การตรวจ FSHR Genotype Test ตัวช่วยวางแผนตั้งครรภ์เฉพาะบุคคล
การตรวจ FSHR Genotype Test คือการประเมินศักยภาพของรังไข่ผ่านการตรวจยีนตัวรับฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone Receptor) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเจริญของไข่ในรังไข่ การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์เข้าใจว่ารังไข่ของผู้หญิงตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ได้ดีมากน้อยเพียงใด เพื่อวางแผนการกระตุ้นไข่และการตั้งครรภ์อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในกระบวนการทำ ICSI (เด็กหลอดแก้ว) การรู้ข้อมูลพันธุกรรมของ FSHR ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ยาฮอร์โมนเกินความจำเป็น และเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น การวางแผนตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นจากการเข้าใจ 'ศักยภาพของรังไข่' ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดโอกาสการตั้งครรภ์ทั้งแบบธรรมชาติและผ่านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI ฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) เป็นฮอร์โมนหลักที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ในรังไข่ และระดับการตอบสนองต่อ FSH ในผู้หญิงแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความหลากหลายทางพันธุกรรมของตัวรับฮอร์โมน FSH (FSHR) เป็นหลัก การทำ FSHR Genotype Test จึงเป็นวิธีการตรวจยีนที่ช่วยประเมินความไวของรังไข่ต่อฮอร์โมน FSH ได้อย่างแม่นยำ ทำให้สูตินรีแพทย์สามารถวางแผนการกระตุ้นไข่และตั้งครรภ์แบบเฉพาะบุคคล เพิ่มโอกาสสำเร็จตั้งแต่ก้าวแรก ความหมายของ FSHR Genotype Test FSHR หรือ Follicle Stimulating Hormone Receptor คือ ตัวรับสัญญาณที่อยู่บนเซลล์รังไข่ ทำหน้าที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ที่หลั่งจากต่อมใต้สมอง เมื่อ FSH มาจับกับ FSHR ที่รังไข่ จะส่งสัญญาณให้เซลล์รังไข่แบ่งตัวและเจริญเติบโตเป็นไข่ พร้อมสำหรับการตกไข่และปฏิสนธิ ซึ่งแต่ละคนมีพันธุกรรม FSHR แตกต่างกัน...
PGT-SR คือทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ ลดความเสี่ยง
การตรวจคัดเลือกตัวอ่อนด้วย PGT-SR (Preimplantation Genetic Testing for Structural Rearrangement) เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ล้มเหลวในคู่รักที่มีปัญหาความผิดปกติของโครโมโซม โดยเฉพาะผู้ที่เป็น พาหะของ Balanced Translocation ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นมีการจัดเรียงโครโมโซมผิดพลาด ส่งผลให้แท้งซ้ำหรือเกิดภาวะผิดปกติทางพันธุกรรมได้ การตรวจ PGT-SR จึงมีบทบาทสำคัญในการคัดกรองและเลือกเฉพาะตัวอ่อนที่มีโครโมโซมปกติ เพื่อเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์สำเร็จ และลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดความผิดปกติสู่ลูกน้อยในอนาคต ในยุคที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเติมเต็มความฝันของคู่รักที่ต้องการมีบุตร การตรวจคัดเลือกตัวอ่อนด้วยวิธี PGT-SR ถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จและมีบุตรที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ โดยเฉพาะกับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะของ Balanced Translocation (โครโมโซมสลับที่แบบสมดุล) ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนเกิดการจัดเรียงโครโมโซมผิดพลาด ส่งผลให้เกิดตัวอ่อนที่ไม่สมบูรณ์ (Unbalanced Translocation) ทำให้มีโอกาสแท้งเองได้ง่าย หรือในบางกรณีอาจส่งผลให้เด็กที่เกิดมามีความผิดปกติทางพันธุกรรม ปูพื้นฐานสู่ภาวะมีบุตรยากจากพันธุกรรม ทำความรู้จักพาหะ Balanced Translocation สำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก หรือมีประวัติการแท้งซ้ำ การทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่มักถูกมองข้าม คือความผิดปกติทางโครโมโซมที่อาจเกิดขึ้นในตัวอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น พาหะของ Balanced Translocation Balanced Translocation หรือ การสลับตำแหน่งของโครโมโซม คือภาวะที่โครโมโซมเกิดการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนกันระหว่างโครโมโซมสองแท่ง หรือเกิดการพลิกกลับด้านภายในโครโมโซมแท่งเดียว โดยไม่มีการขาดหรือเกินของสารพันธุกรรม (DNA) ดังนั้น ผู้ที่เป็นพาหะมักจะไม่มีอาการผิดปกติ และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงขั้นตอนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (ไข่หรืออสุจิ) โครโมโซมที่สลับตำแหน่งอาจเกิดการจัดเรียงผิดพลาด ทำให้ได้ตัวอ่อนที่มีโครโมโซมเกินหรือขาด (Unbalanced Translocation) ตัวอ่อนกลุ่มนี้มักไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ ส่งผลให้เกิด ภาวะแท้ง หรือในบางกรณีอาจทำให้ทารกที่เกิดมามี ความผิดปกติทางพัฒนาการหรือสุขภาพ นัดหมายปรึกษาและตรวจสาเหตุการมีลูกยากได้ที่นี่ PGT-SR คืออะไร ? ทางเลือกสำหรับคู่รักที่มีภาวะแท้งซ้ำจากความผิดปกติทางโครโมโซม PGT-SR คือการตรวจคัดเลือกตัวอ่อนก่อนฝังตัวในมดลูก...
Carrier Screening การตรวจพาหะโรคพันธุกรรมก่อนมีบุตร
การตรวจพาหะโรคพันธุกรรม (Carrier Screening) คือการตรวจยีนของพ่อแม่ก่อนมีบุตรเพื่อดูว่ามียีนผิดปกติแฝงอยู่และเสี่ยงถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมให้ลูกหรือไม่ เหมาะกับคู่รักทุกคู่ หากไม่มีประวัติครอบครัว เพราะผู้เป็นพาหะมักไม่แสดงอาการ การทราบความเสี่ยงล่วงหน้าช่วยวางแผนการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย (เช่น ICSI ร่วมกับการคัดกรองตัวอ่อน PGT หรือการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด) ลดโอกาสเกิดโรครุนแรงในลูก และเพิ่มความมั่นใจในการเริ่มต้นครอบครัวอย่างรอบคอบมากขึ้น การมีบุตรคือความสุขของหลายคู่รัก แต่ใช่ว่าทุกคู่จะมั่นใจได้ว่า ลูกน้อยที่เกิดมาจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายของคุณพ่อคุณแม่อาจแฝงยีนผิดปกติที่ไม่เคยรู้มาก่อน ความเสี่ยงในการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมจึงกลายเป็นเรื่องที่หลายคนเป็นกังวล การตรวจ Carrier Screening หรือการตรวจคัดกรองพาหะของโรคทางพันธุกรรม จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจก่อนการตั้งครรภ์ และช่วยให้การวางแผนครอบครัวมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การตรวจพาหะโรคพันธุกรรม (Carrier Screening) คืออะไร ? การตรวจพาหะโรคพันธุกรรม (Carrier Screening) คือการตรวจทางพันธุศาสตร์เพื่อหาว่าบุคคลนั้นเป็น "พาหะ" ที่มียีนผิดปกติและอาจถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมไปสู่ลูกได้หรือไม่ แม้ว่าคนที่เป็นพาหะจะไม่แสดงอาการของโรคนั้นก็ตาม โดยการตรวจนี้จะช่วยให้คู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร สามารถทราบถึงความเสี่ยง ตลอดจนความเป็นไปได้ในการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (ICSI) ที่ทำควบคู่กับการคัดกรองตัวอ่อน (PGT) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของลูกในอนาคต ความแตกต่างของ Carrier Screening กับการตรวจสุขภาพทั่วไป โดยทั่วไป การตรวจสุขภาพอาจครอบคลุมเพียงการตรวจโรคบางชนิด เช่น ตรวจพาหะโรคพันธุกรรม อย่างธาลัสซีเมียที่พบมากในประเทศไทย แต่มีข้อจำกัดคือ สามารถตรวจพบได้เพียงไม่กี่โรคในแต่ละครั้ง ขณะที่เทคโนโลยีการถอดรหัสยีนนวัตกรรมใหม่อย่างการตรวจ Next-Generation Sequencing (NGS) จะสามารถตรวจครอบคลุมได้หลายร้อยยีนพร้อมกันในครั้งเดียว ซึ่งความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีนี้ จะทำให้การตรวจแบบ Carrier Screening มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังได้ข้อมูลที่ชัดเจน ครอบคลุม และแม่นยำมากกว่าเดิม นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นัดหมายปรึกษาและตรวจพาหะโรคพันธุกรรมกับ VFC ได้ที่นี่ ความสำคัญของการตรวจ Carrier Screening...
ไมโครพลาสติกคืออะไร และส่งผลต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์อย่างไร?
ไมโครพลาสติกคือเศษพลาสติกขนาดเล็กที่พบได้ในอาหาร น้ำ และอากาศรอบตัวเรา และด้วยความที่มีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายและสะสมในอวัยวะต่าง ๆ จนส่งผลกระทบต่อระบบร่างกาย รวมถึงสุขภาพการเจริญพันธุ์ของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง การเข้าใจว่าไมโครพลาสติกมาจากแหล่งใด เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร จะช่วยให้เราป้องกันและลดความเสี่ยงที่เกิดกับสุขภาพได้ บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับไมโครพลาสติกและแนวทางดูแลตัวเองเพื่อเพิ่มโอกาสการมีบุตรให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น นัดหมายพูดคุยกับสูตินรีแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการตั้งครรภ์ ไมโครพลาสติกคืออะไร? ไมโครพลาสติก (Microplastic) คือเศษพลาสติกขนาดเล็กมากที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 5 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กจนบางครั้งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พลาสติกเหล่านี้อาจเกิดจากการแตกตัวของขยะพลาสติกชิ้นใหญ่ หรือถูกผลิตขึ้นมาโดยตรงเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยความที่มีขนาดเล็ก ทำให้ไมโครพลาสติกสามารถปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่เราดื่ม อากาศที่เราหายใจ รวมถึงอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในทุกวัน แหล่งที่มาของไมโครพลาสติก ปัจจุบัน ไมโครพลาสติกเกิดได้จากหลายทาง โดยสามารถแยกแหล่งที่มาได้ดังนี้ การแตกสลายของขยะพลาสติก พลาสติกที่เราทิ้งสู่สิ่งแวดล้อม เช่น ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก อวนจับปลา หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อโดนแสงแดด ความร้อน และแรงเสียดสี จะค่อย ๆ แตกตัวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนกลายเป็นไมโครพลาสติก การเสื่อมสลายนี้ทำให้พลาสติกที่เคยมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลายเป็นชิ้นที่เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ อีกทั้งเมื่อถูกน้ำหรืออากาศพัดกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ก็สามารถซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเราได้ ผลิตภัณฑ์ที่มีไมโครพลาสติกโดยตรง ผลิตภัณฑ์บางชนิดถูกผลิตให้มีชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็ก เช่น เม็ดสครับ (Microbeads) ในสบู่ ยาสีฟัน หรือเครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ เส้นใยสังเคราะห์จากเสื้อผ้า เช่น โพลีเอสเตอร์ ไนลอน หรืออะคริลิก ก็เป็นแหล่งที่ทำให้ไมโครพลาสติกหลุดออกระหว่างการซักล้างได้เช่นเดียวกัน ไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายของเราได้อย่างไร? ไมโครพลาสติกคือเศษพลาสติกขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้หลายช่องทาง แต่วิธีหลัก ๆ ที่ร่างกายได้รับไมโครพลาสติกมีดังนี้ ผ่านอาหารและน้ำ จากงานวิจัยพบว่า ไมโครพลาสติกสามารถปนเปื้อนอยู่ในสัตว์ทะเล เช่น ปลา กุ้ง หอย จากการที่สัตว์น้ำเหล่านี้กินเข้าไป รวมถึงอาหารและน้ำดื่มที่ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก การบริโภคอาหารเหล่านี้อาจทำให้เราสะสมไมโครพลาสติกเข้าไปในร่างกายโดยไม่รู้ตัว ผ่านทางอากาศ นอกจากอาหารและน้ำแล้ว ไมโครพลาสติกยังสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ...
การฉีดสีท่อนำไข่ ตรวจหาสาเหตุมีบุตรยาก เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
การฉีดสีท่อนำไข่ (HSG) คือการตรวจเอกซเรย์ที่ฉีดสารทึบรังสีผ่านปากมดลูกเพื่อดูโพรงมดลูกและท่อนำไข่อย่างชัดเจน ใช้คัดกรองสาเหตุภาวะมีบุตรยากที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น ท่อนำไข่ตีบตัน พังผืด หรือความผิดปกติในโพรงมดลูก ซึ่งอาจขัดขวางการพบกันของไข่และอสุจิ การตรวจช่วยวินิจฉัยได้ตรงจุดและวางแผนรักษาได้แม่นยำ ส่งผลให้โอกาสตั้งครรภ์ในรอบถัดไปสูงขึ้น โดยอาการปวดหน่วงมักเป็นเพียงชั่วคราวและหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำไมคู่สามีภรรยาบางคู่พยายามมีลูกมานานแต่ยังไม่สำเร็จ ? คำตอบอาจอยู่ที่ “ท่อนำไข่” ซึ่งเป็นปัญหาที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า การฉีดสีท่อนำไข่ (HSG) จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยปัญหาได้อย่างตรงจุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น บทความนี้ขอชวนมาทำความรู้จักการตรวจนี้อย่างละเอียด เพื่อเตรียมพร้อมสู่ก้าวต่อไปของการสร้างครอบครัวในฝัน การฉีดสีท่อนำไข่ คืออะไร? การฉีดสีท่อนำไข่ หรือการตรวจ HSG (Hysterosalpingography) คือการตรวจโพรงมดลูกและท่อนำไข่ด้วยรังสีเอกซเรย์ โดยแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีที่มีส่วนผสมของไอโอดีนผ่านปากมดลูกเข้าไปในมดลูกและท่อนำไข่ จากนั้นจะถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อดูเส้นทางที่สารสีนี้ไหลผ่าน ซึ่งจะช่วยให้เห็นรูปร่างของมดลูกและท่อนำไข่ได้อย่างชัดเจน ทำให้ตรวจพบความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากได้ นัดหมายสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจภาวะมีบุตรยากและหาสาเหตุอย่างแม่นยำ ทำไมควรฉีดสีท่อนำไข่? การฉีดสีท่อนำไข่ หรือการตรวจ HSG มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากสามารถช่วยค้นหาสาเหตุได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับท่อนำไข่ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการลำเลียงไข่จากรังไข่มาพบกับอสุจิและเป็นเส้นทางให้ตัวอ่อนเคลื่อนตัวกลับไปฝังตัวในโพรงมดลูก การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์สามารถระบุปัญหาสำคัญดังต่อไปนี้ ท่อนำไข่ตีบตัน : เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของภาวะมีบุตรยาก ซึ่งจะทำให้ไข่และอสุจิไม่สามารถเดินทางมาพบกันได้ พังผืดในโพรงมดลูก หรือท่อนำไข่ : ซึ่งอาจเกิดจากการอักเสบ หรือการผ่าตัดในอดีต ทำให้ท่อนำไข่ทำงานผิดปกติ ความผิดปกติของโพรงมดลูก : เช่น เนื้องอกมดลูก (Fibroids) หรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูก (Polyps) ที่อาจไปขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน นอกจากนี้ ในบางกรณีการใช้สารทึบรังสีแบบน้ำมัน หรือสารทึบรังสีชนิดฉีด (Contrast Medium) ยังสามารถช่วยชะล้างสิ่งอุดตันขนาดเล็กในท่อนำไข่และโพรงมดลูก ทำให้เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ในรอบหลังตรวจ ผลข้างเคียงที่ควรทราบ แม้ว่าการฉีดสีท่อนำไข่ (HSG) จะเป็นการตรวจที่ปลอดภัยและใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็เหมือนกับหัตถการทางการแพทย์ชนิดอื่น ที่อาจมีผลข้างเคียง หรือความเสี่ยงที่ควรทราบล่วงหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่รุนแรงและสามารถจัดการได้หลังจากการตรวจ HSG ...
ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย: อวัยวะเพศไม่แข็งตัวรักษาได้
ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (Erectile Dysfunction: ED) หรืออวัยวะเพศไม่แข็งตัวเป็นปัญหาที่พบได้ทุกวัย ไม่ใช่แค่วัยสูงอายุ และส่งผลต่อความมั่นใจ ความสัมพันธ์ และสุขภาพโดยรวม แต่ อวัยวะเพศไม่แข็งตัวรักษาได้ หากหาสาเหตุให้ตรงจุดและรับการดูแลอย่างเหมาะสม แนวทางรักษามีตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้ยา การบำบัดฮอร์โมน ไปจนถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง โดยควรเริ่มจากพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุทั้งด้านร่างกายและจิตใจ แล้ววางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละคน ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชายคืออะไร? ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย คือภาวะที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้เต็มที่ หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ อาการนี้ต่างจากปัญหาชั่วคราวที่เกิดจากความเครียดหรือความเหนื่อยล้า เพราะภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศมักเกิดซ้ำต่อเนื่องและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างชัดเจน อาการนี้พบได้มากในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี แต่ก็ใช่ว่าผู้ชายวัยหนุ่มจะไม่พบกับภาวะนี้ เพราะพฤติกรรมเสี่ยงและโรคประจำตัวบางอย่างก็เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน อาการของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย เมื่อรู้แล้วว่าภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศคืออะไร ขั้นตอนถัดไปคือการสังเกตอาการของตัวเอง เพราะอาการที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและใจได้ สำหรับอาการที่บ่งบอกว่าอาจเข้าข่ายภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ได้แก่ อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้เลยแม้มีสิ่งเร้าทางเพศ : อวัยวะเพศไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศ ซึ่งบ่งชี้ถึงความผิดปกติของหลอดเลือดหรือระบบประสาท แข็งตัวได้แต่ไม่นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ : การแข็งตัวไม่คงตัว ทำให้การมีเพศสัมพันธ์หยุดชะงัก และส่งผลต่อความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย ความต้องการทางเพศลดลง : ฮอร์โมนเพศชายต่ำหรือมีปัญหาทางจิตใจ อาจทำให้ความอยากทางเพศลดลง ร่วมกับการแข็งตัวที่ไม่เต็มที่ เกิดความเครียดและขาดความมั่นใจ : เมื่อเกิดซ้ำ ๆ ผู้ชายที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ จะรู้สึกกดดัน วิตกกังวล และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในอนาคต มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ? ปรึกษาเพื่อหาแนวทางรักษากับแพทย์จาก VFC Center ได้ที่นี่ สาเหตุของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชายเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแค่อายุที่เพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุดังนี้ 1. ปัจจัยทางร่างกาย เกิดโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ทำให้เส้นเลือดแข็งและตีบตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่เพียงพอ โรคหัวใจและหลอดเลือด...
ฝากไข่อายุเท่าไหร่ ? ชวนเข้าใจเพื่อวางแผนมีบุตรอย่างปลอดภัย
“ฝากไข่อายุเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด?” เป็นคำถามสำคัญของผู้หญิงยุคใหม่ที่ต้องการวางแผนมีบุตรอย่างปลอดภัยในอนาคต การฝากไข่หรือการแช่แข็งไข่ เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ช่วยเก็บรักษาไข่คุณภาพดีไว้ในช่วงวัยที่ร่างกายยังแข็งแรง เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ภายหลัง ช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดในการฝากไข่คือระหว่าง 25–35 ปี เพราะเป็นช่วงที่รังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ดีที่สุด ไข่มีคุณภาพสูง และมีจำนวนเพียงพอสำหรับใช้ในอนาคต ส่วนผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปียังสามารถฝากไข่ได้เช่นกัน แต่ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อประเมินโอกาสและวางแผนอย่างเหมาะสมก่อนตัดสินใจ ในยุคปัจจุบัน ผู้หญิงจำนวนมากเลือกให้ความสำคัญกับการเรียน การงาน หรือเป้าหมายชีวิตส่วนตัว ก่อนเรื่องการสร้างครอบครัว ทำให้แนวโน้มของการแต่งงานและมีลูกเริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ช่วงอายุที่เหมาะสมต่อการมีลูกถูกเลื่อนออกไป ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป คุณภาพของไข่ย่อมลดลงตามธรรมชาติ เทคโนโลยีการ “ฝากไข่” หรือ “แช่แข็งไข่” จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงยังสามารถมีลูกในเวลาที่เหมาะสมกับตนเองได้ โดยไม่ต้องกังวลกับความเสื่อมของร่างกายที่มากับอายุ สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลว่า ควรฝากไข่ในช่วงอายุเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด ? บทความนี้มีคำตอบ ควรฝากไข่ในช่วงอายุเท่าไหร่ ? ช่วงอายุที่ดีที่สุดสำหรับการฝากไข่ ช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝากไข่ คือ ระหว่าง 25-35 ปี เนื่องจากรังไข่ยังตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ดี ร่างกายยังผลิตไข่ที่มีคุณภาพสูง และสามารถเก็บไข่ได้ในจำนวนมาก ส่งผลให้โอกาสสำเร็จของการตั้งครรภ์ในอนาคตสูงตามไปด้วย หากฝากไข่หลังอายุ 35 ปี จะเป็นอย่างไร ? เมื่ออายุเกิน 35 ปี รังไข่อาจเริ่มเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้โอกาสที่ไข่จะปฏิสนธิและฝังตัวสำเร็จลดลงอย่างต่อเนื่อง ในบางรายอาจต้องเก็บไข่หลายรอบถึงจะได้จำนวนที่เพียงพอ ซึ่งแม้ว่าจะยังสามารถฝากไข่ได้ แต่อาจต้องใช้เวลาและการดูแลที่มากขึ้น สามารถฝากไข่ตอนอายุ 40 ปีขึ้นไปได้ไหม ? แม้ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันจะสามารถเก็บไข่ในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปได้ แต่โอกาสตั้งครรภ์จากไข่ที่เก็บไว้ในช่วงอายุนี้จะต่ำกว่าช่วงวัยหนุ่มสาวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพไข่และความเสี่ยงของความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม อย่างไรก็ตาม หากเป็นทางเลือกสุดท้าย การฝากไข่ในวัยนี้ยังถือว่ามีประโยชน์ โดยเฉพาะหากมีการวางแผนใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพิ่มเติม นัดหมายสูตินรีแพทย์ เพื่อปรึกษาเรื่องการฝากไข่ ความเสื่อมของคุณภาพไข่ตามอายุ ผู้หญิงเกิดมาพร้อมจำนวนไข่ที่มีจำกัด และร่างกายไม่สามารถสร้างไข่ใหม่ได้ตลอดชีวิต เมื่ออายุมากขึ้น ทั้งปริมาณและคุณภาพของไข่จะลดลง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35...
กินอะไรบำรุงมดลูกให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
การเตรียมมดลูกให้แข็งแรงเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการตั้งครรภ์ เพราะมดลูกที่สมบูรณ์จะช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีและลดความเสี่ยงของภาวะแท้ง สำหรับคนที่สงสัยว่า ควรจะกินอะไร ที่จะบำรุงมดลูกให้แข็งแรง คำตอบคือควรเน้นอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ปรับสมดุลฮอร์โมน และบำรุงเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมต่อการฝังตัว เช่น ผักใบเขียว ธัญพืช ถั่ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ไข่ และปลาทะเล ซึ่งล้วนเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญอย่างโฟเลต เหล็ก โอเมกา-3 และโปรตีนคุณภาพดี ที่ช่วยเสริมสุขภาพมดลูกและรังไข่ให้พร้อมสำหรับการมีบุตรอย่างเป็นธรรมชาติ การเตรียมตัวเป็นคุณแม่ไม่ได้เริ่มจากการตั้งครรภ์เพียงอย่างเดียว แต่เริ่มจากการดูแลตัวเองให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะมดลูกที่เป็นหัวใจสำคัญของการตั้งครรภ์ หลายคนอาจสงสัยว่าควรกินอะไรดีที่จะช่วยบำรุงมดลูกให้แข็งแรง พร้อมเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแท้ง วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกัน ทำไมถึงควรบำรุงมดลูกด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ระหว่างการวางแผนตั้งครรภ์? มดลูกเป็นอวัยวะที่ตัวอ่อนจะฝังตัวและเริ่มพัฒนาหลังจากการปฏิสนธิ เยื่อบุโพรงมดลูกจะเตรียมพร้อมรับตัวอ่อนและส่งสารอาหารจำเป็นให้กับการเจริญเติบโตของทารกในช่วงเริ่มต้น การมีมดลูกที่แข็งแรงและได้รับสารอาหารครบถ้วนจะช่วยให้กระบวนการวางแผนตั้งครรภ์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น อาหารบำรุงมดลูกจึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของโภชนาการ แต่เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจให้คุณแม่พร้อมสำหรับการมีบุตรด้วย อาหารมีผลต่อสุขภาพมดลูกอย่างไร? เพิ่มการไหลเวียนเลือด ให้เยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) ได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ เพิ่มความพร้อมในการฝังตัวของตัวอ่อน บำรุงเยื่อบุโพรงมดลูกและรังไข่ เพื่อเพิ่มความหนาและความสมบูรณ์ ให้พร้อมต่อการรองรับการฝังตัวของตัวอ่อน ปรับสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกในช่วงตกไข่ ทำให้เยื่อบุหนาขึ้นพร้อมสำหรับรับตัวอ่อน อีกทั้งยังจะช่วยให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมีความสมดุล ซึ่งมีหน้าที่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นและแข็งแรง ช่วยให้ตัวอ่อนไม่หลุดระหว่างการฝังตัว ลดความเสี่ยงการอักเสบ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ และทำให้มดลูกแข็งแรงในระหว่างการตั้งครรภ์ นัดหมายปรึกษาและตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์กับ VFC ได้ที่นี่ ควรเลือกกินอะไรดี แนะนำอาหารที่ช่วยบำรุงมดลูกให้แข็งแรง! เตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์ได้อย่างมั่นใจ ด้วยการเลือกอาหารที่มีโภชนาการครบถ้วน ที่ส่งผลดีต่อฮอร์โมนและบำรุงมดลูก ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการฝังตัวของตัวอ่อน ด้วยอาหาร 4 ประเภทหลัก ดังนี้ ผักใบเขียว ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บรอกโคลี เคล มีสารอาหารสำคัญอย่างโฟเลตและวิตามิน E ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเซลล์ใหม่ในเยื่อบุโพรงมดลูก และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์จากความเสียหายและการอักเสบ...
รู้สาเหตุประจำเดือนมาไม่ปกติ สัญญาณเตือนภาวะมีบุตรยาก
สำหรับผู้หญิง การที่ประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นสัญญาณของสุขภาพที่ดี และมีสภาวะการเจริญพันธุ์ที่สมบูรณ์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่ว่าจะมาไม่ตรงเวลา มามากหรือน้อยเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องปกติ แต่คือสัญญาณที่ร่างกายกำลังส่งมาให้เราใส่ใจต่อสุขภาพให้มากขึ้น เพราะปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจเกี่ยวพันกับปัญหาสุขภาพ ทั้งยังบ่งบอกถึงความเสี่ยงของภาวะมีบุตรยากที่ไม่ควรมองข้ามอีกด้วย ประจำเดือนมาไม่ปกติ คืออะไร? ประจำเดือนปกติของผู้หญิงแต่ละคนจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้ว รอบประจำเดือนปกติจะมีระยะเวลาอยู่ระหว่าง 21-35 วัน นับจากวันแรกของประจำเดือน ณ ขณะนั้น ไปจนถึงวันแรกของประจำเดือนครั้งถัดไป ส่วนระยะเวลาที่มีเลือดออกจะอยู่ระหว่าง 3-7 วัน ซึ่งหากรอบเดือนของคุณอยู่ในเกณฑ์นี้ก็ถือว่าเป็นรอบเดือนปกติ เมื่อไรถึงเข้าข่ายว่าประจำเดือนมาไม่ปกติ? หากประจำเดือนของคุณเริ่มมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเกณฑ์โดยทั่วไปที่กล่าวมาข้างต้น ก็อาจถือว่าเข้าข่ายประจำเดือนมาไม่ปกติได้ เช่น รอบเดือนสั้นกว่า 21 วัน รอบเดือนยาวกว่า 35 วัน หรือขาดหายไปเป็นเวลานาน รอบเดือนมีปริมาณมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 1-2 ชั่วโมง หรือมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยไม่กี่วัน ระยะเวลาที่มีเลือดออกนานเกิน 7 วัน สาเหตุของประจำเดือนมาไม่ปกติ ปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์แตกต่างกันไป โดยแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยทางฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนขาดความสมดุล ความผิดปกติของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมรอบเดือน เมื่อเกิดความไม่สมดุลอาจทำให้รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือบางครั้งอาจทำให้ไม่มีการตกไข่เกิดขึ้นเลย ความผิดปกติของไทรอยด์ เนื่องจากต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ควบคุมระบบเผาผลาญของร่างกาย รวมถึงการทำงานของฮอร์โมนเพศ หากเกิดความผิดปกติ เช่น ผลิตฮอร์โมนมากเกินไป (Hyperthyroidism) หรือน้อยเกินไป (Hypothyroidism) ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรอบประจำเดือนได้ ปัจจัยด้านปัญหาของระบบสืบพันธุ์ ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ถุงน้ำรังไข่หลายใบหรือ PCOS เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ทำให้เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนและส่งผลต่อการตกไข่ ผู้ที่เป็น PCOS มักจะมีอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ มีขนดกหนากว่าปกติ น้ำหนักเพิ่ม และอาจมีปัญหาสิวร่วมด้วย เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือ Endometriosis เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตนอกโพรงมดลูก ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องรุนแรง...
ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลงกับภาวะมีบุตรยากต่างกันอย่างไร?
หลายคู่สมรสมักสับสนระหว่าง "ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลง" กับ "ภาวะมีบุตรยาก" ทั้งที่จริงแล้ว สองสิ่งนี้มีความหมายที่แตกต่างกัน การเข้าใจสาเหตุการมีลูกยาก รวมถึงความแตกต่างระหว่างภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลงกับภาวะมีบุตรยาก จะช่วยให้คุณรู้ถึงวิธีการดูแลที่เหมาะสม และช่วยเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น 1. ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลง คืออะไร? ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลง (Subfertility) หมายถึงภาวะที่ความสามารถในการเจริญพันธุ์ลดลงจากปกติ แต่ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้เอง เพียงแต่อาจใช้เวลานานกว่าปกติ ซึ่งแตกต่างจากภาวะมีบุตรยากที่อาจไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เลยหากไม่ได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์ ภาวะนี้เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยกับคู่สมรสในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีอายุมากขึ้น หรือมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หากเข้าใจลักษณะและสาเหตุของภาวะนี้ ก็จะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมและแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.1 ลักษณะสำคัญของภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลง การระบุลักษณะของภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลงจะช่วยให้คู่สมรสเข้าใจสถานการณ์ของตนเองได้ดียิ่งขึ้น และสามารถวางแผนการดูแลที่เหมาะสมในขั้นตอนต่อไป ใช้เวลาตั้งครรภ์นานกว่า 6-12 เดือน แต่ยังมีโอกาสสำเร็จ คู่สมรสที่มีภาวะนี้มักจะใช้เวลาในการพยายามมีบุตรนานกว่าคู่ปกติ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ต้องใช้ความอดทนและการดูแลที่เหมาะสม ฮอร์โมนและระบบสืบพันธุ์ยังทำงานได้ แต่ประสิทธิภาพลดลง ระบบสืบพันธุ์ยังคงสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ แต่อาจมีความล่าช้าหรือมีประสิทธิภาพที่ไม่สมบูรณ์ เช่น การตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอ หรือคุณภาพของไข่และสเปิร์มที่ลดลงเล็กน้อย อาจมีปัจจัยเสี่ยงเล็กน้อย เช่น อายุ ความเครียด หรือการใช้ชีวิต ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มักเป็นสิ่งที่สะสมมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานหนัก การนอนไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการเจริญพันธุ์ คิดว่าคู่ของคุณอาจมีภาวะเจริญพันธุ์ต่ำ ? ปรึกษาแพทย์ด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากได้ที่นี่ 1.2 สาเหตุที่พบบ่อยของภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลง การทราบสาเหตุของภาวะเจริญพันธุ์ต่ำลงจะช่วยให้สามารถปรับปรุงและแก้ไขได้อย่างตรงจุด ซึ่งสาเหตุอาจมาจากฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย หรือทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้ สาเหตุที่พบในผู้หญิง อายุมากขึ้น (หลัง 35 ปี) เมื่ออายุเพิ่มขึ้น จำนวนและคุณภาพของไข่จะลดลงตามธรรมชาติ อีกทั้งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลงและใช้เวลานานขึ้น โดยเฉพาะหลังจากอายุ 35 ปี ความสามารถในการเจริญพันธุ์จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ความผิดปกติของการตกไข่เล็กน้อย การตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอ...



