รีวิวทำ ICSI ที่ VFC Center ประสบการณ์จริงและคู่มือเตรียมตัว
การตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยเทคนิค ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่การมีลูก สำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การไปปรึกษาแพทย์ในสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของการรักษาภาวะมีบุตรยากให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น หากคุณคือคนหนึ่งที่อยากมีลูกในเร็ววัน ลองมาศึกษากระบวนการต่าง ๆ จากรีวิวการทำ ICSI ที่เป็นประสบการณ์จริงของคุณวริยานันท์ มาร์วัน (แป้ง) ที่เข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีการทำ ICSI กับศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) หรือ VFC Center พร้อมข้อมูลครบถ้วนที่อาจเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังเตรียมตัวเริ่มต้นเส้นทางนี้อยู่ รีวิวทำ ICSI : เรื่องราวของคุณวริยานันท์ มาร์วัน (แป้ง) - จากการรอคอยสู่การตัดสินใจทำ ICSI จุดเริ่มต้นของการรักษาภาวะมีบุตรยากของคุณแป้ง เกิดจาก หลังแต่งงานเป็นเวลา 1 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการมีลูก ประกอบกับความรู้สึกว่าตนเองแต่งงานในช่วงวัยที่ไม่ใช่วัยเด็กแล้ว จึงทำให้เธอตัดสินใจมองหาทางเลือกในการทำ ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตร การเลือกคลินิกและแพทย์อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก สู่ขั้นตอนการทำ ICSI การตัดสินใจเลือกสถานที่รักษาของคุณแป้งไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เธอใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะการหาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และด้วยความไว้วางใจที่มีต่อโรงพยาบาลเวชธานี ทำให้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) ในการรักษา อีกทั้งคุณแป้งยังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อสร้างความมั่นใจ และหลังจากได้ปรึกษาเบื้องต้น คุณแป้งจึงตัดสินใจรักษากับ “คุณหมอวรวัฒน์ ศิริปุณย์” เพราะรู้สึกเชื่อใจและสบายใจจากการได้พูดคุยเบื้องต้นถึงกระบวนการรักษาในขั้นตอนต่าง ๆ การเผชิญกับปัญหาและการแก้ไข เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา คุณแป้งพบว่าเธอมีปัญหาผนังมดลูกที่บางกว่าปกติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีบุตร ทีมแพทย์จึงวางแผนการรักษาโดยการให้ยาบำรุงผนังมดลูกเป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อนที่จะเริ่มกระบวนการ ICSI ในระหว่างช่วงเวลา 3 เดือน ทีมแพทย์มีการปรับเปลี่ยนสูตรยาและเพิ่มยาตามความเหมาะสม จนกระทั่งผนังมดลูกมีความหนาเพียงพอและพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ประสบการณ์การดูแลที่น่าประทับใจ สิ่งที่ทำให้คุณแป้งประทับใจอย่างลึกซึ้งคือการดูแลแบบองค์รวมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องตรวจ...
มีลูกยากแบบไม่ทราบสาเหตุ ? เจาะแนวทางรักษาเพื่อวางแผนอนาคต
เมื่อคู่รักพยายามมีลูกแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ตรวจร่างกายครบถ้วนแต่ไม่พบความผิดปกติใด ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณของ “ภาวะมีลูกยากที่ไม่ทราบสาเหตุ” หรือ Unexplained Infertility ซึ่งแม้คำว่าไม่ทราบสาเหตุ จะฟังดูน่าเป็นกังวล แต่ในความเป็นจริง มีคู่รักถึง 10-30% ที่กำลังเผชิญกับภาวะนี้อยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังเกิดปัญหา แต่อาจเป็นเพราะมีปัจจัยบางอย่างที่การตรวจวินิจฉัยทั่วไปไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด สิ่งสำคัญคือ คู่รักไม่ควรโทษตนเอง เพราะปัจจุบัน ภาวะการมีบุตรยากสามารถรักษาได้ในหลากหลายแนวทาง ทั้งยังเป็นวิธีแก้ไขที่สามารถเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุเบื้องหลัง Unexplained Infertility เกิดได้จากอะไรบ้าง ? ถึงแม้จะ “ไม่มีเหตุผลชัดเจน” แต่จากการวิจัยและประสบการณ์ทางคลินิกพบว่า ภาวะนี้อาจเกิดจากปัจจัยที่ตรวจพบได้ยาก เช่น คุณภาพไข่ หรืออสุจิ ที่ดูเหมือนปกติ แต่มีปัญหาในระดับโมเลกุล ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมน FSH, LH หรือ Prolactin ที่มีผลต่อการตกไข่และการฝังตัว ท่อนำไข่ทำงานผิดปกติ หรือการเคลื่อนไหวของอสุจิภายในโพรงมดลูก ผิวภายในโพรงมดลูก (Endometrium) ที่ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของตัวอ่อน ความผิดปกติระดับโมเลกุล ที่เกี่ยวข้องกับการฝังตัวของไข่ในผนังมดลูก การตรวจวินิจฉัยเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุในเชิงลึก ในกรณีที่คู่สมรสพยายามตั้งครรภ์ติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง (6-12 เดือน) และยังไม่สำเร็จ อีกทั้งผลการตรวจสุขภาพเบื้องต้นของทั้งสองฝ่ายไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน แพทย์จะพิจารณาทำการตรวจเพิ่มเติมในเชิงลึก เพื่อประเมินสาเหตุแฝงที่ทำให้มีลูกยาก ซึ่งอาจไม่สามารถตรวจพบได้ในระดับทั่วไป 1. การวิเคราะห์น้ำเชื้อ (Semen Analysis) เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้ประเมินคุณภาพของอสุจิจากฝ่ายชาย โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณน้ำเชื้อ (Volume) ความเข้มข้นของอสุจิ (Sperm concentration) การเคลื่อนไหวของอสุจิ (Motility) รูปร่างของอสุจิ (Morphology) ความเป็นกรด-ด่าง (pH)...
ความเครียดและการนอนดึก มีผลต่อการมีบุตรยากจริงหรือไม่ ?
หลายคู่รักที่พยายามมีลูกมักมุ่งเน้นไปที่การดูแลร่างกายหรือรอบเดือนให้เป็นไปอย่างปกติ แต่กลับมองข้ามปัจจัยสำคัญบางประการที่อาจเป็นอุปสรรคในการตั้งครรภ์ เช่น ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งทั้งสองปัจจัยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาวะมีบุตรยาก เพราะความเครียดที่สะสมสามารถไปรบกวนสมดุลของฮอร์โมนสืบพันธุ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตกไข่ การฝังตัวของตัวอ่อน และคุณภาพของอสุจิ ในขณะเดียวกัน การนอนดึกเป็นประจำยังจะทำให้ระบบนาฬิกาชีวิตแปรปรวน ทำให้ส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนที่สำคัญ เช่น LH, FSH, และ โปรเจสเตอโรน ซึ่งล้วนเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น หากคุณกำลังวางแผนมีลูก การกลับมาทบทวนพฤติกรรมการพักผ่อนและการจัดการอารมณ์ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น ทำไมความเครียดถึงเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยาก ? ความเครียดไม่ได้ส่งผลเพียงด้านจิตใจ แต่ยังมีผลกระทบต่อร่างกายในหลายระดับ โดยเฉพาะกับระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ซึ่งควบคุมการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ รวมถึงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) : ฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมหมวกไตเมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด GnRH, LH, และ FSH : ฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่ในผู้หญิงและการผลิตอสุจิในผู้ชาย เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียดเรื้อรัง ระดับคอร์ติซอลจะสูงตลอดเวลา ส่งผลให้การหลั่งของ GnRH (Gonadotropin-releasing hormone) ถูกยับยั้ง ซึ่งจะทำให้วงจรการตกไข่ของผู้หญิงแปรปรวน และลดการผลิตอสุจิในผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ความเครียดอาจไม่ใช่สาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยากในทุกกรณี แต่ถือเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมและจัดการได้ ถ้าหากปล่อยให้ความเครียดเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลให้ภาวะเจริญพันธุ์แย่ลงได้ นอนดึก - นอนไม่พอ ส่งผลต่อการมีลูกยากอย่างไร ? การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการนอนดึกเป็นปัญหาที่หลายคนมักมองข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีผลกระทบโดยตรงต่อการมีลูกยาก ดังนี้ 1. คุณภาพการนอนมีผลต่อวงจรฮอร์โมนการเจริญพันธุ์ หลายคนอาจคิดว่าเพียงแค่นอนครบ 6-7 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว แต่จริง ๆ แล้ว "คุณภาพการนอน" และ "การนอนที่สม่ำเสมอ" มีผลโดยตรงต่อการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ เช่น LH,...
เรื่องควรรู้ กินวิตามินบำรุง เตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์
คู่แต่งงานที่กำลังวางแผนครอบครัว และต้องการมีลูกน้อยมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ การเตรียมความพร้อมของร่างกายนับว่ามีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการได้รับโภชนาการที่ครบถ้วน เนื่องจากสารอาหารที่จำเป็นจะช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ได้ แต่นอกจากการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมแล้ว การเสริมด้วยวิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ พร้อมกับช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์อีกด้วย ทำไมจึงควรกินวิตามินเตรียมตั้งครรภ์ ? เนื่องจากการกินอาหารในชีวิตประจำวัน สารอาหารที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อการตั้งครรภ์ แต่การกินวิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ จะช่วยเสริมให้ร่างกายมีความพร้อมต่อการตั้งครรภ์มากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ สร้างพื้นฐานร่างกายที่แข็งแกร่งสำหรับทารก ในช่วง 3-4 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ทารกจะมีการสร้างและพัฒนาอวัยวะที่สำคัญที่สุด เช่น สมองและไขสันหลังอย่างรวดเร็ว หากร่างกายคุณแม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติแต่กำเนิดได้ การได้รับวิตามินที่เพียงพอตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตของทารกมีความสมบูรณ์ เพิ่มคุณภาพของไข่และการฝังตัวอ่อน วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดมีส่วนช่วยในการทำงานของฮอร์โมนเพศและส่งเสริมการสร้างไข่ที่มีคุณภาพดี รวมถึงเตรียมความพร้อมของมดลูกให้เหมาะสมกับการฝังตัวอ่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ สะสมสารอาหารเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เมื่อเกิดการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่จะมีความต้องการสารอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อหล่อเลี้ยงทั้งตัวคุณแม่เองและทารกที่กำลังเจริญเติบโต การสะสมวิตามินและแร่ธาตุล่วงหน้าจึงเป็นการสร้าง "คลังสารอาหาร" ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ร่างกายมีพร้อมใช้อย่างเพียงพอตลอดการตั้งครรภ์ ลดความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารของคุณแม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง วิตามินบางชนิด เช่น โฟลิก มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะท่อประสาทไม่ปิดในทารก ซึ่งเป็นความผิดปกติรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ ควรกินวิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ล่วงหน้านานเท่าไร ? สำหรับวิตามินเตรียมตั้งครรภ์ ควรกินล่วงหน้าอย่างน้อย 1-3 เดือนก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาเพียงพอในการดูดซึม สะสม และปรับระดับสารอาหารต่าง ๆ ให้พร้อมที่สุดสำหรับกระบวนการตั้งครรภ์ที่กำลังจะมาถึง และต่อเนื่องไปในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้คุณแม่ยังควรได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอและเหมาะสมไปตลอดการตั้งครรภ์อีกด้วย วิตามินบำรุง ที่ควรกินเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ วิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ที่จำเป็นต่อการเตรียมความพร้อมของร่างกายมีหลายชนิด โดยสารอาหารที่ควรกินเป็นหลักมีดังต่อไปนี้ กรดโฟลิก ควรรับประทาน 400-800 ไมโครกรัมต่อวัน เป็นวิตามินที่สำคัญที่สุดในการเตรียมตัวตั้งครรภ์ เพื่อช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาท และสนับสนุนการสร้างดีเอ็นเอ...
PGT-A และ PGT-M: การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
การเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวางแผนครอบครัว โดยเฉพาะสำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งการเลือกวิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมก็คือการตรวจ Preimplantation Genetic Testing (PGT) หรือการตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมของตัวอ่อน ซึ่งแบ่งเป็นสองประเภทหลักด้วยกัน ได้แก่ PGT-A และ PGT-M ซึ่งการตรวจในแต่ละประเภทมีจุดประสงค์และกระบวนการที่แตกต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง PGT-A vs PGT-M จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการเตรียมตัวตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ PGT-A คืออะไร ? PGT-A หรือ Preimplantation Genetic Testing for Aneuploidy คือการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทั้งหมด 23 คู่ในตัวอ่อน โดยตรวจหาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับจำนวนโครโมโซม เช่น การมีโครโมโซมเกิน (Trisomy) หรือขาด (Monosomy) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) หรือ โรคเอ็ดยูเวิร์ด (Edwards Syndrome) โดยการทำ PGT-A จะช่วยลดความเสี่ยงในการแท้งบุตร และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่ประสบผลสำเร็จได้ PGT-A เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีประวัติการแท้งบุตรหลายครั้ง หรือเคสที่ต้องทำ IVF หรือ ICSI หลายรอบแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ โดย PGT-A จะช่วยเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมสมบูรณ์และเหมาะสมที่สุดสำหรับการฝังตัวในมดลูก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการแท้งบุตรและเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ PGT-M คืออะไร ? การตรวจ PGT-A จะเน้นไปที่การตรวจคัดกรองโครโมโซมทั้งหมดของตัวอ่อน ในขณะเดียวกันการตรวจ PGT-M หรือ...
Telemedicine คือบริการแพทย์ทางไกล เตรียมความพร้อมก่อนรักษา
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่สะดวกและรวดเร็วย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนการมีบุตร หรือต้องการเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก การแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine คือทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ความต่อเนื่องของการรักษาได้ Telemedicine คืออะไร ? ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า Telemedicine คือการให้คำปรึกษา หรือการวินิจฉัยผ่านทางเทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น วิดีโอคอล หรือการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลจากแพทย์โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สถานพยาบาล การแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine คือทางเลือกที่เหมาะสำหรับการติดตามอาการ การให้คำแนะนำเบื้องต้น หรือการปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคที่ไม่ต้องเข้ารับการตรวจร่างกายโดยตรง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการคำปรึกษาก่อนเดินทางมายังสถานพยาบาล เพื่อการรักษาที่สมบูรณ์ต่อเนื่อง ความแตกต่างระหว่าง Telemedicine และ Telehealth คืออะไร ? แม้ว่าคำว่า Telemedicine และ Telehealth ต่างเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพและมักถูกใช้แทนกัน แต่ทั้งสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้ Telemedicine จะมุ่งเน้นไปที่การให้บริการทางการแพทย์โดยตรง เช่น การวินิจฉัย การรักษา การสั่งยา และการติดตามอาการของผู้ป่วย โดยแพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ผ่านช่องทางออนไลน์ Telehealth มีขอบเขตที่กว้างกว่า ครอบคลุมบริการด้านสุขภาพทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการให้คำแนะนำด้านสุขภาพทั่วไป การให้ความรู้เกี่ยวกับโรค และการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ทำไม Telemedicine จึงสำคัญสำหรับผู้ป่วยทางไกล ? สำหรับผู้ป่วยที่อาศัยอยู่นอกกรุงเทพฯ หรือในต่างประเทศ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์จากแพทย์ที่ให้การรักษาอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อต้องการรับการรักษาเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร ทำให้การรักษาในรูปแบบ Telemedicine คือทางเลือกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ลดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายและเวลา การเดินทางมาเพื่อปรึกษาแพทย์เบื้องต้นเท่านั้น อาจเป็นการเสียค่าใช้จ่ายและเวลาโดยไม่จำเป็น แต่ด้วยระบบ Telemedicine จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การปรึกษาผ่าน...
อาหารเตรียมตั้งครรภ์แบบวีแกน: โปรตีนคุณภาพเพิ่มโอกาสมีบุตร
สำหรับสาย Vegan ที่กำลังเตรียมตัวทำ ICSI การได้รับโปรตีนสำหรับคนท้องที่เพียงพอจากพืชถือเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความสำคัญของโปรตีนในการเตรียมตั้งครรภ์ พร้อมแนวทางการจัดอาหารเตรียมตั้งครรภ์แบบวีแกนที่เหมาะสมกับการทำ ICSI ทำไมโปรตีนถึงสำคัญต่อการตั้งครรภ์และความสำเร็จของการทำ ICSI ? โปรตีนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างและพัฒนาเซลล์ โดยเฉพาะในช่วงเตรียมตั้งครรภ์และระหว่างกระบวนการทำ ICSI โดยโปรตีนจะช่วยในการสร้างเซลล์ไข่ที่มีคุณภาพ พัฒนาเนื้อเยื่อของระบบสืบพันธุ์ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน สำหรับผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวทำ ICSI ควรได้รับโปรตีนประมาณ 1-1.5 กรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 75-110 กรัมต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายมีสารอาหารที่เพียงพอในการสร้างฮอร์โมนสืบพันธุ์ พร้อมกับช่วยพัฒนาคุณภาพของไข่ และเตรียมมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังของตัวอ่อน นอกจากนั้น การได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอยังช่วยลดระดับอินซูลินและการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตกไข่และความสำเร็จของการปฏิสนธิ อีกทั้งโปรตีนยังจะช่วยในการสร้างเอนไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์อีกด้วย สาย Vegan จะสามารถทำ ICSI ได้สำเร็จหรือไม่ สาย Vegan หลายคนกังวลเรื่องโปรตีนสำหรับคนท้องที่ได้รับจากพืชเพียงอย่างเดียว ว่าจะมีผลต่อการความสำเร็จของการตั้งครรภ์หรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำ ICSI ซึ่งในความจริงนั้น ผู้ที่กินอาหารแบบวีแกนก็สามารถเตรียมตัวทำ ICSI ให้สำเร็จได้ หากวางแผนโภชนาการอย่างถูกวิธี ข้อดีของอาหารวีแกนสำหรับการเตรียมตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่กินอาหารแบบวีแกนสามารถตั้งครรภ์และคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย เพราะอาหารวีแกนมีข้อดีต่อการเตรียมตั้งครรภ์ ดังนี้ อาหารจากพืชช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ปรับปรุงระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มใยอาหารที่ช่วยดูดซึมสารอาหาร การเสริมสารอาหารสำคัญสำหรับสาย Vegan ที่กำลังเตรียมตัวทำ ICSI แม้การกินอาหารแบบวีแกนจะมีข้อดีต่อการเตรียมตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเสริมสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย โดยเฉพาะสารอาหารเหล่านี้ที่ส่งผลต่อคุณภาพของไข่และความสำเร็จในการทำ ICSI วิตามิน B12 จากซีเรียลเสริม B12 หรือ Supplement (2.4-2.8 ไมโครกรัม/วัน) ไอโอดีน จากเกลือเสริมไอโอดีนหรือสาหร่ายทะเล (220-250 ไมโครกรัม/วัน) ธาตุเหล็ก จากผักใบเขียว...
ลดเสี่ยงโรคร้าย ลูกสุขภาพดีได้ด้วยวิธีป้องกันโรคทางพันธุกรรม
การมีเจ้าตัวน้อยเข้ามาเป็นโซ่ทองคล้องใจและเติมเต็มให้ครอบครัวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถือเป็นสิ่งที่สามีภรรยาหลายคู่ต้องการ แต่การตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงมีประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดโรคหรือความผิดปกติไปยังลูกได้ ดังนั้น การตรวจคัดกรองโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ก่อนวางแผนตั้งครรภ์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่คู่สมรสควรทำ เพื่อช่วยให้การตั้งครรภ์ปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดความผิดปกติ ตลอดจนโรคต่าง ๆ จากพ่อแม่ไปสู่ลูกที่กำลังจะลืมตาดูโลก โรคทางพันธุกรรมคืออะไร ทำไมต้องให้ความสำคัญ ? โรคทางพันธุกรรม (Genetic Disorder) คือ โรคหรือความผิดปกติที่เกิดจากความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซม ซึ่งเป็นหน่วยพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก อาจเกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นพาหะของยีนผิดปกติ หรือทั้งคู่มีความผิดปกติในยีนเหล่านั้น รวมทั้งเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม โดยสามารถแสดงอาการได้ตั้งแต่แรกเกิดหรืออาจปรากฏขึ้นในช่วงชีวิตต่อมา ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้น โรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและการดำเนินชีวิตของเด็กในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ หรืออาจทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพที่ต้องการการดูแลรักษาตลอดชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมีย โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือโรคดาวน์ซินโดรม ดังนั้น การเข้าใจวิธีป้องกันโรคทางพันธุกรรม รวมทั้งการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมจึงมีความสำคัญมากสำหรับคู่สมรสที่กำลังวางแผนจะมีบุตร ประเภทของโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โรคทางพันธุกรรมมีหลากหลายชนิด โดยสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ โรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับยีน และโรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับโครโมโซม ซึ่งแต่ละประเภท มีรายละเอียดดังนี้ 1. โรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับยีน (Gene-level Disorders) เกิดจากการที่ยีนบางตัวมีการกลายพันธุ์หรือมีความผิดปกติในระดับโมเลกุล ซึ่งมีลักษณะการถ่ายทอดที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากพ่อหรือแม่ เช่น โรคฮันติงตัน โรคธาลัสซีเมีย โรคฮีโมฟีเลีย โรคซิสติกไฟโบรซิส 2. โรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับโครโมโซม (Chromosomal-level Disorders) เกิดจากความผิดปกติในโครโมโซม ซึ่งอาจจะเป็นการขาดหรือมีจำนวนโครโมโซมมากเกินไป ทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกายและการพัฒนาทางร่างกาย แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ เกิดจากความผิดปกติบนโครโมโซมชนิดออโตโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม ทริโซมี 18 ทริโซมี 13 เกิดจากความผิดปกติบนโครโมโซมเพศ ทั้งโครโมโซม X และโครโมโซม Y เช่น...
อยากมีลูกปีมะเมีย 2569 วางแผนก่อนท้อง ลูกน้อยคลอดทันฤกษ์ดี
ใกล้หมดปี 2568 คู่สมรสหลายคู่เริ่มพูดถึงการมีลูกปีมะเมีย (ปีม้า) ในปี 2569 กันมากขึ้นในโซเชียลมีเดีย ทั้งในแง่ของความเชื่อและความสำคัญด้านโหราศาสตร์ที่เหมาะกับการมีสมาชิกใหม่ สำหรับคู่สมรสที่วางแผนตั้งครรภ์เพื่อให้ลูกน้อยเกิดทันฤกษ์ดีในปี 2569 การทำความเข้าใจและวางแผนตั้งครรภ์ให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เป็นเรื่องที่ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เปิดตำราโหราศาสตร์ไทย ปีม้าเริ่มวันไหน ? อยากมีลูกปีมะเมีย 2569 ต้องรู้ คนส่วนใหญ่มักคิดว่า หลังหมดปี 2568 และเข้าสู่วันที่ 1 มกราคม 2569 ก็นับว่าเป็นปีมะเมียแล้ว แต่ในความเป็นจริง ทางโหราศาสตร์ไม่ได้ใช้วิธีนับปีด้วยวิธีสากลเสมอไป เพราะหากนับตามปฏิทินจันทรคติไทย ปีมะเมีย 2569 จะเริ่มต้นในวันที่ 19 มีนาคม 2569 เวลา 06:23 น. เป็นต้นไป ดังนั้น หากอยากให้ลูกน้อยเกิดในปีมะเมียอย่างแท้จริง ก็ต้องวางแผนตั้งครรภ์และคลอดหลังจากเวลาดังกล่าวเท่านั้น จุดเด่นของเด็กปีมะเมีย : มีพลัง ฉลาด เป็นผู้นำ กล้าแสดงออก การมีลูกในปีมะเมีย ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเสริมดวงและเสริมโชคลาภให้กับครอบครัว รวมทั้งตัวเด็กเอง เนื่องจากเด็กที่เกิดในปีนี้จะมีลักษณะและบุคลิกภาพที่โดดเด่นหลายประการ ดังนี้ 1. โอกาสดีในการศึกษาและการทำงาน เด็กที่เกิดในปีมะเมียมักมีพลัง ความมุ่งมั่น กระตือรือร้น และมีความสามารถในการเป็นผู้นำ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีโอกาสดีในการประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาและการงาน อีกทั้งยังมีความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้อื่นได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการเติบโตในสังคมด้วย 2. บุคลิกภาพที่โดดเด่น ปีม้าเป็นปีที่สื่อถึงความรวดเร็ว ว่องไว และพลังชีวิตที่สูง เด็กที่เกิดในปีนี้จึงมีบุคลิกภาพที่โดดเด่นและมั่นใจในตัวเอง พร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ด้วยความกล้าหาญและความมั่นใจ 3. ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดี การมีลูกในปีม้าเชื่อว่าจะช่วยเสริมดวงชะตาและความเป็นสิริมงคลให้กับครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อปีนักษัตรของลูกสมพงศ์กับปีเกิดของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะราบรื่นและเกื้อหนุนกัน ช่วยให้การดำเนินชีวิตครอบครัวมีความสุขและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 4. โอกาสดีในการวางแผนชีวิตและโชคลาภ สุดท้าย เชื่อกันว่าเด็กที่คลอดปีม้ามักเชื่อมโยงกับการเริ่มต้นใหม่และโอกาสที่ดี เป็นการเสริมดวงในเรื่องของโชคลาภและการเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิตครอบครัว...
กลูเตนกับภาวะมีบุตรยาก: ความเชื่อมโยงที่คุณควรรู้
ในปัจจุบัน ปัญหาภาวะมีบุตรยากเป็นเรื่องที่หลายคู่รักให้ความสำคัญและใส่ใจมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ที่หลายคนอาจมองข้ามไปก็คือเรื่องของโภชนาการ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารกลูเตนฟรี ที่หลายงานวิจัยพบว่า ภาวะแพ้กลูเตนหรือโรคเซลิแอคอาจมีผลต่อสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากโดยไม่รู้ตัว กลูเตนคืออะไร? กลูเตนเป็นโปรตีนที่พบในธัญพืชหลายชนิด โดยเฉพาะข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ โปรตีนชนิดนี้ทำหน้าที่ช่วยให้แป้งมีความยืดหยุ่นและเหนียวหนึบ จึงทำให้ขนมปังและผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่าง ๆ มีเนื้อสัมผัสที่นิ่มและอร่อย กลูเตนประกอบไปด้วยโปรตีนสองชนิดหลัก คือ กลูเทนิน (Glutenin) และกลาอิดิน (Gliadin) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ในผู้ที่มีความไวต่อกลูเตน อาหารที่มีกลูเตน ในชีวิตประจำวัน เราสามารถพบกลูเตนในอาหารหลายประเภท เช่น ขนมปังทุกชนิด พาสต้า เส้นใหญ่ เส้นหมี่ ข้าวโอ๊ตบางชนิด ขนมเบเกอรี่ เค้ก คุกกี้ เบียร์ ซอสถั่วเหลือง ซอสปรุงรสต่าง ๆ รวมถึงอาหารแปรรูปจำนวนมากที่มีการเติมแป้งสาลีเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ ยังอาจมีในผลิตภัณฑ์อย่าง ลูกอมบางชนิด หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาการแพ้กลูเตนและโรคเซลิแอค ความแตกต่างระหว่างอาการแพ้กลูเตนกับโรคเซลิแอค โรคเซลิแอค (Celiac Disease) เป็นโรคระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อต้านกลูเตน ทำให้เกิดการอักเสบและการทำลายเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก ส่งผลให้การดูดซึมสารอาหารผิดปกติ ในขณะที่ความไวต่อกลูเตนที่ไม่ใช่โรคเซลิแอค (Non-Celiac Gluten Sensitivity) แต่อาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายคลึงกัน แต่ไม่มีการทำลายเยื่อบุลำไส้ และไม่พบแอนติบอดีในเลือด อาการที่ควรสังเกต อาการแพ้กลูเตนมีความหลากหลาย ตั้งแต่อาการในระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน ไปจนถึงอาการนอกระบบย่อยอาหาร เช่น ผื่นคัน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดข้อ โลหิตจาง ความผิดปกติของระบบประสาท รวมถึงความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ อาการแฝงและการวินิจฉัย ในบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน หรือมีอาการเบา ๆ...



