เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

APS (Antiphospholipid Syndrome) คือภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

ภาวะ APS คือหนึ่งในสาเหตุของการมีบุตรยาก พร้อมวิธีการรักษา

คู่สมรสที่พยายามมีบุตรและกำลังเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการ IVF (In Vitro Fertilization) หรือ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ แม้จะผ่านการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ ปฏิสนธิ และย้ายตัวอ่อนมาหลายครั้งแล้วก็ตาม สิ่งหนึ่งที่อาจต้องพิจารณาอย่างจริงจังคือ ภาวะ APS (Antiphospholipid Syndrome) หรือที่เรียกกันว่า "แอนติฟอสโฟลิพิด ซินโดรม" ภาวะนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่อาจส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในระหว่างการตั้งครรภ์ การทำความเข้าใจภาวะ APS อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้คุณและคู่สมรสสามารถตัดสินใจหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้เป็นไปตามที่คาดหวัง ภาวะ APS คืออะไร? ภาวะ APS (Antiphospholipid Syndrome) คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง โดยการสร้างแอนติบอดีที่โจมตีโปรตีนฟอสโฟลิพิดในร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงมดลูก ทำให้การฝังตัวของตัวอ่อนไม่สำเร็จ หรือเสี่ยงเกิดภาวะแท้งคุกคามได้ การตรวจวินิจฉัยเพื่อวิเคราะห์หาภาวะ APS การวินิจฉัยภาวะ APS มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง การตรวจวินิจฉัยภาวะ APS จะดำเนินการโดยแพทย์ ซึ่งจะพิจารณาจากอาการทางคลินิกและผลการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่า Antiphospholipid Antibodies แอนติบอดีเหล่านี้ ได้แก่ Lupus Anticoagulant (LA) Anticardiolipin Antibody (aCL)  Anti-β2-glycoprotein I Antibody (anti-β2GPI)  หากตรวจพบแอนติบอดีเหล่านี้ในปริมาณที่สูงกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเกิดภาวะ APS ได้ อีกทั้งการตรวจเลือดไม่เพียงแต่ช่วยยืนยันการวินิจฉัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้แพทย์รู้ถึงระดับความรุนแรงและความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง...

ผู้หญิงที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงสามารถตั้งครรภ์ได้หากวางแผนอย่างถูกวิธี

อ้วน ไขมันในเลือดสูง สาเหตุคนไทยมีลูกยากไม่รู้ตัว

ทุกคนคงทราบดีว่า 'ภาวะไขมันในเลือดสูง' เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่นอกจากผลกระทบต่อสุขภาพทั่วไปแล้ว ภาวะนี้ยังส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกายและระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงและผู้ชายอีกด้วย หากคุณกำลังวางแผนตั้งครรภ์หรือเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การรู้จักวิธีควบคุมระดับไขมันในเลือดจะช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ และนำไปสู่การเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์และมีบุตรได้อย่างมีนัยสำคัญ ไขมันในเลือดสูงคืออะไร? ไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) คือ ภาวะที่ระดับไขมันในเลือดสูงเกินปกติ โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด สาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง การขาดการออกกำลังกาย การมีน้ำหนักเกิน การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มาก รวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรมหรือโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน โรคไต หรือไทรอยด์ทำงานต่ำ ซึ่งในทางการแพทย์ ไขมันในเลือดถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ LDL (Low-Density Lipoprotein) : คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือไขมันเลว หากมีปริมาณสูงเกินไป จะสะสมอยู่ในหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงทำให้หลอดเลือดตีบ ซึ่งระดับปกติควรอยู่ที่ไม่เกิน 100 mg/dL HDL (High-Density Lipoprotein) : คอเลสเตอรอลชนิดดีหรือไขมันดี ช่วยนำ LDL กลับไปที่ตับเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ผู้ชายควรมากกว่า 50 mg/dL และผู้หญิงควรมากกว่า 40 mg/dL ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) : ไขมันอีกชนิดที่หากสูงเกินไป ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจได้เช่นกัน ระดับปกติควรอยู่ที่ไม่เกิน 150 mg/dL ผลกระทบของภาวะไขมันในเลือดสูงต่อสุขภาพโดยรวม ในระยะแรก ภาวะไขมันในเลือดสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ในระยะยาว ภาวะนี้ก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญต่อสุขภาพหลายประการ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด : ไขมันที่สูงเกินไปจะไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเกิดขึ้นกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ...

ไม่ตั้งครรภ์ เป็นเพราะไข่ตั้งต้นน้อยจริงหรือไม่

“ฟองไข่ตั้งต้นน้อย” น่ากังวลหรือไม่ ต่อการวางแผนมีบุตร?

“ไข่ตั้งต้นน้อย” คำพูดที่เหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อหลุดออกมาจากปากคุณหมอ หลายคนที่กำลังวางแผนการมีบุตร คงจะรู้สึกตกใจ เสียใจ และกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นปมปัญหาที่อาจทำให้ความฝันเรื่องการมีลูก ดูไกลออกไปกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเลขที่บ่งบอกว่ามีฟองไข่ตั้งต้นน้อย อาจยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเส้นทาง เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ และควรเริ่มต้นจากความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อหาแนวทางฟื้นฟูอย่างเหมาะสม “ไข่ตั้งต้น” คืออะไร และเกี่ยวอะไรกับโอกาสในการตั้งครรภ์? ไข่ตั้งต้น หรือ Antral Follicle Count (AFC) คือจำนวนฟองไข่เล็กในรังไข่ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยอัลตราซาวนด์ ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดปริมาณไข่สำรองในรังไข่ของผู้หญิงแต่ละคน การนับจำนวนฟองไข่นี้ช่วยให้แพทย์เข้าใจถึงสภาพความพร้อมของรังไข่สำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคต ทำไมแพทย์ใช้ตัวเลขนี้ประเมินภาวะเจริญพันธุ์? แพทย์มักใช้ AFC ร่วมกับการตรวจฮอร์โมน AMH (Anti-Mullerian Hormone) เพื่อประเมินภาวะเจริญพันธุ์อย่างแม่นยำ ตัวเลข AFC จะบอกปริมาณฟองไข่ตั้งต้น ขณะที่ AMH ช่วยสะท้อนความสามารถของรังไข่ในการตอบสนองต่อฮอร์โมนกระตุ้น การประเมินสองตัวนี้ร่วมกันช่วยให้แพทย์วางแผนการมีบุตร และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการกระตุ้นไข่หรือเก็บไข่ล่วงหน้าได้ ไข่ตั้งต้นน้อย = โอกาสมีลูกน้อยลง จริงไหม? เมื่อได้ยินคำว่าไข่ตั้งต้นน้อย หลายคนอาจกังวลว่าปริมาณไข่ที่ลดลงจะหมายถึงโอกาสตั้งครรภ์ลดลง แต่ความจริงคือ ไข่ตั้งต้นน้อยบ่งบอกเพียงปริมาณไข่ที่มีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพของไข่ลดลงไปทั้งหมด เพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณภาพของไข่จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อโอกาสตั้งครรภ์มากกว่าแค่จำนวนของไข่ที่ตรวจพบ ปัจจัยที่ทำให้มีฟองไข่ตั้งต้นน้อย หรือลดลง การมีไข่ตั้งต้นน้อยหรือมีปริมาณลดลงกว่าที่ควรจะเป็น อาจเกิดได้จากปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อรังไข่และปริมาณไข่ของผู้หญิง ดังนี้ อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหลักที่ควบคุมไม่ได้ และส่งผลอย่างมากต่อจำนวนและคุณภาพของไข่ (Oocyte, Follicle) ในผู้หญิง โดยจะลดลงตามธรรมชาติ ซึ่งจะเริ่มลดเร็วขึ้นหลังอายุ 30 ปี  และลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเกิน 35 ปี   ภาวะทุพโภชนาการ รับสารอาหารไม่ครบหรือไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสร้างและการพัฒนาของฟองไข่ โดยเฉพาะโปรตีนและวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินดี, สังกะสี...

ชื้อ HPV อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์โดยเพิ่มความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และอาจติดต่อถึงทารกขณะทำคลอด

เชื้อ HPV กับการวางแผนตั้งครรภ์ สำคัญต่อสุขภาพแม่-ทารกยังไง

การวางแผนตั้งครรภ์ไม่ได้หมายถึงเพียงการเลือกเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่รวมถึงการเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับการเป็นแม่ด้วย การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าร่างกายพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรอย่างปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในการตรวจที่สำคัญแต่มักถูกมองข้าม คือ การตรวจหาเชื้อ HPV ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพแม่และลูกได้ ดังนั้นการรู้จักและเข้าใจเรื่องเชื้อ HPV จึงเป็นก้าวแรกของการวางแผนตั้งครรภ์อย่างรอบคอบ 1. เชื้อ HPV คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์อย่างไร 1.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเชื้อ HPV Human Papillomavirus หรือ HPV เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสผิวหนังต่อผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะเพศ การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก และอาจเกิดขึ้นได้แม้ไม่มีการสอดใส่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากไวรัสสามารถถ่ายทอดผ่านการสัมผัสผิวหนังในบริเวณอวัยวะเพศได้  และแม้ว่าเชื้อ HPV จะมีมากกว่า 200 ชนิด แต่มีเพียงประมาณ 40 ชนิดเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มความเสี่ยงต่ำ (Low-risk) ที่อาจทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ (Genital Warts) กลุ่มความเสี่ยงสูง (High-risk) ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเซลล์ที่ผิดปกติและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก สถิติจากงานวิจัยของ Pandey และคณะ (2019) หัวข้อ Infectious Diseases in Obstetrics and Gynecology - Human Papillomavirus (HPV) Infection in Early Pregnancy: Prevalence and Implications ในวารสาร Infectious...

ภาพจำลองของเซลล์ไข่ที่มีคุณภาพไข่สมบูรณ์ พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ

ไข่ใบเล็ก ส่งผลต่อคุณภาพไข่ เสี่ยงเกิดภาวะมีบุตรยาก

หลายคนคงเคยได้ยินว่าคุณภาพไข่ส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ แต่รู้หรือไม่ว่าไข่ใบเล็กอาจเป็นสัญญาณของปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ที่ร้ายแรงกว่าที่คิด สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพไข่ การเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการผลิตไข่จะช่วยให้สามารถวางแผนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรในอนาคตด้วย  6 ปัจจัยชี้วัดคุณภาพไข่ที่คนวางแผนมีบุตรต้องรู้ เซลล์ไข่ (Oocyte) เป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ มีหน้าที่สำคัญในการนำสารพันธุกรรมจากเพศหญิงไปรวมกับอสุจิจากเพศชายเพื่อสร้างตัวอ่อน กล่าวได้ว่า การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเซลล์ไข่มีความสมบูรณ์ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพและความพร้อมของเซลล์ไข่จนนำไปสู่ความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เช่น 1. ระดับฮอร์โมน AMH (Anti-Mullerian Hormone) ฮอร์โมน AMH เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณไข่สำรอง หรือความสามารถในการทำงานของรังไข่โดยรวม ใช้ในการประเมินศักยภาพการสืบพันธุ์ของผู้หญิง ระดับ AMH ที่เหมาะสมบ่งบอกว่ามีจำนวนไข่ในรังไข่มากและมีโอกาสสูงที่จะมีไข่ที่มีคุณภาพดี โดยปกติจะอยู่ที่ 1.0-4.0 ng/mL ในทางกลับกัน ระดับ AMH ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็สามารถบ่งชี้ว่าไข่สำรองมีจำนวนน้อยลงได้เช่นกัน ซึ่งสัมพันธ์กับคุณภาพของไข่ที่ลดลงตามธรรมชาติ การตรวจ AMH สามารถทำได้ตลอดรอบเดือน เนื่องจากระดับฮอร์โมนนี้ไม่ผันผวนเหมือนฮอร์โมนอื่น ๆ 2. ระดับฮอร์โมนอื่นที่เกี่ยวข้อง FSH (Follicle Stimulating Hormone) ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของถุงไข่ (Follicles) LH (Luteinizing Hormone) มีบทบาทสำคัญในการทำให้ไข่สุกเต็มที่และกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ Prolactin และ TSH (Thyroid-Stimulating Hormone) ไม่ใช่ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์โดยตรง แต่หากมีปริมาณสูงเกินไป ก็สามารถรบกวนการทำงานของรังไข่และส่งผลกระทบต่อคุณภาพไข่ได้ 3. การเจริญเติบโตของถุงไข่และฮอร์โมน Estradiol การติดตามการเจริญเติบโตของถุงไข่ด้วยอัลตราซาวนด์ หากถุงไข่มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสที่ไข่จะมีคุณภาพดีสูงขึ้น ส่วน Estradiol เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากถุงไข่ที่กำลังเติบโต บ่งบอกถึงการตอบสนองของรังไข่ต่อการกระตุ้นไข่และช่วยประเมินคุณภาพไข่เบื้องต้นได้ 4. ลักษณะทางกายภาพของเซลล์ไข่ เป็นการประเมินคุณภาพโดยพิจารณาจากรูปร่างภายนอกและการทำงานของเซลล์...

เลี่ยงคลื่นความร้อนจากมือถือที่อาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์

ศึกษาปัจจัยจากมือถือที่ส่งผลต่อคุณภาพอสุจิ พร้อมวิธีป้องกัน

จริงหรือไม่ ? ว่าแค่พกมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงทุกวัน อาจกำลังทำร้าย “คุณภาพอสุจิ” โดยไม่รู้ตัว หลายคนอาจคิดว่ามือถือเป็นเพียงอุปกรณ์สื่อสาร แต่ในความเป็นจริง มือถือสามารถปล่อยทั้งความร้อนและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF‑EMF) ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหว จำนวน รวมถึงความสมบูรณ์ของอสุจิ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่นักวิจัยต้องศึกษาเพิ่มเติม แต่การรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้เรารู้วิธีหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพของอสุจิ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ผลกระทบของคลื่นความร้อนจากมือถือ โทรศัพท์มือถือสร้างความร้อนขณะใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเปิดแอปพลิเคชันหนัก หรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งหากอยู่ใกล้ถุงอัณฑะโดยตรงก็อาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชายได้ เนื่องจากอัณฑะต้องการอุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส เพื่อให้กระบวนการสร้างอสุจิทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการสร้างอสุจิทำงานผิดปกติ อัณฑะเป็นอวัยวะที่ไวต่ออุณหภูมิ หากคลื่นความร้อนจากมือถือทำให้อุณหภูมิถุงอัณฑะสูงขึ้น เซลล์เซอร์โตลีและเซลล์ต้นกำเนิดอสุจิ ซึ่งทำหน้าที่สร้างอสุจิ จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้จำนวนอสุจิลดลงและอาจมีรูปร่างผิดปกติ เช่น หัวไม่สมบูรณ์ หรือหางผิดรูป  ความเคลื่อนไหวของอสุจิลดลง อสุจิที่เคลื่อนไหวช้า หรือจำนวนไม่เพียงพอ มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการปฏิสนธิ เนื่องจากอสุจิจำเป็นต้องเคลื่อนตัวไปที่ไข่ของเพศหญิงเพื่อทำการปฏิสนธิ การที่อุณหภูมิถุงอัณฑะสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะทำให้อสุจิเคลื่อนไหวไม่เต็มที่ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง ผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF‑EMF) คลื่น RF‑EMF (Radio Frequency Electromagnetic Field) คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุที่มือถือใช้ในการสื่อสารข้อมูล เช่น การโทรเข้าออก การใช้อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi ซึ่งงานวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าคลื่นนี้อาจกระทบต่อคุณภาพอสุจิ เช่น ลดจำนวนและคุณภาพอสุจิ คลื่น RF‑EMF สามารถรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์อสุจิ ทำให้จำนวนอสุจิลดลง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการปฏิสนธิ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอสุจิ การเคลื่อนไหวของอสุจิที่ลดลงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ต่ำ โดยพบว่าการสัมผัสคลื่น RF‑EMF ติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน อาจส่งผลให้อสุจิเคลื่อนที่ได้ช้าลง  เพิ่มความเสียหายต่อ DNA อสุจิ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจทำให้เกิด DNA fragmentation หรือความเสียหายต่อสารพันธุกรรมของอสุจิ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพอสุจิลดลง อีกทั้งหาก DNA เกิดความเสียหายรุนแรง...

ผู้หญิงปรึกษาแพทย์ เพื่อควบคุมโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานกับการมีลูกยาก รู้และเข้าใจ เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

การวางแผนมีลูกเป็นขั้นตอนสำคัญของหลาย ๆ คู่แต่งงาน แต่สำหรับคู่ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานหรือมีปัญหาเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการตั้งครรภ์ ดังนั้นเราจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานว่ามีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์อย่างไร และแนะนำวิธีการลดความเสี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตร โรคเบาหวานคืออะไร? โรคเบาหวาน (Diabetes) คือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามปกติ เนื่องจากการทำงานของอินซูลิน (Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อนไม่เพียงพอ หรือการตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยโรคเบาหวานมีสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 โรคเบาหวานที่เกิดจากการขาดอินซูลินในร่างกายทั้งหมด มักพบในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคเบาหวานชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดจากความต้านทานต่ออินซูลิน คือร่างกายยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต โรคเบาหวานมีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์อย่างไร? โรคเบาหวานมีผลกระทบโดยตรงต่อการตั้งครรภ์และภาวะเจริญพันธุ์ในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ดังนี้  ผลกระทบในผู้หญิง น้ำตาลในเลือดสูงจะไปรบกวนการทำงานของรังไข่ ระดับน้ำตาลที่สูงเกินไปส่งผลต่อการทำงานของรังไข่ ทำให้การเจริญเติบโตของไข่ไม่สมบูรณ์และคุณภาพของไข่ลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิสนธิและการฝังตัวของตัวอ่อนไม่ประสบความสำเร็จ ฮอร์โมนผิดปกติ การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติหรือไม่มาตามรอบ ลดโอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ ปัญหาการเจริญเติบโตของไข่และการตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรก  ภาวะเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างดี ส่งผลต่อคุณภาพของไข่ที่ผลิตออกมา ทำให้โอกาสในการปฏิสนธิลดลง และหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงสูงที่ตัวอ่อนจะไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ หรือเกิดภาวะการแท้งคุกคาม ผลกระทบในชาย เบาหวานส่งผลต่อคุณภาพและจำนวนอสุจิ  ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป ทำให้อสุจิมีคุณภาพลดลง ทั้งในด้านรูปร่าง การเคลื่อนที่ และจำนวนอสุจิ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและเส้นประสาท นำไปสู่ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีเพศสัมพันธ์และการมีบุตร วิธีลดความเสี่ยงและดูแลตัวเองเมื่อวางแผนตั้งครรภ์ การควบคุมโรคเบาหวานและดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนตั้งครรภ์ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีลูก ลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมตัวมีบุตร โดยควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยต้องตั้งเป้าหมายให้ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ ปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามและวางแผนการตั้งครรภ์ สำหรับคู่รักที่มีภาวะเบาหวานอยู่แล้ว ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเบาหวานและสูตินรีแพทย์ เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยที่สุด แพทย์จะช่วยประเมินความเสี่ยง ปรับแผนการรักษา และแนะนำการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงเวลาของการวางแผนตั้งครรภ์ เลือกรับประทานอาหารสุขภาพ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ควรเน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว...

ผู้หญิงดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดูแลสุขภาพเพื่อเตรียมตัวตั้งครรภ์ ไม่ใช่แค่เรื่องของการกินอาหารเสริม หรือการปรึกษาแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม อย่างเช่น “การดื่มน้ำ” เพราะในความเป็นจริงแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน มีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง และอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า การดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างไรบ้าง ทำไมน้ำจึงสำคัญต่อการตั้งครรภ์? ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำมากถึง 60-70% และระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้วนต้องพึ่งพาน้ำในการทำงาน รวมถึงระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง เช่น รังไข่ มดลูก และมูกไข่ ซึ่งการดื่มน้ำไม่เพียงแต่ช่วยในการขับของเสีย แต่ยังช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะสำคัญ และรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดื่มน้ำมีผลต่อการตกไข่และมูกไข่อย่างไร? หนึ่งในสิ่งที่สำคัญต่อการปฏิสนธิก็คือ “มูกไข่ (Cervical Mucus)” ซึ่งทำหน้าที่นำทางให้ตัวอสุจิเคลื่อนที่ไปถึงไข่ได้ง่ายขึ้น โดยมูกไข่ที่มีคุณภาพดี จะต้องมีลักษณะใส ยืดหยุ่น และมีปริมาณมากพอ โดยมีปัจจัยสำคัญอย่าง “ระดับความชุ่มชื้นในร่างกาย” ที่จะส่งผลต่อลักษณะของมูกไข่โดยตรง  หากดื่มน้ำน้อยเกินไป มูกไข่อาจแห้ง ข้นเหนียว หรือมีน้อยเกินไป ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของอสุจิเป็นไปได้อย่างลำบาก และลดโอกาสในการปฏิสนธิ ในทางกลับกัน การดื่มน้ำให้เพียงพอ สามารถช่วยให้มูกไข่มีคุณภาพเหมาะสมในช่วงวันตกไข่ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองของการตั้งครรภ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะพอ? แม้แต่ละคนจะต้องการน้ำในปริมาณต่างกัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว การใช้พลังงาน และสภาพอากาศ แต่โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้ผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีบุตร ดื่มน้ำประมาณ 2-2.5 ลิตรต่อวัน หรือ ราว ๆ 8-10 แก้ว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายอย่างเหมาะสม และหากคุณดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ เช่น ชา กาแฟ หรือออกกำลังกายมากกว่าปกติ ควรดื่มน้ำเพิ่มอีกประมาณ...

การหลั่งเร็ว ปัญหาที่กระทบทั้งความสัมพันธ์และการมีบุตร

“หลั่งเร็ว” ปัญหาที่ไม่ได้อยู่แค่บนเตียงแต่กระทบต่อการมีบุตร

แม้จะมีความพร้อมทางร่างกายและสุขภาพโดยรวมที่ดี แต่ปัญหา “หลั่งเร็ว” หรือ Premature Ejaculation (PE) ที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีบุตรโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงแม้ว่าภาวะนี้ไม่ได้มีผลต่อภาวะมีบุตรยากโดยตรงในแง่ “คุณภาพของอสุจิ” หรือ “จำนวนอสุจิ” แต่อาจส่งผลต่อโอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ ที่เกิดจากการนำส่งอสุจิเข้าสู่ช่องคลอดที่ไม่เพียงพอ ทำให้ลดโอกาสในการปฏิสนธิได้   ความสัมพันธ์ระหว่างการหลั่งเร็วกับภาวะมีบุตรยาก การหลั่งเร็ว หมายถึงการหลั่งน้ำอสุจิก่อนที่การสอดใส่จะดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ หรือเกิดการหลั่งภายในระยะเวลาที่รวดเร็วเกินไป ประมาณ 1-3 นาทีหลังการสอดใส่ ซึ่งถือเป็นการวินิจฉัยตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยการหลั่งเร็วนั้นอาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ และอาจมีผลกระทบต่อโอกาสการมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ  ประเภทของการหลั่งเร็ว Primary Premature Ejaculation (หลั่งเร็วประเภทแรก): กรณีที่ผู้ชายมีปัญหาหลั่งเร็วมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่สามารถควบคุมเวลาขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ อีกทั้งสาเหตุของปัญหานี้ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด แต่บางครั้งอาจเกิดจากปัญหาทางด้านจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล ที่ไปกระตุ้นจนทำให้เกิดการหลั่งเร็ว  Secondary Premature Ejaculation (หลั่งเร็วประเภทที่สอง): ปัญหานี้เกิดขึ้นได้ในภายหลัง จากปกติที่เคยควบคุมได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านจิตใจ รวมถึงสาเหตุทางร่างกาย เช่น การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด รวมถึงสภาวะทางกายภาพอย่างภาวะต่อมลูกหมากบวม เป็นต้น การหลั่งเร็ว มีผลอย่างไรกับการปฏิสนธิ? แม้ว่าการหลั่งเร็วจะไม่ได้กระทบต่อภาวะมีบุตรยากในผู้ชายโดยตรง เพราะถ้ามีจำนวนอสุจิอยู่ในเกณฑ์ปกติและมีคุณภาพดี ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากก็คือ การหลั่งเร็วกระทบต่อการนำส่งอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด ดังนี้  กรณีหลั่งก่อนการสอดใส่ อาจทำให้จำนวนอสุจิที่เข้าสู่ช่องคลอดไม่เพียงพอ ส่งผลให้อสุจิไม่สามารถเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิงได้ หรือเข้าไปน้อยมาก ทำให้อสุจิเดินทางไปหาไข่ได้ยาก  กรณีหลั่งทันทีหลังจากสอดใส่ อาจทำให้อสุจิที่ถูกปล่อยออกมามีปริมาณที่ไม่เพียงพอที่จะเดินทางไปปฏิสนธิกับไข่ได้สำเร็จ เนื่องจากเวลาที่อสุจิจะอยู่ในช่องคลอดและเดินทางต่อไปมีอย่างจำกัด ผลกระทบของการหลั่งเร็วที่มากกว่าทางกายภาพ การหลั่งเร็วมักจะมีผลกระทบมากกว่าที่คิด เพราะอาจส่งผลต่อทั้งทางจิตใจและทางกายภาพ ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักไม่แนบแน่น ซึ่งนับเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม ความเครียดและความกดดันของฝ่ายชาย: การหลั่งเร็วอาจทำให้ฝ่ายชายรู้สึกเครียดและลดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ Self-Esteem...

ผู้ชายสวมชุดปั่นจักรยาน กำลังปั่นจักรยานกลางแจ้ง

วิธีปั่นจักรยานสำหรับผู้ชาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะมีบุตรยาก

ผู้ชายกับกิจกรรมอันท้าทายและน่าตื่นเต้นถือเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะกิจกรรมที่ได้ทั้งความสนุกและได้ออกกำลังกายในเวลาเดียวกัน อย่างการปั่นจักรยานและการขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ แต่รู้หรือไม่ว่ากิจกรรมที่หลายคนชื่นชอบ คือสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากในเพศชาย เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำให้อวัยวะที่สำคัญของระบบสืบพันธุ์อย่างลูกอัณฑะได้รับการกดทับเป็นเวลานาน  ทำไมการปั่นจักรยานและขี่บิ๊กไบก์ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากในเพศชาย? การปั่นจักรยานและการขี่บิ๊กไบก์เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะให้ทั้งความสนุกและเพลิดเพลิน แต่หากต้องปั่นจักรยานหรือขี่บิ๊กไบก์เป็นเวลานาน อาจมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชายได้ โดยเฉพาะในเรื่องการผลิตอสุจิและสมรรถภาพทางเพศ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะมีบุตรยากชาย เรามาทำความเข้าใจถึงผลกระทบเหล่านี้กัน ลูกอัณฑะถูกกดทับเป็นเวลานาน เมื่อต้องนั่งบนเบาะจักรยานเป็นเวลานาน จะทำให้ลูกอัณฑะถูกกดทับอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อใช้เบาะจักรยานที่มีขนาดแคบจะส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ลดลง ทำให้ลูกอัณฑะอาจไม่ได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ทำให้กระบวนการสร้างอสุจิเป็นไปได้ยากขึ้น ความร้อนและความอับชื้นส่งผลต่อกระบวนการสร้างอสุจิ แรงเสียดทานจากการปั่นจักรยานหรือการขี่บิ๊กไบก์ ทำให้เกิดความร้อนและความอับชื้นบริเวณอัณฑะ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลเสียต่อการผลิตอสุจิ เนื่องจากอุณหภูมิของลูกอัณฑะที่สูงเกินไปจะส่งผลให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม โดยอุณหภูมิที่เหมาะกับการสร้างอสุจิที่สุด จะอยู่ที่ 32-34 องศาเซลเซียส อสุจิมีความผิดปกติ (Sperm DNA Fragmentation) การกดทับหรือกระบวนการสร้างอสุจิที่ไม่สมบูรณ์ เป็นสาเหตุทำให้ DNA ในอสุจิเสียหายหรือแตกหักและลดโอกาสในการปฏิสนธิได้ รวมทั้งยังจะทำให้ตัวอ่อนมีพัฒนาการผิดปกติหรือเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งอาจส่งผลทำให้การตั้งครรภ์ล้มเหลวได้ แนวทางปั่นจักรยานที่ถูกวิธี ลดผลกระทบต่อการมีบุตรและสมรรถภาพทางเพศ ถึงแม้ว่าการปั่นจักรยานจะมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการปั่นให้เหมาะสมได้ รวมถึงเลือกอุปกรณ์ที่รองรับการปั่นจักรยานนาน ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะมีบุตรยากและความปลอดภัยต่อสุขภาพ ดังนี้ 1. สวมชุดปั่นจักรยานหรือกางเกงที่ไม่รัดรูปเกินไป เลือกชุดและกางเกงที่มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดการกดทับ รวมทั้งลดความร้อนและความอับชื้นบริเวณอัณฑะด้วย 2. เลือกเบาะจักรยานให้เหมาะสมกับสรีระ เลือกเบาะที่ไม่แคบเกินไป รองรับแรงกดจากการนั่งและรับแรงกระแทกได้ดี เพราะเบาะรูปตัววีหรือเบาะที่แคบเกินไป จะส่งผลต่อการระบายอากาศ เพื่อความสบายในการนั่ง ควรไปทดลองก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง 3. หลีกเลี่ยงการปั่นจักรยานติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่พัก การปั่นจักรยานเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพักอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการไหลเวียนเลือดและความร้อนสูง ควรแบ่งเวลาพักเป็นระยะเพื่อให้ระบบเลือดได้พักผ่อน ลดความร้อน และลดผลกระทบจากการกดทับ 4. หากมีอาการผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศ ควรหยุดปั่นและปรึกษาแพทย์ทันที หากระหว่างปั่น มีอาการเจ็บหรือรู้สึกชาบริเวณอวัยวะเพศ ควรหยุดปั่นและปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อป้องกันปัญหาทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการกดทับในระยะยาว 5 สัญญาณเตือน ถึงเวลาพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาภาวะมีบุตรยากชาย อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจนสายไป หากวางแผนแล้วว่าต้องการมีบุตร อย่าลืมหมั่นสังเกตสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือความผิดปกติได้ทันท่วงที และนี่คือ 5 สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจนำไปสู่การเกิดภาวะมีบุตรยากในอนาคตได้ 1. ปัญหาเกี่ยวกับน้ำอสุจิหรือการหลั่งอสุจิ น้ำอสุจิน้อย หรือไม่มีน้ำอสุจิเลย เป็นอาการหนึ่งของท่อนำอสุจิอุดตัน น้ำอสุจิมีลักษณะผิดปกติ...