิง การบำรุงคุณภาพของเซลล์ไข่ให้สมบูรณ์พร้อมสำหรับการปฏิสนธิคือหนึ่งในก้าวแรกที่สำคัญที่สุด โดยวิธีที่สามารถทำได้ คือการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม บทความนี้จึงจะพาไปสำรวจว่าควรกินอะไรบำรุงไข่ให้สมบูรณ์ ? เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุดสำหรับลูกน้อยในอนาคต ทำความเข้าใจ ทำไมอาหารมีผลต่อคุณภาพไข่? เซลล์ไข่ ต้องการสารอาหารที่เหมาะสมเพื่อการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ การได้รับสารอาหารที่เพียงพอจะช่วยให้เซลล์ไข่มีพลังงานสำหรับการพัฒนาตัวอ่อนที่เหมาะสมและช่วยให้โครโมโซมมีความสมบูรณ์ ลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยเซลล์ไข่จะใช้เวลาประมาณ 90-100 วันในการพัฒนาให้เจริญเติบโตเต็มที่ก่อนที่จะถูกปล่อยออกมาในรอบประจำเดือน ดังนั้น การเริ่มต้นดูแลโภชนาการและพฤติกรรมการใช้ชีวิตล่วงหน้าในช่วง 3-4 เดือนนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของเซลล์ไข่ที่จะถูกนำไปใช้ในการปฏิสนธิ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ หรือกระบวนการทำ ICSI ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการเจริญพันธุ์เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพบำรุงไข่ ตั้งแต่วันนี้   กินอะไรดีเพื่อบำรุงไข่ให้สมบูรณ์? การบำรุงสุขภาพของเซลล์ไข่สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เพราะอาหารที่เราเลือกทานในแต่ละวันคือแหล่งพลังงานและสารอาหารสำคัญที่จะช่วยให้เซลล์ไข่เจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และมีคุณภาพพร้อมสำหรับการปฏิสนธิ ทั้งยังเป็นการเตรียมตัวมีบุตรให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด ลองมาดูกันว่ามีอะไรที่ควรเน้นและอะไรที่ควรหลีกเลี่ยงบ้าง  เจาะสารอาหารหลักที่สำคัญ เพื่อสร้างเซลล์ไข่ที่สมบูรณ์ อาหารที่เลือกทานควรมีสารอาหารที่จำเป็น ดังต่อไปนี้ สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเซลล์ไข่จากความเสียหายที่เกิดจาก ความเครียดออกซิเดทีฟ (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำลายคุณภาพของไข่ สารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยลดการทำลายของเซลล์ และรักษาความสมบูรณ์ของไมโทคอนเดรีย (แหล่งพลังงานของเซลล์) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเซลล์ไข่ที่แข็งแรง กรดโฟลิก (Folic Acid) วิตามินบี 9 ชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสังเคราะห์ DNA และการแบ่งเซลล์ที่ถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงของความผิดปกติของท่อประสาทของทารกในครรภ์ ธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงรังไข่ การมีธาตุเหล็กที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายโดยรวมแข็งแรงและพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ โอเมกา-3 (Omega-3 Fatty Acids) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมฮอร์โมนและลดการอักเสบ ซึ่งมีผลดีต่อคุณภาพของเซลล์ไข่และความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก เลือกทานอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด หนึ่งในรูปแบบการทานอาหารที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพการเจริญพันธุ์ ได้แก่ อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งยึดหลักโภชนาการแบบดั้งเดิม โดยเน้นการทานอาหารจากธรรมชาติเป็นหลักและจำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่จำเป็น ดังนี้ ...

ผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS ที่ต้องการสาร Inositol สำหรับปรับสมดุลฮอร์โมน

Inositol คืออะไร? ประโยชน์ต่อสุขภาพและการมีบุตรยาก

หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อของสาร Inositol (อิโนซิทอล) มากนัก แต่สารธรรมชาติชนิดนี้กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) หรือกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ ที่ทำให้ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก  และด้วยคุณสมบัติของสาร Inositol ที่มีบทบาทสำคัญต่อการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน การทำงานของรังไข่ และการเผาผลาญพลังงาน เมื่อระบบภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นก็ย่อมส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วยเช่นกัน สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังเตรียมความพร้อมร่างกายสำหรับการมีบุตร การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารสำคัญชนิดนี้ จะช่วยให้เห็นถึงศักยภาพในการนำไปดูแลสุขภาพ และการเพิ่มโอกาสให้กับการตั้งครรภ์ Inositol คืออะไร? Inositol หรืออิโนซิทอล เป็นสารคล้ายวิตามินชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นน้ำตาลวงแหวน พบได้ทั้งในร่างกายและอาหารธรรมชาติ โดยร่างกายจะสามารถสังเคราะห์ Inositol จากกลูโคสได้เอง แต่บางครั้งปริมาณที่ได้อาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีปัญหาฮอร์โมนหรือภาวะมีบุตรยาก Inositol มีหลายรูปแบบ แต่ที่พบมากที่สุดคือ Myo-Inositol (MI) และ D-Chiro-Inositol (DCI) โดยแต่ละรูปแบบมีหน้าที่เฉพาะตัว Myo-Inositol ช่วยเรื่องการส่งสัญญาณอินซูลินและการเจริญของไข่ ส่วน D-Chiro-Inositol ช่วยกระบวนการนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานและการสร้างไกลโคเจน สารนี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึม การทำงานของรังไข่ การสื่อสารของเซลล์ และสุขภาพโดยรวม จึงถูกนำมาใช้ในการปรับสมดุลฮอร์โมนและสนับสนุนการรักษาภาวะมีบุตรยาก ปรึกษาแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยาก เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับการตั้งครรภ์จาก VFC Center ได้ที่นี่ ประโยชน์ของ Inositol ต่อสุขภาพ Inositol มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลหรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพองค์รวม ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและภาวะ PCOS หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ Inositol คือ การช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มี PCOS ซึ่งมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศไม่สมดุลและรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ การรับประทานอิโนซิทอลจะช่วยกระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้รอบเดือนกลับมาปกติและเพิ่มโอกาสการตกไข่ เสริมสุขภาพจิตและลดความวิตกกังวล Inositol มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและสมอง เป็นส่วนประกอบในการส่งสัญญาณของสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน...

ผู้หญิงรับคำปรึกษากับสูตินรีแพทย์ว่าควรฝากไข่ตอนอายุเท่าไหร่ดี

ฝากไข่ได้ถึงอายุเท่าไหร่ ? วางแผนก่อน เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

ผู้หญิงหลายคนกำลังให้ความสนใจกับบริการฝากไข่ (Egg Freezing) เพื่อเตรียมพร้อมเรื่องการมีบุตรในอนาคต โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมมีลูกในช่วงวัยทำงานหรือมีความจำเป็นต้องเลื่อนการตั้งครรภ์ออกไป การฝากไข่ถือเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยเก็บเซลล์ไข่ในสภาพดีที่สุดเพื่อนำมาปฏิสนธิในอนาคต อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าควรฝากไข่ตอนอายุเท่าไหร่ดีนั้นไม่ควรปล่อยให้อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอาจส่งผลต่อคุณภาพของไข่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่ควรทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน ทั้งด้านชีววิทยา เทคโนโลยี และความเสี่ยงทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้คุณเห็นถึงขั้นตอน และเข้าสู่กระบวนการเก็บไข่ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและวางแผนการฝากไข่ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกระบวนการฝากไข่ การฝากไข่ (Egg Freezing) หรือการแช่แข็งไข่ คือหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อรักษาภาวะเจริญพันธุ์ในผู้หญิง เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ช่วยเก็บรักษาเซลล์ไข่ที่มีคุณภาพไว้ในสภาพแช่แข็งที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยใช้ไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) เพื่อหยุดการทำงานของเซลล์ ทำให้เซลล์ไข่ไม่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา และสามารถนำไปใช้ผสมกับอสุจิเพื่อสร้างตัวอ่อนที่สมบูรณ์ในอนาคตเมื่อพร้อมที่จะตั้งครรภ์ กระบวนการนี้ไม่ใช่การทำเด็กหลอดแก้วโดยตรง แต่เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถ "ซื้อเวลา" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถโฟกัสกับเรื่องงาน การเรียน หรือการสร้างความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาโรค หรือผู้ที่มีปัญหาฮอร์โมนทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ในอนาคตน้อยลง โดยไม่ต้องกังวลว่าคุณภาพของเซลล์ไข่จะลดลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพไข่ คุณภาพของไข่เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการฝากไข่และการตั้งครรภ์ในอนาคต โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อคุณภาพไข่อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ อายุ : เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุด เพราะเมื่อผู้หญิงอายุเพิ่มขึ้น จำนวนและคุณภาพของเซลล์ไข่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจำนวนเซลล์ไข่ที่มีโครโมโซมผิดปกติจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนหลังอายุ 35 ปี พันธุกรรม : ผู้หญิงบางคนมีภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด หรือมีจำนวนเซลล์ไข่ตั้งแต่กำเนิดน้อยกว่าปกติ ซึ่งสามารถตรวจพบได้จากการตรวจระดับฮอร์โมน AMH พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน : การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณสูง ส่งผลเสียต่อคุณภาพของเซลล์ไข่โดยตรง ภาวะทางการแพทย์และโรคประจำตัว : เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) และโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่...

แพทย์กำลังอธิบายเรื่องการกระตุ้นไข่ และรังไข่ไม่ตอบสนอง

กระตุ้นไข่ไม่ขึ้น รู้สาเหตุ วิธีแก้ไข เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

การกระตุ้นไข่เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการทำเด็กหลอดแก้ว ทั้งกระบวนการทำ IVF และ ICSI โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ที่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ แต่บางครั้งรังไข่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น หรือไข่ที่ได้ยังไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ ซึ่งหากเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหากระตุ้นไข่ไม่ขึ้น จะช่วยให้คู่แต่งงานสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ รู้จักกระบวนการกระตุ้นไข่ การกระตุ้นไข่คือกระบวนการที่ใช้ยาฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ที่พร้อมสำหรับการทำ IVF หรือ ICSI โดยปกติแล้วผู้หญิงจะมีการตกไข่ในรอบเดือนหนึ่งครั้ง แต่ในกระบวนการทำ IVF หรือ ICSI จะต้องมีการผลิตไข่หลายใบในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยมีวิธีการดังนี้ เริ่มต้นด้วยการให้ยาฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และ LH (Luteinizing Hormone) ผ่านการฉีดหรือรับประทานยา เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ในรังไข่ให้เกิดขึ้นพร้อมกันหลายเซลล์ ในระหว่างนี้แพทย์จะติดตามผลด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจเลือดเป็นระยะ เพื่อดูการตอบสนองของรังไข่และปรับขนาดยาให้เหมาะสม ทำการกระตุ้นไข่อย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 8-12 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคล เมื่อไข่มีขนาดที่เหมาะสมแล้ว แพทย์จะให้ยา hCG (Human Chorionic Gonadotropin) เพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกสมบูรณ์ ก่อนที่จะทำการเก็บไข่ในขั้นตอนถัดไป ภาวะไข่ไม่โตเกิดจากอะไร? การกระตุ้นไข่ไม่ขึ้น หรือรังไข่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการรักษาภาวะมีบุตรยาก สาเหตุหลักมีดังนี้ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ การเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ จำเป็นต้องใช้สารอาหารที่สำคัญ เช่น โปรตีน วิตามิน D โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้าหากร่างกายขาดสารอาหารเหล่านี้ จะส่งผลทำให้ไข่ไม่โตตามที่ควรจะเป็น ดังนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างกระบวนการกระตุ้นไข่ จึงต้องรับประทานอาหารให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ รวมถึงหลีกเลี่ยงการควบคุมน้ำหนักด้วยการอดอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอได้  เซลล์ไข่ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ   อนุมูลอิสระเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มลภาวะ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียด หรือแม้แต่กระบวนการเมตาบอลิซึม หากมีอนุมูลอิสระสะสมมากเกินไป...