เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

เทคโนโลยี Long-term Cryo หรือกระบวนการแช่แข็งไข่หรือตัวอ่อน

Long-term Cryo รักษาภาวะเจริญพันธุ์ เพื่อการวางแผนครอบครัว

คู่สมรสหลายคู่เลือกที่จะวางแผนครอบครัวอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของหน้าที่การงาน ฐานะทางการเงิน และช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเริ่มต้นบทบาทของการเป็นพ่อแม่ ซึ่งเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้แผนเหล่านี้เป็นจริง ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าสนใจและมีประโยชน์อย่างยิ่งก็คือ การแช่แข็งไข่หรือเซลล์ตัวอ่อน หรือการทำ Long-term Cryo เพื่อช่วยให้คู่สมรสสามารถรักษาคุณภาพของไข่ รวมถึงเซลล์ตัวอ่อนที่ดีที่สุดเอาไว้สำหรับใช้งาน เพราะหากในอนาคตต้องการมีลูก ก็จะช่วยให้สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตลอดจนมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์  Long-term Cryo คืออะไร? Long-term Cryo คือเทคนิคทางการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้สามารถแช่แข็งเซลล์สืบพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ไข่หรือเซลล์ตัวอ่อน โดยอาศัยการลดอุณหภูมิของเซลล์ลงสู่จุดเยือกแข็งที่ต่ำมาก ๆ จนทำให้กระบวนการทางชีวภาพของเซลล์หยุดชะงักลงชั่วคราว แต่ยังคงคุณสมบัติในการเจริญเติบโตเมื่อนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง เทคนิคนี้เป็นเหมือนการหยุดเวลาให้แก่เซลล์สืบพันธุ์ ช่วยให้คู่สมรสสามารถวางแผนครอบครัว และตัดสินใจเรื่องการมีลูกได้ตามความพร้อมของตนเอง Long-term Cryo มีกระบวนการอย่างไร? กระบวนการทำ Long-term Cryo แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ การแช่แข็งไข่และการแช่แข็งตัวอ่อน โดยแต่ละขั้นตอนได้รับการออกพัฒนามาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  กระบวนการแช่แข็งไข่ เริ่มต้นด้วยการกระตุ้นรังไข่ของผู้หญิง โดยแพทย์จะตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางช่องคลอดและเจาะเลือดเพื่อตรวจจำนวนไข่ จากนั้นจะฉีดยากระตุ้นไข่ประมาณ 9-12 วัน เพื่อให้ฟองไข่ที่มีอยู่ในร่างกาย มีขนาดโตขึ้น และกลายเป็นไข่สุกที่นำมาใช้ได้ในอนาคต  เมื่อไข่มีขนาดและจำนวนตามที่แพทย์ต้องการ จะฉีดยาให้ไข่สุกและเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอดโดยใช้เข็มเจาะดูดไข่ออกมา โดยการทำหัตถการนี้จะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ภายใต้การให้ยาสลบ  ไข่ที่เก็บได้จะถูกคัดเลือกเฉพาะไข่ที่สมบูรณ์ เพื่อนำไปแช่แข็งด้วยวิธีแช่แข็งแบบผลึกแก้ว (Vitrification) ซึ่งเป็นการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งที่ทำลายเซลล์ไข่  ไข่ที่แช่แข็งจะถูกเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลว ที่อุณหภูมิประมาณ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถเก็บได้นานโดยไม่สูญเสียคุณภาพ   สำหรับคนที่สงสัยว่าฝากไข่ได้นานแค่ไหน ต้องบอกว่าไข่ที่ถูกแช่แข็งไว้จะอยู่ได้นาน 10-15 ปี และเมื่อคู่สมรสพร้อมที่จะมีลูก ไข่ที่แช่แข็งไว้จะถูกละลายและตรวจสอบความสมบูรณ์...

เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) คือภาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอด

เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบคืออะไร ? วิธีรักษาก่อนทำ IVF และ ICSI

อาการเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) เป็นหนึ่งในสาเหตุที่อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ทั้งยังจะส่งผลต่อการทำ IVF หรือ ICSI ที่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้และเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูให้โพรงมดลูกกลับมาแข็งแรงและพร้อมต่อการตั้งครรภ์ ทั้งยังเป็นการเตรียมตัวก่อนทำ IVF หรือ ICSI เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น 1. สาเหตุของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) คืออะไร? เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ หรือที่เรียกว่า Endometritis คือ ภาวะที่เกิดการอักเสบที่เยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งมักจะเกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอดหรือจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ยังอาจส่งผลกระทบต่อการฝังตัวของตัวอ่อนในมดลูก และทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่แพร่กระจายจากช่องคลอดหรือปากมดลูกขึ้นไปยังโพรงมดลูก โดยสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ การติดเชื้อหลังขั้นตอนทางการแพทย์ เช่น การคลอดบุตร การแท้ง การขูดมดลูก การใส่ห่วงอนามัย หรือการตรวจภายในมดลูก การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น Chlamydia หรือ Gonorrhea จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล เช่น ผู้หญิงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีประวัติการติดเชื้อในอวัยวะสืบพันธุ์มาก่อน ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะนี้ 2. อาการเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ อาการของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยอาการที่ควรสังเกตมีดังนี้ อาการปวดท้องน้อย หรืออาการปวดบริเวณมดลูก ซึ่งอาจรุนแรงมากหรือมีอาการปวดเรื้อรัง ภาวะตกขาวผิดปกติ หรือมีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน และอาจมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ร่วมด้วย รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่เคยมีมาก่อน มีไข้หรืออ่อนเพลีย โดยไม่ทราบสาเหตุ ปัญหาที่เกิดจากการตั้งครรภ์ หรือภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากการอักเสบจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในมดลูก ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีโอกาสแท้งลูกสูงหรือไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี โดยขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยจะมีทั้งการตรวจร่างกาย การเจาะเลือด และการตรวจเนื้อเยื่อจากเยื่อบุโพรงมดลูก 3. แนวทางการรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ การรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบมักจะเริ่มต้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดการติดเชื้อ โดยจะใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยขั้นตอนการรักษามีดังนี้ 1....

ผู้หญิงตั้งครรภ์ดื่มนมทางเลือกเพื่อดูแลสุขภาพ

นมโอ๊ต นมถั่วเหลือง และนมอัลมอนด์ : นมทางเลือกเพื่อสุขภาพ

สำหรับคู่รักที่อยากตั้งครรภ์ การวางแผนดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่มีผลต่อฮอร์โมนเพศหญิงและการเจริญพันธุ์ ซึ่งในปัจจุบัน นมทางเลือกจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง, นมอัลมอนด์ และนมโอ๊ต ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมีสารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และเสริมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เรามาดูกันในบทความนี้ว่า นมถั่วเหลือง, นมอัลมอนด์ และนมโอ๊ต ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างไร นมโอ๊ต นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง มีประโยชน์อย่างไร? นมโอ๊ต นมโอ๊ต เป็นนมจากพืชที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และเป็นนมที่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว แต่การดื่มให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ควรเลือกนมโอ๊ตสูตรที่ไม่ผสมน้ำตาล เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป  นมถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่มีคุณภาพสูง อุดมไปด้วยไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสารที่มีลักษณะคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายมนุษย์ การบริโภคไฟโตเอสโตรเจนจากนมถั่วเหลือง อาจมีส่วนช่วยในการบรรเทากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)  นมอัลมอนด์ นมอัลมอนด์ เป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมที่ไม่มีแล็กโทส และเหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพโดยรวม โดยนมอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามิน E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น โอเมก้า-3, โอเมก้า-6 ที่อยู่ในนมอัลมอนด์ ยังมีส่วนช่วยในการควบคุมสมดุลฮอร์โมนในร่างกายอีกด้วย ประโยชน์ของนมทางเลือกต่อฮอร์โมนเพศหญิง ผลต่อการปรับสมดุลฮอร์โมน การเลือกดื่มนมถั่วเหลือง มีส่วนช่วยในการบำรุงฮอร์โมนเพศหญิงได้ในระดับหนึ่ง แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกดื่มสูตรที่ไม่ผสมน้ำตาล เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่  การบรรเทาอาการวัยหมดประจำเดือนและ PMS นมถั่วเหลืองและนมอัลมอนด์ ช่วยบรรเทากลุ่มอาการ PMS เช่น อาการปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน และเหงื่อออกตอนกลางคืน อีกทั้งนมทางเลือกเหล่านี้ยังมีส่วนช่วยบำรุงฮอร์โมนในร่างกาย และทำให้ร่างกายปรับตัวได้ดียิ่งขึ้น ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน การปรับพฤติกรรมการกินอาหารและการดูแลฮอร์โมน การดื่มนมทางเลือก อาจไม่ใช่ตัวช่วยหลักในการตั้งครรภ์ แต่สามารถนำมาปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพฮอร์โมน ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอื่น ๆ เพราะการรับประทานอาหารที่หลากหลาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบฮอร์โมนได้อย่างสมดุล สรุปได้ว่า ทั้งนมโอ๊ต, นมถั่วเหลือง และนมอัลมอนด์ ต่างก็มีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพร่างกาย รวมถึงการปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงและภาวะเจริญพันธุ์...

เหตุผลที่ MACs Sperm ไม่สามารถคัดกรองอสุจิที่เสียหายได้บางกรณี

MACs Sperm ช่วยเพิ่มผลลัพธ์ แม้ค่า DNA Fragmentation จะสูง

คุณภาพของอสุจิไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ปริมาณหรือรูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสมบูรณ์ของโครงสร้างภายใน โดยเฉพาะภาวะการแตกหักของสารพันธุกรรมภายในอสุจิ (DNA Fragmentation) ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการปฏิสนธิ และการพัฒนาของตัวอ่อน เพราะถ้าอสุจิเกิดความเสียหายตั้งแต่ระดับ DNA ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งหรือการตั้งครรภ์ที่ไม่สมบูรณ์ได้ เทคนิค MACs Sperm ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการคัดกรองอสุจิที่มีภาวะการแตกหักของดีเอ็นเอในอสุจิ (Sperm DNA Fragmentation) โดยอาศัยการแยกอสุจิที่แสดงสัญญาณของการเข้าสู่กระบวนการตายตามธรรมชาติ (Apoptosis) ออกไป  อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจยังพบค่าการแตกหักของ DNA ในอสุจิยังอยู่ในระดับสูง แม้จะเป็นเคสที่เกิดได้น้อย แต่ก็ควรศึกษาเพื่อวางแผนการดูแลภาวะเจริญพันธุ์ให้ครอบคลุม และอาจต้องผสานหลายแนวทางร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพของเซลล์อสุจิและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการมีบุตรอย่างยั่งยืน MACs Sperm เทคนิคคัดกรองอสุจิ ค้นหา DNA Fragmentation MACs Sperm (Magnetic-Activated Cell Sorting) คือ เทคนิคคัดอสุจิที่ทันสมัย ซึ่งไม่เพียงแต่อาศัยคุณสมบัติทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเจาะจงไปที่เครื่องหมายทางชีวภาพ (biomarkers) บนพื้นผิวของเซลล์อสุจิโดยเฉพาะ  โดยเทคนิคนี้จะใช้เม็ดบีดแม่เหล็กขนาดเล็กที่เคลือบด้วยสารพิเศษ ซึ่งจะจับกับเครื่องหมายทางชีวภาพที่บ่งบอกถึงเซลล์อสุจิที่กำลังเข้าสู่กระบวนการตายตามธรรมชาติ (Apoptosis) ทำให้สามารถใช้สนามแม่เหล็กดึงแยกอสุจิที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้ออกไปได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือการคัดแยกกลุ่มของอสุจิที่ยังคงมีคุณภาพดีเยี่ยม และมีสารพันธุกรรมที่สมบูรณ์กว่ามาก ด้วยเหตุนี้ MACs จึงถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จของกระบวนการช่วยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะในคู่สมรสที่มีภาวะมีบุตรยาก ประโยชน์ของการใช้เทคนิค MACs Sperm MACs Sperm เป็นการคัดเลือกอสุจิในระดับโมเลกุล แตกต่างจากเทคนิคทั่วไป ที่อาศัยความหนาแน่นและการเคลื่อนไหวของอสุจิเป็นหลัก จึงทำให้ประโยชน์ที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพกว่า ดังนี้ เพิ่มโอกาสเลือกใช้อสุจิที่ยังคงมีศักยภาพในการปฏิสนธิ ลดอัตราการใช้เซลล์อสุจิที่เสื่อมสภาพหรือไม่สมบูรณ์ ช่วยให้กระบวนการ ICSI มีแนวโน้มประสบความสำเร็จมากขึ้น ข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนทำ  MACs Sperm แม้เทคนิค MACs Sperm จะช่วยปรับปรุงคุณภาพของอสุจิที่ใช้ในการรักษาภาวะมีบุตรยาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ควรทำความเข้าใจ...

ภาพจำลองของอสุจิในมือแพทย์ สื่อว่าอสุจิผิดปกติส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้

4 วิธีตรวจ DNA Fragmentation ทางออกของผู้ชายมีบุตรยาก

การตั้งครรภ์อย่างราบรื่นและให้กำเนิดทารกน้อยที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงนั้น เกิดจากความพร้อมทางด้านร่างกายของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ดังนั้น แม้จะไม่ได้เป็นผู้อุ้มท้องและคลอดบุตร แต่ฝ่ายชายก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนวางแผนมีลูกเช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอสุจิผิดปกติ ที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ต่อทั้งแม่และเด็กระหว่างตั้งครรภ์ อีกทั้งปัญหานี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ชายมีบุตรยากอีกด้วย  อสุจิผิดปกติ ส่งผลอย่างไรต่อการตั้งครรภ์และมีบุตร? อสุจิที่ผิดปกติ ถือเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากและปัญหาในการตั้งครรภ์ ด้วยเหตุนี้ คู่สมรสจึงควรทำความเข้าใจถึงความผิดปกติว่าส่งผลอย่างไรต่อการตั้งครรภ์บ้าง เพื่อเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการ เตรียมตัวมีลูกอย่างมีประสิทธิภาพ 1. โอกาสที่จะปฏิสนธิสำเร็จลดลง ความผิดปกติของอสุจิ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง จำนวน และการเคลื่อนไหว ล้วนส่งผลให้ผู้ชายมีบุตรยากทั้งสิ้น เนื่องจากอสุจิจะไม่สามารถว่ายผ่านปากมดลูกและท่อนำไข่เพื่อไปปฏิสนธิกับไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้โอกาสเกิดการปฏิสนธิและตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติลดลง 2. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแท้ง หาก DNA ของอสุจิมีความผิดปกติหรือได้รับความเสียหาย แม้จะปฏิสนธิสำเร็จจนพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้ แต่ก็เสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมและพัฒนาการ เป็นสาเหตุให้เกิดการแท้งบุตรได้บ่อยครั้ง 3. ตัวอ่อนคุณภาพไม่ดีและส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว หากอสุจิมีความเสียหายที่ระดับ DNA ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นอาจพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้การเจริญเติบโตช้าหรือผิดปกติ ไม่เป็นผลดีต่อการฝังตัวกับผนังมดลูก รวมทั้งทำให้ทารกที่คลอดออกมาเสี่ยงมีความผิดปกติ ทั้งด้านร่างกายและสมอง 4. เพิ่มความเสี่ยงการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมสู่ทารก หากอสุจิมีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โครโมโซมผิดจำนวนหรือมีการกลายพันธุ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมสู่ลูกได้ กรณีปฏิสนธิด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI หรือ IVF จึงจำเป็นต้องมีการคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนอย่างเหมาะสม DNA Fragmentation ตรวจหาอสุจิผิดปกติถึงระดับสารพันธุกรรม DNA Fragmentation คือ การแตกหักของ DNA ในอสุจิ เป็นภาวะที่สารพันธุกรรมภายในหัวอสุจิเกิดความเสียหาย ส่งผลให้อสุจิผิดปกติ แม้จะไม่แสดงออกทางรูปร่างภายนอก แต่ DNA ภายในอาจได้รับความเสียหาย จึงต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการปฏิสนธิ ความสำเร็จในการตั้งครรภ์ และพัฒนาการของตัวอ่อนโดยตรง ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ ภาวะ Oxidative Stress จากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป เกิดจากการสูบบุหรี่...

การตรวจไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีประโยชน์หลายด้าน มีหน้าที่สำคัญในการรักษาสมดุลของฮอร์โมนบางตัว

ไมโครไบโอมในมดลูก คือตัวแปรที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

การจะตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยหลากหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการตรวจไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อดูว่ามีความสมดุลหรือไม่ เพราะหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอาจทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยากตามมาได้ ดังนั้นเพื่อช่วยให้แผนการมีบุตรเป็นไปอย่างที่คู่สมรสต้องการ เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก ทั้งหน้าที่และประโยชน์ให้มากขึ้น เพื่อรักษาให้เกิดความสมดุล ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกคืออะไร? ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก (Uterine Microbiome) คือการสะสมของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในโพรงมดลูก ซึ่งประกอบไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ซึ่งมีทั้งชนิดที่เป็นประโยชน์และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย  ในสภาวะปกติ ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกจะมีหน้าที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ การป้องกันการติดเชื้อจากจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย การสร้างสมดุลของกรดและด่างในเนื้อเยื่อ การสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก มีประโยชน์ต่อการมีบุตรอย่างไร? ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีประโยชน์ต่อการมีบุตรในหลายประการ ดังนี้ สร้างเสริมให้ฮอร์โมนเกิดความสมดุล หนึ่งในหน้าที่สำคัญของไมโครไบโอม คือการช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมรอบเดือนและการเตรียมความพร้อมของมดลูกสำหรับการรับตัวอ่อน โดยจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้ฮอร์โมนเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ไมโครไบโอม มีส่วนสนับสนุนกระบวนการฝังตัวของตัวอ่อน (Embryo Implantation) โดยเมื่อตัวอ่อนเคลื่อนที่เข้าสู่โพรงมดลูก ไมโครไบโอมที่มีความสมดุลจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝังตัว ด้วยการลดการอักเสบและสร้างเสริมปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยทำหน้าที่ช่วยควบคุมการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในโพรงมดลูกให้เหมาะสม อีกทั้งการมีจุลินทรีย์ที่ดี ยังจะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการตั้งครรภ์ที่แข็งแรงสมบูรณ์  ทั้งนี้ หากไมโครไบโอมไม่สมดุล อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในโพรงมดลูก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการฝังตัวของตัวอ่อนและอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากได้เช่นกัน การตรวจวิเคราะห์ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูกมีอะไรบ้าง? ปัจจุบันมีการพัฒนาการตรวจวิเคราะห์ไมโครไบโอมในเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยากที่อาจเกิดจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์เหล่านี้ โดยวิธีการที่นิยม คือ การตรวจตัวอย่างจากโพรงมดลูก (Endometrial sampling) การตรวจนี้ เป็นการใช้เครื่องมือพิเศษ สอดเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อในปริมาณเล็กน้อย มาทำการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ และตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการตรวจที่ให้ข้อมูลแม่นยำ ขั้นตอนการตรวจใช้เวลาไม่นาน และมีความปลอดภัยสูง แม้ว่าอาจมีความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยระหว่างการตรวจ  หลังจากการเก็บตัวอย่างมาเพาะเลี้ยง จะนำไปเข้าสู่กระบวนการหาชนิดของเชื้อจุลินทรีย์ โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ การใช้เทคโนโลยี PCR (Polymerase Chain Reaction) เป็นการนำตัวอย่างมาตรวจด้วยเทคโนโลยี PCR...

ผู้ชายรู้สึกกังวลจากการมีภาวะอสุจิผิดปกติ

การวินิจฉัยภาวะไม่มีตัวอสุจิ และทางเลือกการรักษาที่เหมาะสม

ภาวะมีบุตรยาก เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคู่สมรสหลายคู่ โดยหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหานี้ คือภาวะ Azoospermia หรือ ภาวะที่ผู้ชายไม่มีตัวอสุจิในน้ำเชื้อ หรือมีอสุจิผิดปกติ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตรให้สำเร็จ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และทางเลือกการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผ่าตัดเก็บอสุจิ ที่ช่วยเปิดโอกาสใหม่ให้มีบุตรได้ในอนาคต Azoospermia คืออะไร? Azoospermia คือ ภาวะไม่มีตัวอสุจิในน้ำเชื้อ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ ภาวะนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ Obstructive Azoospermia (ไม่มีตัวอสุจิจากการอุดตัน) ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการอุดตันในท่อนำอสุจิ ซึ่งเป็นท่อที่ทำหน้าที่นำอสุจิจากอัณฑะไปยังท่อปัสสาวะ ในกรณีนี้อัณฑะยังคงสามารถผลิตนำเชื้อได้ตามปกติ แต่ไม่มีตัวอสุจิออกมา เนื่องจากท่อนำอสุจิถูกอุดตัน  Non-obstructive Azoospermia (ภาวะผลิตอสุจิต่ำ หรือไม่มีการผลิต) ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่ออัณฑะไม่สามารถผลิตอสุจิได้ตามปกติ โดยอาจเกิดจากปัญหาฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอสุจิ หรืออาจเป็นผลจากการที่เนื้อเยื่อในอัณฑะไม่ทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้ไม่สามารถผลิตอสุจิได้ หรือผลิตอสุจิในปริมาณที่น้อยมาก  สัญญาณและอาการของภาวะไม่มีตัวอสุจิและอสุจิผิดปกติ ภาวะไม่มีตัวอสุจิหรืออสุจิผิดปกติอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลยในบางราย และมักถูกพบเมื่อตรวจหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก อย่างไรก็ตาม ในบางรายอาจมีอาการที่เกี่ยวข้อง เช่น ความผิดปกติของฮอร์โมนหรือการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เช่น ฮอร์โมนเพศชายต่ำ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดลง หรือมีลักษณะความเป็นเพศชายลดลง เช่น หนวดเคราบางลง เป็นต้น สาเหตุของ Azoospermia และภาวะอสุจิผิดปกติ การอุดตันของท่อนำอสุจิ ท่อนำอสุจิเป็นท่อที่มีหน้าที่นำอสุจิจากอัณฑะไปยังท่อปัสสาวะและออกจากร่างกายหากมีการหลั่งออกมา การอุดตันในท่อนำอสุจิสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ : การติดเชื้อที่ระบบสืบพันธุ์ เช่น เยื่อหุ้มอัณฑะอักเสบ (Orchitis) หรือ การติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) อาจทำให้ท่ออสุจิอุดตัน การบาดเจ็บ : การบาดเจ็บที่บริเวณอัณฑะหรือท่อนำอสุจิจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดในบริเวณนั้น ๆ การผ่าตัด...

การตรวจสอบค่าโปรแลคตินสูงว่าเกิดจากอะไร

Prolactin คืออะไร ? ฮอร์โมนสำคัญที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

หลายคู่รักที่วางแผนมีบุตร มักให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่มักอาจถูกมองข้ามไป คือการควบคุมระดับ "ฮอร์โมนโปรแลคติน" ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ เนื่องจากหากฮอร์โมนประเภทนี้มีระดับที่สูงกว่าปกติ อาจส่งผลต่อความผิดปกติของการตกไข่ ทำให้ตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น และแม้ว่าภาวะโปรแลคตินสูงจะไม่ใช่สาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีบุตรยาก แต่ก็เป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม การทำความเข้าใจว่า โปรแลคตินสูงเกิดจากสาเหตุใด และควรมีแนวทางดูแลอย่างไร เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สำเร็จได้อย่างมั่นใจ โปรแลคติน (Prolactin) คืออะไร? โปรแลคตินคือฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า มีหน้าที่หลักในการกระตุ้นต่อมน้ำนมให้สร้างน้ำนมหลังคลอด ซึ่งระดับโปรแลคตินจะสูงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรตามธรรมชาติ แต่หากระดับโปรแลคตินสูงในช่วงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และ LH (Luteinizing Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่ ทำให้ไข่ไม่ตก และส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ได้ ระดับโปรแลคตินปกติ ผู้หญิง : ประมาณ 15-25 ng/mL (หรือไม่เกิน 25 mcg/L) โดยระดับอาจแปรผันตามรอบเดือน ผู้ชาย : ปกติจะต่ำกว่าผู้หญิง โดยไม่เกิน 20 mcg/L โปรแลคตินสูง เกิดจากอะไร? ภาวะโปรแลคตินสูงสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้ สาเหตุทางพยาธิวิทยา เนื้องอกต่อมใต้สมอง (Prolactinoma) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โรคไทรอยด์ โดยเฉพาะภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) ภาวะไตวายเรื้อรังที่ลดการกรองโปรแลคติน สาเหตุจากพฤติกรรมหรือปัจจัยชั่วคราว ความเครียดสูง การนอนหลับไม่เพียงพอ การออกกำลังกายหนักเกินไป การกระตุ้นหรือบีบเต้านม การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคความดันโลหิต หรือยาต้านอาการคลื่นไส้บางชนิด ภาวะโปรแลคตินสูง อาการเป็นอย่างไร? อาการของภาวะโปรแลคตินสูงจะแตกต่างกันไปตามเพศและระดับฮอร์โมน โดยทั่วไปจะพบในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มากที่สุด...

การแช่แข็งตัวอ่อนด้วยวิธีผลึกแก้วเพื่อรอย้ายตัวอ่อนแบบ Frozen Embryo Transfer

ทำ ICSI แต่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์ การย้ายตัวอ่อน FET คือคำตอบ

เมื่อพูดถึงกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก อย่างการทำ ICSI หรือ IVF หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ คือการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง โดยทั่วไปจะมีการย้ายตัวอ่อนสด (Fresh Transfer) ในรอบเดียวกับที่มีการกระตุ้นไข่ แต่ในปัจจุบันมีอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ การย้ายตัวอ่อนแช่แข็ง หรือ Frozen Embryo Transfer (FET) ซึ่งการเลือกแช่แข็งตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีไว้ก่อน แล้วค่อยทำการย้ายในเวลาที่เหมาะสม สามารถช่วยลดภาวะความเสี่ยงบางประการ และยังเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย  ทำความรู้จักกับกระบวนการ Frozen Embryo Transfer (FET) Frozen Embryo Transfer หรือ FET คือ กระบวนการย้ายตัวอ่อนที่ได้จากการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการและนำไปแช่แข็งไว้ด้วยวิธีการแช่แข็งแบบผลึกแก้วหรือ Vitrification โดยนำตัวอ่อนแช่แข็งที่อยู่ในระยะ Blastocyst มาผ่านกระบวนการละลาย (Thawing) แล้วย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง กระบวนการนี้แตกต่างจากการย้ายตัวอ่อนรอบสดตรงที่ไม่จำเป็นต้องทำในรอบเดียวกับการกระตุ้นไข่และเก็บไข่ สามารถเลือกทำในช่วงเวลาที่ร่างกายพร้อมหรือคู่สมรสสะดวกได้ และมีอัตราประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูงกว่าการย้ายตัวอ่อนในรอบสด ขั้นตอนการย้ายตัวอ่อนแช่แข็ง การตรวจร่างกายและเยื่อบุโพรงมดลูก : ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนของฝ่ายหญิง รวมทั้งตรวจความหนาและความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกด้วยการอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด การละลายตัวอ่อน : ตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งด้วยวิธี Vitrification จะถูกนำมาละลายด้วยการดึงสารป้องกันการแช่แข็งออกแล้วใส่น้ำกลับไปแทนที่ เพื่อป้องกันเซลล์ได้รับความเสียหาย โดยอุณหภูมิจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดจากอุณหภูมิห้องไปถึงอุณหภูมิร่างกาย (37 องศาเซลเซียส) ใช้เวลา 20-30 นาที การย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก : ตัวอ่อนที่ละลายแล้วจะถูกนำไปประเมินคุณภาพอีกครั้ง จากนั้นแพทย์จะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกโดยการใช้เครื่องมือเฉพาะ เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวกับผนังมดลูกและเกิดการตั้งครรภ์ การพักฟื้นหลังย้ายตัวอ่อน : หลังย้ายตัวอ่อนเสร็จ ฝ่ายหญิงควรพักฟื้นที่สถานพยาบาล 1-2...

การตรวจยีน ตรวจพันธุกรรม ค้นหาความเสี่ยงก่อนมีลูก

วางแผนมีบุตรด้วยการตรวจพันธุกรรม ก้าวแรกสู่ครอบครัวสุขภาพดี

การวางแผนมีบุตรในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องสุขภาพร่างกายหรือช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกต่อไป หากแต่ยังครอบคลุมถึง “การตรวจพันธุกรรม” หรือที่เรียกกันว่า “การตรวจยีน” ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่คู่รักควรให้ความสำคัญก่อนเริ่มต้นตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในยุคที่โรคทางพันธุกรรมสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายของพ่อแม่โดยไม่แสดงอาการใด ๆ การตรวจยีนจึงเป็นการวางแผนล่วงหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกน้อยเกิดมาด้วยสุขภาพที่แข็งแรงและสมบูรณ์ การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์คืออะไร? การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์ คือการตรวจหาความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซมที่อาจแฝงอยู่ในร่างกายของพ่อแม่ แม้จะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป้าหมายหลักคือการประเมินความเสี่ยงในการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมสู่ลูก และช่วยให้สามารถวางแผนหรือเลือกแนวทางการตั้งครรภ์ที่เหมาะสมได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตัวอย่างโรคที่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจยีน หรือโครโมโซม ยีนผิดปกติที่ก่อให้เกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย, โรคซิสติกไฟโบรซิส, โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ความผิดปกติของโครโมโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม หรือ เอ็ดเวิร์ดซินโดรม ความเสี่ยงโรคหายากที่พ่อแม่ไม่มีอาการแต่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ทำไมการตรวจยีนก่อนตั้งครรภ์ถึงสำคัญสำหรับคู่รัก? สำหรับคู่รักที่วางแผนมีลูก การตรวจยีนให้มากกว่าการ “รู้ความเสี่ยง” เพราะยังเป็นการเปิดโอกาสให้ครอบครัวได้เริ่มต้นอย่างมั่นใจ พร้อมข้อดีที่หลากหลาย เช่น ป้องกันการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม : หากพบยีนผิดปกติทั้งพ่อและแม่ แพทย์สามารถให้คำแนะนำและเสนอทางเลือก เช่น การทำ IVF ร่วมกับการคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อน (PGT-A)และ การตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมแบบยีนเดี่ยวในตัวอ่อน (PGT-M) เพื่อหลีกเลี่ยงตัวอ่อนที่มียีนผิดปกติ วางแผนครอบครัวได้อย่างรอบคอบ : การรู้ล่วงหน้าจะช่วยให้มีเวลาเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ลดความกังวลใจของคู่รัก : คู่รักจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนเริ่มตั้งครรภ์ เป็นประโยชน์สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก : โดยเฉพาะคู่รักที่ต้องพึ่งเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์เพื่อช่วยให้มีบุตร เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และ อิ๊กซี่ (ICSI) ใครควรเข้ารับการตรวจยีนและตรวจก่อนตั้งครรภ์? แม้การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์จะเหมาะกับทุกคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร แต่กลุ่มดังนี้ควรพิจารณาเป็นพิเศษ กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจยีน คู่รักที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคพันธุกรรม ผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี หรือผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี เคยแท้งบุตรโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเคยมีลูกที่มีความผิดปกติ ...