เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

แพทย์อธิบายว่าอุณหภูมิถุงอัณฑะส่งผลต่อคุณภาพอสุจิอย่างไร

อุณหภูมิถุงอัณฑะสูง เพิ่มความเสี่ยงมีบุตรยากจริงไหม?

คุณภาพอสุจิ กุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น และทำให้ทารกที่คลอดออกมามีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง แล้วคุณรู้หรือไม่ว่า 'อุณหภูมิถุงอัณฑะ' ที่เปรียบเสมือนโรงงานผลิตอสุจิก็ส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิเช่นกัน แต่กลับเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไป จนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากตามมา อุณหภูมิถุงอัณฑะ ปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพอสุจิ อัณฑะ (Testes) เป็นอวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญในการผลิตอสุจิและฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีบทบาทในการพัฒนาและการทำงานของอวัยวะเพศชาย ตลอดจนการผลิตอสุจิในกระบวนการที่เรียกว่า Spermatogenesis โดยกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นภายในหลอดที่เรียกว่า Seminiferous Tubules ที่อยู่ในลูกอัณฑะ ซึ่งการผลิตอสุจิที่มีคุณภาพจะเกิดได้ดีที่สุดเมื่ออัณฑะมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายเล็กน้อย หรือประมาณ 34-35 องศาเซลเซียส กระบวนการสร้างอสุจิ โดยทั่วไป กระบวนการสร้างอสุจิตั้งแต่เซลล์เริ่มต้นไปจนถึงอสุจิที่สามารถปฏิสนธิได้ จะใช้เวลาประมาณ 64-72 วัน โดยรายละเอียดของกระบวนการมีดังนี้ เซลล์ Spermatogonia ในอัณฑะแบ่งตัวแบบ Mitosis เพื่อเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนเป็น Primary Spermatocyte ซึ่งมีโครโมโซมจำนวน 46 แท่ง (Diploid) Primary Spermatocyte แบ่งตัวแบบ Meiosis ครั้งที่ 1 เพื่อลดจำนวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่ง กลายเป็น Secondary Spermatocyte ที่มีโครโมโซม 23 แท่ง (Haploid) Secondary Spermatocyte แบ่งตัวแบบ Meiosis ครั้งที่ 2 เพื่อแยกโครโมโซมออกเป็นเซลล์เล็ก ๆ ทำให้ได้ Spermatid จำนวน 4 เซลล์ ซึ่งมีโครโมโซม 23...

ฮอร์โมน DHEA คือฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

ฮอร์โมน DHEA คืออะไร ? ตอบความสำคัญสำหรับการตั้งครรภ์

ถึงแม้ว่าการมีลูกจะเป็นหนึ่งในความฝันของคู่รักหลายคู่ แต่ก็ใช่ว่าทุกคู่จะสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างสำเร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากซึ่งอาจมีความเสี่ยงหลายประการ การตรวจคุณภาพไข่จึงถือเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ถึงความสามารถในการตั้งครรภ์  อีกทั้งยังช่วยประเมินสุขภาพของรังไข่และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสืบพันธุ์ เช่น ฮอร์โมน DHEA ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมคุณภาพไข่ให้แข็งแรง  ฮอร์โมน DHEA คืออะไร? ฮอร์โมน DHEA (Dehydroepiandrosterone) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต ซึ่งมีบทบาทในการเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนสำคัญทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน โดยฮอร์โมน DHEA มีบทบาทในการควบคุมการผลิตไข่ในรังไข่และช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบสืบพันธุ์ของทั้งชายและหญิง การที่ผู้หญิงมีระดับ DHEA ต่ำ อาจส่งผลต่อสุขภาพของไข่ รวมทั้งจำนวนไข่ และกระบวนการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุเกิน 35 ปี ซึ่งระดับ DHEA ในร่างกายมักจะลดลงตามอายุ จึงอาจทำให้การผลิตไข่และการตั้งครรภ์มีความยากลำบากมากขึ้น ดังนั้นการตรวจสอบระดับ DHEA จึงส่งผลสำคัญในการวางแผนตั้งครรภ์ เพราะสามารถบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของการมีบุตรยากได้  ประโยชน์ของฮอร์โมน DHEA ต่อการตั้งครรภ์ การทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของฮอร์โมน DEHA จะช่วยให้คู่รักสามารถเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสให้กับการมีลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1. เพิ่มคุณภาพไข่ ฮอร์โมน DHEA มีบทบาทในการกระตุ้นการผลิตไข่จากรังไข่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพและสามารถพัฒนาต่อไปเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรงได้ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการฝังตัวในมดลูกเป็นไปได้ง่าย พร้อมกับเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์สำเร็จได้ในรอบแรก 2. ช่วยการทำงานของรังไข่ แม้ในผู้หญิงที่อายุเริ่มมากขึ้น ดังที่กล่าวไปว่า DHEA เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของรังไข่ จึงเหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป ที่รังไข่มักทำงานได้ลดลง รวมทั้งสตรีที่อายุน้อยที่มีจำนวนไข่น้อยกว่าเกณฑ์ โดยการเสริม DHEA จะช่วยทำให้กระบวนการสืบพันธุ์เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  3. เสริมการผลิตฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมน DHEA ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศที่จำเป็นในการตั้งครรภ์ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไข่ให้มีคุณภาพดีและเตรียมมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการสืบพันธุ์ทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมนเพศต่ำ หรือผู้ที่มีปัญหากับการผลิตไข่  ทำไมการตรวจคุณภาพไข่ในผู้หญิงจึงสำคัญ? เมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น...

อาหารที่อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยบำรุงอสุจิ

วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงอสุจิ เพิ่มโอกาสมีบุตร

การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ นับเป็นอีกหนึ่งวิธีบำรุงอสุจิให้แข็งแรงและมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยงกับภาวะมีบุตรยาก การเสริมสารอาหารที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ สู่การเติมเต็มชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ให้แก่คู่สามีภรรยาได้อย่างใจฝัน อนุมูลอิสระ ส่งผลเสียต่อการสร้างอสุจิอย่างไร? อนุมูลอิสระ (Free Radicals) คือโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากกระบวนการทางชีวภาพต่าง ๆ ภายในร่างกายของเรา แม้ว่าร่างกายจะมีกลไกในการจัดการกับอนุมูลอิสระเหล่านี้ แต่หากมีปริมาณมากเกินไป หรือระบบจัดการทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็จะก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า ออกซิเดทีฟสเตรส (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงเซลล์อสุจิด้วย โดยส่งผลเสียที่สำคัญดังนี้ ทำลาย DNA ของอสุจิ อนุมูลอิสระสามารถเข้าโจมตีและทำลายสารพันธุกรรม DNA ภายในเซลล์อสุจิได้ ซึ่งจะส่งผลให้อสุจิมีความผิดปกติ ไม่สามารถทำหน้าที่ในการผสมกับไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมในตัวอ่อนอีกด้วย ลดคุณภาพของอสุจิ  ภาวะออกซิเดทีฟสเตรสจากอนุมูลอิสระทำให้คุณภาพอสุจิโดยรวมลดลง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนอสุจิที่น้อยลง ความเคลื่อนไหวที่ช้าลง รูปร่างที่ผิดปกติ และความสามารถในการทะลุผ่านเยื่อหุ้มไข่ที่ลดลง ปัจจัยเหล่านี้จะลดโอกาสในการปฏิสนธิลงอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงเกิดภาวะมีบุตรยาก เมื่ออสุจิได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ จะส่งผลให้ความสามารถในการเจริญพันธุ์ลดลง ทำให้คู่สามีภรรยาประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งอาจทำให้การตั้งครรภ์ใช้เวลานานกว่าปกติ หรือไม่มีโอกาสสำเร็จหากตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ รวมถึงเสี่ยงต่อภาวะแท้งคุกคามที่สูงขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงอสุจิมีอะไรบ้าง? สารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันและลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ตัวอย่างสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ได้แก่  วิตามิน C วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายน้ำได้ ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์อสุจิจากอนุมูลอิสระและช่วยเพิ่มคุณภาพของอสุจิ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเซลล์อสุจิ ทำให้อสุจิมีความทนทานมากขึ้น พร้อมกับช่วยในการดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบสืบพันธุ์  วิตามิน E   วิตามิน E เป็นสารอาหารที่สามารถละลายในไขมัน มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการทำลาย DNA ของอสุจิและเพิ่มความเคลื่อนไหวของอสุจิ โดยผู้ชายที่ได้รับวิตามิน E เป็นประจำ อสุจิจะมีคุณภาพดี และมีอัตราการตั้งครรภ์ของคู่สมรสที่สูง  สังกะสี (Zinc)  สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการผลิตอสุจิ และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่อสุจิ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการควบคุมระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และมีบทบาทในการสร้างเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับกระบวนการสร้างอสุจิ ซีลีเนียม (Selenium) ซีลีเนียมคือแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องอสุจิจากการทำลาย และช่วยเพิ่มความเคลื่อนไหวของอสุจิ...

ผู้หญิงที่สามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จ จากการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการระดับ Cutting-edge

ทำไมการดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการจึงเป็นหัวใจของ IVF?

Medically Assisted Reproduction (MAR) หรือ วิทยาการช่วยการเจริญพันธุ์ คือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้คู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากสามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จ โดยกระบวนการนี้ประกอบด้วยหลายขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บไข่ การปฏิสนธิ ไปจนถึงการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องอาศัยความแม่นยำและการดูแลอย่างใกล้ชิด หัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการตั้งครรภ์ คือ “การดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ” ห้องปฏิบัติการที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย (Cutting-Edge) จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนอย่างเต็มศักยภาพ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้คู่รักได้สมหวังในการมีบุตรตามที่ตั้งใจ การดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการคืออะไร? การดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ คือกระบวนการสำคัญในการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธินอกร่างกาย (In-Vitro Fertilization: IVF) หรือการฉีดอสุจิเข้าเซลล์ไข่โดยตรง (Intracytoplasmic Sperm Injection: ICSI) โดยตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมสภาพแวดล้อมอย่างเข้มงวด ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น ระดับก๊าซ แสง และแรงสั่นสะเทือน เพื่อจำลองบรรยากาศให้ใกล้เคียงกับมดลูกตามธรรมชาติมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบเพาะเลี้ยง (Culture System) ที่ทันสมัย เพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของตัวอ่อนแต่ละระยะ พร้อมกับดำเนินการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบความสะอาด ไปจนถึงการคัดเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอย่างปลอดภัยและมีโอกาสฝังตัวสำเร็จสูงสุด การเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการไม่ได้เป็นเพียงแค่การเฝ้าดูการเติบโตเท่านั้น แต่คือการบริหารจัดการ "คุณภาพชีวิตของตัวอ่อน" ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งมีผลต่อการฝังตัวและการตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐานห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มีผลต่อความสำเร็จของ IVF เทคโนโลยี Cutting-edge ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการยุคใหม่ ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มีมาตรฐานสูงในยุคปัจจุบันได้พัฒนาไปไกล เพราะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้สามารถดูแลตัวอ่อนได้ดียิ่งขึ้น เช่น เทคโนโลยี Cutting-Edge ภายในห้องปฏิบัติการ ที่ทำให้การดูแลตัวอ่อนทำได้อย่างสะดวกและครอบคลุม   Time-Lapse Incubator และ 3D Imaging Time-Lapse Incubator และ 3D Imaging คือระบบเพาะเลี้ยงตัวอ่อนอัจฉริยะที่ใช้กล้องบันทึกภาพการเจริญเติบโตของตัวอ่อนอย่างต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องเปิดตู้หรือรบกวนสภาพแวดล้อมของการเลี้ยง ส่งผลให้สามารถเฝ้าติดตามทุกช่วงพัฒนาการของตัวอ่อนได้อย่างละเอียด แพทย์จึงสามารถประเมินคุณภาพตัวอ่อนและเลือกตัวอ่อนที่มีโอกาสฝังตัวและตั้งครรภ์สำเร็จได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีแช่แข็งแบบ...

เทคโนโลยี Long-term Cryo หรือกระบวนการแช่แข็งไข่หรือตัวอ่อน

Long-term Cryo รักษาภาวะเจริญพันธุ์ เพื่อการวางแผนครอบครัว

คู่สมรสหลายคู่เลือกที่จะวางแผนครอบครัวอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของหน้าที่การงาน ฐานะทางการเงิน และช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเริ่มต้นบทบาทของการเป็นพ่อแม่ ซึ่งเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้แผนเหล่านี้เป็นจริง ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าสนใจและมีประโยชน์อย่างยิ่งก็คือ การแช่แข็งไข่หรือเซลล์ตัวอ่อน หรือการทำ Long-term Cryo เพื่อช่วยให้คู่สมรสสามารถรักษาคุณภาพของไข่ รวมถึงเซลล์ตัวอ่อนที่ดีที่สุดเอาไว้สำหรับใช้งาน เพราะหากในอนาคตต้องการมีลูก ก็จะช่วยให้สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตลอดจนมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์  Long-term Cryo คืออะไร? Long-term Cryo คือเทคนิคทางการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้สามารถแช่แข็งเซลล์สืบพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ไข่หรือเซลล์ตัวอ่อน โดยอาศัยการลดอุณหภูมิของเซลล์ลงสู่จุดเยือกแข็งที่ต่ำมาก ๆ จนทำให้กระบวนการทางชีวภาพของเซลล์หยุดชะงักลงชั่วคราว แต่ยังคงคุณสมบัติในการเจริญเติบโตเมื่อนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง เทคนิคนี้เป็นเหมือนการหยุดเวลาให้แก่เซลล์สืบพันธุ์ ช่วยให้คู่สมรสสามารถวางแผนครอบครัว และตัดสินใจเรื่องการมีลูกได้ตามความพร้อมของตนเอง Long-term Cryo มีกระบวนการอย่างไร? กระบวนการทำ Long-term Cryo แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ การแช่แข็งไข่และการแช่แข็งตัวอ่อน โดยแต่ละขั้นตอนได้รับการออกพัฒนามาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  กระบวนการแช่แข็งไข่ เริ่มต้นด้วยการกระตุ้นรังไข่ของผู้หญิง โดยแพทย์จะตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางช่องคลอดและเจาะเลือดเพื่อตรวจจำนวนไข่ จากนั้นจะฉีดยากระตุ้นไข่ประมาณ 9-12 วัน เพื่อให้ฟองไข่ที่มีอยู่ในร่างกาย มีขนาดโตขึ้น และกลายเป็นไข่สุกที่นำมาใช้ได้ในอนาคต  เมื่อไข่มีขนาดและจำนวนตามที่แพทย์ต้องการ จะฉีดยาให้ไข่สุกและเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอดโดยใช้เข็มเจาะดูดไข่ออกมา โดยการทำหัตถการนี้จะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ภายใต้การให้ยาสลบ  ไข่ที่เก็บได้จะถูกคัดเลือกเฉพาะไข่ที่สมบูรณ์ เพื่อนำไปแช่แข็งด้วยวิธีแช่แข็งแบบผลึกแก้ว (Vitrification) ซึ่งเป็นการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งที่ทำลายเซลล์ไข่  ไข่ที่แช่แข็งจะถูกเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลว ที่อุณหภูมิประมาณ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถเก็บได้นานโดยไม่สูญเสียคุณภาพ   สำหรับคนที่สงสัยว่าฝากไข่ได้นานแค่ไหน ต้องบอกว่าไข่ที่ถูกแช่แข็งไว้จะอยู่ได้นาน 10-15 ปี และเมื่อคู่สมรสพร้อมที่จะมีลูก ไข่ที่แช่แข็งไว้จะถูกละลายและตรวจสอบความสมบูรณ์...

เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) คือภาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอด

เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบคืออะไร ? วิธีรักษาก่อนทำ IVF และ ICSI

อาการเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) เป็นหนึ่งในสาเหตุที่อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ทั้งยังจะส่งผลต่อการทำ IVF หรือ ICSI ที่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้และเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูให้โพรงมดลูกกลับมาแข็งแรงและพร้อมต่อการตั้งครรภ์ ทั้งยังเป็นการเตรียมตัวก่อนทำ IVF หรือ ICSI เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น 1. สาเหตุของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) คืออะไร? เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ หรือที่เรียกว่า Endometritis คือ ภาวะที่เกิดการอักเสบที่เยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งมักจะเกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอดหรือจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ยังอาจส่งผลกระทบต่อการฝังตัวของตัวอ่อนในมดลูก และทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่แพร่กระจายจากช่องคลอดหรือปากมดลูกขึ้นไปยังโพรงมดลูก โดยสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ การติดเชื้อหลังขั้นตอนทางการแพทย์ เช่น การคลอดบุตร การแท้ง การขูดมดลูก การใส่ห่วงอนามัย หรือการตรวจภายในมดลูก การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น Chlamydia หรือ Gonorrhea จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล เช่น ผู้หญิงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีประวัติการติดเชื้อในอวัยวะสืบพันธุ์มาก่อน ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะนี้ 2. อาการเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ อาการของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยอาการที่ควรสังเกตมีดังนี้ อาการปวดท้องน้อย หรืออาการปวดบริเวณมดลูก ซึ่งอาจรุนแรงมากหรือมีอาการปวดเรื้อรัง ภาวะตกขาวผิดปกติ หรือมีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน และอาจมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ร่วมด้วย รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่เคยมีมาก่อน มีไข้หรืออ่อนเพลีย โดยไม่ทราบสาเหตุ ปัญหาที่เกิดจากการตั้งครรภ์ หรือภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากการอักเสบจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในมดลูก ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีโอกาสแท้งลูกสูงหรือไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี โดยขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยจะมีทั้งการตรวจร่างกาย การเจาะเลือด และการตรวจเนื้อเยื่อจากเยื่อบุโพรงมดลูก 3. แนวทางการรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ การรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบมักจะเริ่มต้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดการติดเชื้อ โดยจะใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยขั้นตอนการรักษามีดังนี้ 1....

ผู้หญิงตั้งครรภ์ดื่มนมทางเลือกเพื่อดูแลสุขภาพ

นมโอ๊ต นมถั่วเหลือง และนมอัลมอนด์ : นมทางเลือกเพื่อสุขภาพ

สำหรับคู่รักที่อยากตั้งครรภ์ การวางแผนดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่มีผลต่อฮอร์โมนเพศหญิงและการเจริญพันธุ์ ซึ่งในปัจจุบัน นมทางเลือกจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง, นมอัลมอนด์ และนมโอ๊ต ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมีสารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และเสริมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เรามาดูกันในบทความนี้ว่า นมถั่วเหลือง, นมอัลมอนด์ และนมโอ๊ต ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างไร นมโอ๊ต นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง มีประโยชน์อย่างไร? นมโอ๊ต นมโอ๊ต เป็นนมจากพืชที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และเป็นนมที่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว แต่การดื่มให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ควรเลือกนมโอ๊ตสูตรที่ไม่ผสมน้ำตาล เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป  นมถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่มีคุณภาพสูง อุดมไปด้วยไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสารที่มีลักษณะคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายมนุษย์ การบริโภคไฟโตเอสโตรเจนจากนมถั่วเหลือง อาจมีส่วนช่วยในการบรรเทากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)  นมอัลมอนด์ นมอัลมอนด์ เป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมที่ไม่มีแล็กโทส และเหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพโดยรวม โดยนมอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามิน E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น โอเมก้า-3, โอเมก้า-6 ที่อยู่ในนมอัลมอนด์ ยังมีส่วนช่วยในการควบคุมสมดุลฮอร์โมนในร่างกายอีกด้วย ประโยชน์ของนมทางเลือกต่อฮอร์โมนเพศหญิง ผลต่อการปรับสมดุลฮอร์โมน การเลือกดื่มนมถั่วเหลือง มีส่วนช่วยในการบำรุงฮอร์โมนเพศหญิงได้ในระดับหนึ่ง แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกดื่มสูตรที่ไม่ผสมน้ำตาล เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่  การบรรเทาอาการวัยหมดประจำเดือนและ PMS นมถั่วเหลืองและนมอัลมอนด์ ช่วยบรรเทากลุ่มอาการ PMS เช่น อาการปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน และเหงื่อออกตอนกลางคืน อีกทั้งนมทางเลือกเหล่านี้ยังมีส่วนช่วยบำรุงฮอร์โมนในร่างกาย และทำให้ร่างกายปรับตัวได้ดียิ่งขึ้น ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน การปรับพฤติกรรมการกินอาหารและการดูแลฮอร์โมน การดื่มนมทางเลือก อาจไม่ใช่ตัวช่วยหลักในการตั้งครรภ์ แต่สามารถนำมาปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพฮอร์โมน ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอื่น ๆ เพราะการรับประทานอาหารที่หลากหลาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบฮอร์โมนได้อย่างสมดุล สรุปได้ว่า ทั้งนมโอ๊ต, นมถั่วเหลือง และนมอัลมอนด์ ต่างก็มีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพร่างกาย รวมถึงการปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงและภาวะเจริญพันธุ์...

เหตุผลที่ MACs Sperm ไม่สามารถคัดกรองอสุจิที่เสียหายได้บางกรณี

MACs Sperm ช่วยเพิ่มผลลัพธ์ แม้ค่า DNA Fragmentation จะสูง

คุณภาพของอสุจิไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ปริมาณหรือรูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสมบูรณ์ของโครงสร้างภายใน โดยเฉพาะภาวะการแตกหักของสารพันธุกรรมภายในอสุจิ (DNA Fragmentation) ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการปฏิสนธิ และการพัฒนาของตัวอ่อน เพราะถ้าอสุจิเกิดความเสียหายตั้งแต่ระดับ DNA ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งหรือการตั้งครรภ์ที่ไม่สมบูรณ์ได้ เทคนิค MACs Sperm ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการคัดกรองอสุจิที่มีภาวะการแตกหักของดีเอ็นเอในอสุจิ (Sperm DNA Fragmentation) โดยอาศัยการแยกอสุจิที่แสดงสัญญาณของการเข้าสู่กระบวนการตายตามธรรมชาติ (Apoptosis) ออกไป  อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจยังพบค่าการแตกหักของ DNA ในอสุจิยังอยู่ในระดับสูง แม้จะเป็นเคสที่เกิดได้น้อย แต่ก็ควรศึกษาเพื่อวางแผนการดูแลภาวะเจริญพันธุ์ให้ครอบคลุม และอาจต้องผสานหลายแนวทางร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพของเซลล์อสุจิและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการมีบุตรอย่างยั่งยืน MACs Sperm เทคนิคคัดกรองอสุจิ ค้นหา DNA Fragmentation MACs Sperm (Magnetic-Activated Cell Sorting) คือ เทคนิคคัดอสุจิที่ทันสมัย ซึ่งไม่เพียงแต่อาศัยคุณสมบัติทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเจาะจงไปที่เครื่องหมายทางชีวภาพ (biomarkers) บนพื้นผิวของเซลล์อสุจิโดยเฉพาะ  โดยเทคนิคนี้จะใช้เม็ดบีดแม่เหล็กขนาดเล็กที่เคลือบด้วยสารพิเศษ ซึ่งจะจับกับเครื่องหมายทางชีวภาพที่บ่งบอกถึงเซลล์อสุจิที่กำลังเข้าสู่กระบวนการตายตามธรรมชาติ (Apoptosis) ทำให้สามารถใช้สนามแม่เหล็กดึงแยกอสุจิที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้ออกไปได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือการคัดแยกกลุ่มของอสุจิที่ยังคงมีคุณภาพดีเยี่ยม และมีสารพันธุกรรมที่สมบูรณ์กว่ามาก ด้วยเหตุนี้ MACs จึงถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จของกระบวนการช่วยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะในคู่สมรสที่มีภาวะมีบุตรยาก ประโยชน์ของการใช้เทคนิค MACs Sperm MACs Sperm เป็นการคัดเลือกอสุจิในระดับโมเลกุล แตกต่างจากเทคนิคทั่วไป ที่อาศัยความหนาแน่นและการเคลื่อนไหวของอสุจิเป็นหลัก จึงทำให้ประโยชน์ที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพกว่า ดังนี้ เพิ่มโอกาสเลือกใช้อสุจิที่ยังคงมีศักยภาพในการปฏิสนธิ ลดอัตราการใช้เซลล์อสุจิที่เสื่อมสภาพหรือไม่สมบูรณ์ ช่วยให้กระบวนการ ICSI มีแนวโน้มประสบความสำเร็จมากขึ้น ข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนทำ  MACs Sperm แม้เทคนิค MACs Sperm จะช่วยปรับปรุงคุณภาพของอสุจิที่ใช้ในการรักษาภาวะมีบุตรยาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ควรทำความเข้าใจ...

ภาพจำลองของอสุจิในมือแพทย์ สื่อว่าอสุจิผิดปกติส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้

4 วิธีตรวจ DNA Fragmentation ทางออกของผู้ชายมีบุตรยาก

การตั้งครรภ์อย่างราบรื่นและให้กำเนิดทารกน้อยที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงนั้น เกิดจากความพร้อมทางด้านร่างกายของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ดังนั้น แม้จะไม่ได้เป็นผู้อุ้มท้องและคลอดบุตร แต่ฝ่ายชายก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนวางแผนมีลูกเช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอสุจิผิดปกติ ที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ต่อทั้งแม่และเด็กระหว่างตั้งครรภ์ อีกทั้งปัญหานี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ชายมีบุตรยากอีกด้วย  อสุจิผิดปกติ ส่งผลอย่างไรต่อการตั้งครรภ์และมีบุตร? อสุจิที่ผิดปกติ ถือเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากและปัญหาในการตั้งครรภ์ ด้วยเหตุนี้ คู่สมรสจึงควรทำความเข้าใจถึงความผิดปกติว่าส่งผลอย่างไรต่อการตั้งครรภ์บ้าง เพื่อเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการ เตรียมตัวมีลูกอย่างมีประสิทธิภาพ 1. โอกาสที่จะปฏิสนธิสำเร็จลดลง ความผิดปกติของอสุจิ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง จำนวน และการเคลื่อนไหว ล้วนส่งผลให้ผู้ชายมีบุตรยากทั้งสิ้น เนื่องจากอสุจิจะไม่สามารถว่ายผ่านปากมดลูกและท่อนำไข่เพื่อไปปฏิสนธิกับไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้โอกาสเกิดการปฏิสนธิและตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติลดลง 2. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแท้ง หาก DNA ของอสุจิมีความผิดปกติหรือได้รับความเสียหาย แม้จะปฏิสนธิสำเร็จจนพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้ แต่ก็เสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมและพัฒนาการ เป็นสาเหตุให้เกิดการแท้งบุตรได้บ่อยครั้ง 3. ตัวอ่อนคุณภาพไม่ดีและส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว หากอสุจิมีความเสียหายที่ระดับ DNA ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นอาจพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้การเจริญเติบโตช้าหรือผิดปกติ ไม่เป็นผลดีต่อการฝังตัวกับผนังมดลูก รวมทั้งทำให้ทารกที่คลอดออกมาเสี่ยงมีความผิดปกติ ทั้งด้านร่างกายและสมอง 4. เพิ่มความเสี่ยงการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมสู่ทารก หากอสุจิมีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โครโมโซมผิดจำนวนหรือมีการกลายพันธุ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมสู่ลูกได้ กรณีปฏิสนธิด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI หรือ IVF จึงจำเป็นต้องมีการคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนอย่างเหมาะสม DNA Fragmentation ตรวจหาอสุจิผิดปกติถึงระดับสารพันธุกรรม DNA Fragmentation คือ การแตกหักของ DNA ในอสุจิ เป็นภาวะที่สารพันธุกรรมภายในหัวอสุจิเกิดความเสียหาย ส่งผลให้อสุจิผิดปกติ แม้จะไม่แสดงออกทางรูปร่างภายนอก แต่ DNA ภายในอาจได้รับความเสียหาย จึงต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการปฏิสนธิ ความสำเร็จในการตั้งครรภ์ และพัฒนาการของตัวอ่อนโดยตรง ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ ภาวะ Oxidative Stress จากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป เกิดจากการสูบบุหรี่...

การตรวจไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีประโยชน์หลายด้าน มีหน้าที่สำคัญในการรักษาสมดุลของฮอร์โมนบางตัว

ไมโครไบโอมในมดลูก คือตัวแปรที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

การจะตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยหลากหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการตรวจไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อดูว่ามีความสมดุลหรือไม่ เพราะหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอาจทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยากตามมาได้ ดังนั้นเพื่อช่วยให้แผนการมีบุตรเป็นไปอย่างที่คู่สมรสต้องการ เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก ทั้งหน้าที่และประโยชน์ให้มากขึ้น เพื่อรักษาให้เกิดความสมดุล ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกคืออะไร? ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก (Uterine Microbiome) คือการสะสมของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในโพรงมดลูก ซึ่งประกอบไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ซึ่งมีทั้งชนิดที่เป็นประโยชน์และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย  ในสภาวะปกติ ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกจะมีหน้าที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ การป้องกันการติดเชื้อจากจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย การสร้างสมดุลของกรดและด่างในเนื้อเยื่อ การสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก มีประโยชน์ต่อการมีบุตรอย่างไร? ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีประโยชน์ต่อการมีบุตรในหลายประการ ดังนี้ สร้างเสริมให้ฮอร์โมนเกิดความสมดุล หนึ่งในหน้าที่สำคัญของไมโครไบโอม คือการช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมรอบเดือนและการเตรียมความพร้อมของมดลูกสำหรับการรับตัวอ่อน โดยจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้ฮอร์โมนเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ไมโครไบโอม มีส่วนสนับสนุนกระบวนการฝังตัวของตัวอ่อน (Embryo Implantation) โดยเมื่อตัวอ่อนเคลื่อนที่เข้าสู่โพรงมดลูก ไมโครไบโอมที่มีความสมดุลจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝังตัว ด้วยการลดการอักเสบและสร้างเสริมปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยทำหน้าที่ช่วยควบคุมการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในโพรงมดลูกให้เหมาะสม อีกทั้งการมีจุลินทรีย์ที่ดี ยังจะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการตั้งครรภ์ที่แข็งแรงสมบูรณ์  ทั้งนี้ หากไมโครไบโอมไม่สมดุล อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในโพรงมดลูก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการฝังตัวของตัวอ่อนและอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากได้เช่นกัน การตรวจวิเคราะห์ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีอะไรบ้าง? ปัจจุบันมีการพัฒนาการตรวจวิเคราะห์ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยากที่อาจเกิดจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์เหล่านี้ โดยวิธีการที่นิยม คือ การตรวจตัวอย่างจากโพรงมดลูก (Endometrial sampling) การตรวจนี้ เป็นการใช้เครื่องมือพิเศษ สอดเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อในปริมาณเล็กน้อย มาทำการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ และตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการตรวจที่ให้ข้อมูลแม่นยำ ขั้นตอนการตรวจใช้เวลาไม่นาน และมีความปลอดภัยสูง แม้ว่าอาจมีความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยระหว่างการตรวจ  หลังจากการเก็บตัวอย่างมาเพาะเลี้ยง จะนำไปเข้าสู่กระบวนการหาชนิดของเชื้อจุลินทรีย์ โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ การใช้เทคโนโลยี PCR (Polymerase Chain Reaction) เป็นการนำตัวอย่างมาตรวจด้วยเทคโนโลยี PCR...