เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

กรดโฟลิกมีประโยชน์สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์

กรดโฟลิกกับการตั้งครรภ์ : ประโยชน์ที่คุณแม่ต้องรู้

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ ซึ่งหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทต่อสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของทารกในครรภ์ก็คือ กรดโฟลิก (Folic Acid) อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า กรดโฟลิกคืออะไร และมีความจำเป็นต่อการตั้งครรภ์เพียงใด เพื่อช่วยให้คุณแม่ดูแลสุขภาพของตนเองและลูกน้อย เราจะพาไปทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของสารอาหารชนิดนี้ ว่าหากได้รับอย่างเพียงพอจะส่งผลต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง  กรดโฟลิกคืออะไร? กรดโฟลิก (Folic Acid) คือสารอาหารในกลุ่มวิตามินบี หรือที่เรียกว่า วิตามินบี 9 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์ระบบประสาท กรดโฟลิกจำเป็นต่อการทำงานของ DNA และ RNA รวมถึงมีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์และการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย กรดโฟลิกมีประโยชน์ต่อคุณแม่และทารกในครรภ์อย่างไร ? ประโยชน์ต่อทารกในครรภ์ กรดโฟลิกเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทและสมองของทารก โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นระยะที่เซลล์ต่าง ๆ กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การได้รับกรดโฟลิกในปริมาณที่เพียงพอจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะผิดปกติแต่กำเนิดได้ เช่น ป้องกันและลดความผิดปกติของระบบประสาท ทั้งภาวะไม่มีเนื้อสมอง ภาวะไขสันหลังไม่ปิดจากการขาดโฟลิก ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดของทารก ลดโอกาสเกิดความผิดปกติของแขนขา ทำให้พัฒนาการด้านโครงสร้างร่างกายเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ป้องกันการเกิดปากแหว่งเพดานโหว่ได้ประมาณ 1 ใน 3 ของกรณีที่เกิดขึ้น ช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ และโรคไม่มีรูทวารหนัก (Imperforate Anus) ประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากประโยชน์ต่อทารกแล้ว กรดโฟลิกยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วย ลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจาง โดยทำงานร่วมกับธาตุเหล็กในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะแท้งบุตร และภาวะครรภ์เป็นพิษ ช่วยให้รกทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งเสริมการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปสู่ทารก สนับสนุนการเจริญเติบโตของมดลูก ให้สามารถขยายตัวรองรับทารกที่กำลังเติบโต ปริมาณวิตามินโฟลิกแบบเม็ดที่ควรรับประทาน เพื่อประโยชน์ต่อการตั้งครรภ์ การได้รับกรดโฟลิกในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยคำแนะนำในการรับประทานกรดโฟลิกมีดังนี้ หญิงตั้งครรภ์ทั่วไป : ควรได้รับกรดโฟลิกอย่างน้อย 0.4 มิลลิกรัม (400...

แพทย์ตรวจหาภาวะ Mosaicism คือการลดความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์

ภาวะ Mosaicism และตัวอ่อน Mosaic ป้องกันได้หากรู้วิธี

ความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อโอกาสตั้งครรภ์และพัฒนาการของทารก โดยเฉพาะภาวะที่เซลล์ของตัวอ่อนมีความแตกต่างกันในระดับพันธุกรรม หรือที่เรียกว่าภาวะ Mosaicism ซึ่งคือปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งหรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้ การทำความเข้าใจภาวะนี้จะช่วยให้คู่สมรสสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมในการรักษาภาวะมีบุตรยาก ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น Mosaicism คืออะไร เกิดจากสาเหตุใดบ้าง ? ภาวะ Mosaicism คือความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดจากการที่ตัวอ่อนมีเซลล์มีโครโมโซมปกติและผิดปกติปะปนกัน เช่น บางเซลล์อาจมีโครโมโซมปกติ 46 แท่ง ขณะที่บางเซลล์มีโครโมโซมเกินเป็น 47 แท่ง ซึ่งภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะพัฒนาการของตัวอ่อนและในระยะหลังคลอด โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ที่มีความผิดปกติและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งอาจส่งผลต่อความสำเร็จของการฝังตัวและพัฒนาการของทารกได้ โดยตัวอ่อนที่มีภาวะนี้จะถูกเรียกว่าตัวอ่อน Mosaic สาเหตุของการเกิดภาวะ Mosaicism ข้อผิดพลาดในการแบ่งตัวของเซลล์ (Mitotic Errors) มักเกิดในช่วงแรกของการแบ่งเซลล์ มีสาเหตุจากหลายกลไก เช่น โครโมโซมบางส่วนไม่เคลื่อนเข้าสู่เซลล์อย่างถูกต้องระหว่างการแบ่งตัว จนเกิดการสูญเสียโครโมโซมบางส่วน การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมระหว่างหรือหลังการปฏิสนธิ เกิดได้ทั้งจากความผิดปกติของ DNA เอง หรือมีสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้น เช่น ควันบุหรี่ สารเคมี อายุของมารดา เนื่องจากมารดาที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดความผิดปกติทางโครโมโซมในไข่ สิ่งแวดล้อมและความเครียดของเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความเป็นกรดด่าง ความเครียดจากออกซิเดชัน หรือการสัมผัสสารเคมี อาจกระตุ้นให้เกิดความเสียหายของ DNA หรือรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์ได้ ผลกระทบของตัวอ่อนที่มีภาวะ Mosaicism กับการตั้งครรภ์และพัฒนาการของทารก แม้ว่าตัวอ่อนจะมีภาวะ Mosaicism ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นตัวอ่อนที่ไม่สามารถใช้การได้เสมอไป เพียงแต่อาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และพัฒนาการของทารก ดังนี้ 1. ความสามารถในการฝังตัวลดลง ภาวะ Mosaicism อาจส่งผลให้ตัวอ่อนมีโครงสร้างของเซลล์ที่ไม่สมดุล จึงรบกวนกระบวนการพัฒนาระยะต้น ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกอาจไม่ตอบสนองต่อการฝังตัวได้เต็มที่ อาจเสี่ยงต่อการฝังตัวไม่สำเร็จได้ 2. ความเสี่ยงต่อการแท้งเพิ่มขึ้น ความไม่สมบูรณ์ภายในเซลล์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์หยุดชะงัก โดยเฉพาะกรณีที่ระดับของเซลล์ผิดปกติมีมากเกินกว่า 50%...

แพทย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังใส่ตัวอ่อน

รวมข้อปฏิบัติการดูแลตัวเองหลังใส่ตัวอ่อน เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

ในการทำเด็กหลอดแก้ว หนึ่งในขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างมากคือกระบวนการย้ายตัวอ่อน เพื่อนำไปฝังสู่โพรงมดลูก ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณแม่ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะมีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนโดยตรง ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับคุณแม่ เราจะขอมาแนะนำข้อควรปฏิบัติและเรื่องน่ารู้หลังใส่ตัวอ่อน เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สำเร็จ หลังใส่ตัวอ่อนกี่วันฝังตัว ? ปกติแล้วตัวอ่อนจะใช้เวลาฝังตัวประมาณ 1-2 วัน หลังจากการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก โดยตัวอ่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปยังผนังมดลูกและเริ่มกระบวนการฝังตัว ซึ่งหลังจากตัวอ่อนฝังตัวแล้ว ร่างกายของคุณแม่จะเริ่มผลิตฮอร์โมน HCG ที่สามารถตรวจพบได้ในการทดสอบการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการฝังตัวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจใช้เวลาน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ก็ได้   ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการฝังตัวอ่อน โอกาสสำเร็จในการฝังตัวอ่อนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ที่พบได้หลัก ๆ มีดังนี้ อายุของแม่ อายุเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการฝังตัวของตัวอ่อน โดยผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี มักมีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงกว่า เนื่องจากคุณภาพภายในมดลูกและตัวอ่อนยังคงมีความสมบูรณ์อยู่ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็จะเสื่อมคุณภาพลดลงตามธรรมชาติ เช่น มีก้อนเนื้องอกหรือมีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก หรือจำนวนไข่และคุณภาพไข่ลดลง จนทำให้ได้ตัวอ่อนที่มีคุณภาพแย่ลง ภาวะเหล่านี้ล้วนส่งผลให้โอกาสในการฝังตัวของตัวอ่อนลดลงด้วย คุณภาพของตัวอ่อน คุณภาพของตัวอ่อนเป็นอีกปัจจัยสำคัญของกระบวนการนี้ โดยแพทย์จะคัดเลือกตัวอ่อนคุณภาพดี ซึ่งจะมีการแบ่งเซลล์ที่สม่ำเสมอ และมีการพัฒนาตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้การฝังตัวดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนการย้าย เพื่อคัดตัวอ่อนที่มีคุณภาพมากที่สุด ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้ ความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก ความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกมีผลโดยตรงต่อการฝังตัวของตัวอ่อน โดยความหนาที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 8-12 มิลลิเมตร ถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกบางเกินไปหรือหนาเกินไป จะส่งผลให้โอกาสในการฝังตัวของตัวอ่อนลดลง รวมถึงเยื่อบุโพรงมดลูก ควรมีเลือดไหลเวียนดี เพื่อที่จะหล่อเลี้ยงตัวอ่อนให้เจริญเติบโตต่อไป อาการหลังใส่ตัวอ่อน ที่ต้องคอยสังเกต หลังใส่ตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก ควรสังเกตอาการต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป หรือบ่งบอกว่าควรไปปรึกษาแพทย์ ดังนี้ อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังใส่ตัวอ่อน เลือดออกกะปริดกะปรอย ในช่วง 6-12 วันหลังใส่ตัวอ่อน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการฝังตัวของตัวอ่อน (Implantation Bleeding) แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีอาการนี้ อาการปวดหน่วงท้องน้อย คล้ายอาการประจำเดือนจะมา ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและกล้ามเนื้อมดลูก เจ็บเต้านมและรู้สึกตึง...

มูกไข่ตกคือสารคัดหลั่งที่ผลิตจากคอมดลูกในช่วงที่ร่างกายกำลังจะมีการตกไข่ มีลักษณะใส ลื่น ยืดหยุ่น

มูกไข่ตก VS ตกขาว เข้าใจความต่างเพื่อเพิ่มโอกาสมีบุตร

การสังเกตสัญญาณจากร่างกาย เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าใจวงจรการเจริญพันธุ์ของตนเองได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่สมรสที่กำลังวางแผนมีบุตร การสังเกตสารคัดหลั่งจากช่องคลอดเพื่อดูถึงความแตกต่างระหว่าง "มูกไข่ตก" และ "ตกขาว" ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบ่งชี้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์ได้ มูกไข่ตกคืออะไร? ความหมายและลักษณะทางกายภาพ มูกไข่ตก (Egg White Cervical Mucus หรือ EWCM) คือสารคัดหลั่งที่มดลูกผลิตออกมาในช่วงที่ร่างกายกำลังจะมีการตกไข่ มีลักษณะคล้ายไข่ขาวดิบ ใส ยืดหยุ่น และลื่น เมื่อใช้นิ้วจับจะสามารถยืดได้และยาวหลายเซนติเมตรโดยไม่ขาด ด้วยลักษณะที่พิเศษนี้ทำให้สามารถแยกแยะมูกไข่ตกออกจากสารคัดหลั่งชนิดอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน บทบาทในการเจริญพันธุ์ มูกไข่ตกมีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการเจริญพันธุ์ ดังนี้ ช่วยให้อสุจิเคลื่อนที่ได้สะดวกขึ้นจากช่องคลอดสู่โพรงมดลูก ด้วยลักษณะที่ลื่นและมีโครงสร้างคล้ายช่องทางเล็ก ๆ ช่วยปกป้องอสุจิจากสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดในช่องคลอด ซึ่งโดยปกติแล้วอาจเป็นอันตรายต่ออสุจิได้ เป็นตัวบ่งชี้ว่าร่างกายอยู่ในช่วงที่มีภาวะเจริญพันธุ์สูง (Fertile Window) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด ช่วงเวลาที่เกิดมูกไข่ตก มูกไข่ตกมักพบได้ในช่วง 1-5 วันก่อนการตกไข่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีโอกาสการตั้งครรภ์สูงที่สุดในรอบเดือน โดยจะมีปริมาณมากที่สุดก่อนวันตกไข่ 1-2 วัน ในรอบเดือนปกติที่มี 28 วัน มูกไข่ตกมักเกิดขึ้นราววันที่ 10-14 ของรอบเดือน แต่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยเฉพาะผู้ที่มีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ ตกขาวคืออะไร? ความหมายและลักษณะทางกายภาพ ตกขาว (Vaginal Discharge) เป็นคำเรียกทั่วไปของสารคัดหลั่งจากช่องคลอดที่เกิดขึ้นตลอดรอบเดือนของผู้หญิง มีลักษณะและความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามช่วงของรอบเดือน อาจมีสีขาวขุ่น สีเหลืองอ่อน หรือใส ทั้งยังมีความข้นเหลวแตกต่างกัน ตกขาวเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยทำความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอด ประเภทของตกขาวในแต่ละช่วงของรอบเดือน ตกขาวมีการเปลี่ยนแปลงตลอดรอบเดือน ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วงหลังมีประจำเดือน : มีลักษณะแห้ง หรือมีน้อยมาก เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ในระดับต่ำ ช่วงต้นรอบเดือน : เริ่มมีความชุ่มชื้น ข้นเหนียว สีขาวขุ่นหรือเหลืองอ่อน เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มเพิ่มขึ้น ช่วงก่อนตกไข่...

วางแผนตั้งครรภ์ เลือกตรวจ NIPT กับ PGT-A ต่างกันอย่างไร?

ระหว่างตรวจ NIPT กับ PGT-A แบบไหนเหมาะกับวางแผนตั้งครรภ์?

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน คู่รักที่วางแผนมีบุตรสามารถตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมได้ตั้งแต่ก่อนการฝังตัวของตัวอ่อน เพื่อให้มั่นใจว่าลูกน้อยจะเกิดมาพร้อมสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ การทำความเข้าใจถึงกระบวนการตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มีข้อมูลเพียงพอ และสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด การตรวจ NIPT กับ PGT-A คืออะไร ต่างกันอย่างไร ? NIPT และ PGT-A เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมในทารกและตัวอ่อนในช่วงกระบวนการตั้งครรภ์ การเลือกว่าจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการตรวจและช่วงเวลาที่ต้องการทราบผลลัพธ์ของโครโมโซมที่ผิดปกติ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่มีความมั่นใจมากขึ้นในการตั้งครรภ์และเพิ่มโอกาสให้ทารกเกิดมาด้วยสุขภาพที่แข็งแรง 1. NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) NIPT เป็นการตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมที่ใช้เลือดของมารดาเพื่อตรวจหาความผิดปกติโครโมโซมของทารกขณะตั้งครรภ์ โดยสามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้จะใช้หลักการวิเคราะห์เซลล์ DNA ของทารกที่หลุดเข้ามาในกระแสเลือดของมารดา ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมบางชนิดได้อย่างแม่นยำ โดยมีข้อดีคือ ปลอดภัย ไม่รุกล้ำร่างกายของคุณแม่และทารก จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการแท้ง หรือภาวะแทรกซ้อนจากกระบวนการทางการตรวจ สามารถทำได้ในระยะเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ทำให้สามารถวางแผนการดูแลสุขภาพของแม่และทารกได้อย่างเหมาะสม มีความแม่นยำสูง โดยเฉพาะการตรวจพบภาวะโครโมโซมผิดปกติ เช่น ดาวน์ซินโดรม (Trisomy 21), เอ็ดเวิร์ดซินโดรม (Trisomy 18) และพาทัวร์ซินโดรม (Trisomy 13) ถึงแม้การตรวจด้วยวิธี NIPT จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็เป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้น ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโรคโดยตรง หากพบความผิดปกติ อาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การเจาะน้ำคร่ำ เพื่อยืนยันผลลัพธ์ 2. PGT-A (Preimplantation Genetic Testing for Aneuploidy) PGT-A เป็นการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนก่อนฝังตัวในมดลูก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ICSI หรือการปฏิสนธินอกร่างกาย โดยใช้เซลล์จากตัวอ่อนอายุ...

คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีน้ำหนักตัวเยอะ จึงส่งผลให้มีลูกยาก

4 แนวทางแก้ปัญหาน้ำหนักตัวเยอะ กลัวมีลูกยากเพื่อคนอยากท้อง

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2566 ระบุว่า ผู้ใหญ่กว่า 1.9 พันล้านคน หรือประมาณ 39% ของประชากรโลก มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งภาวะน้ำหนักเกินไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคหัวใจ แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของทั้งเพศหญิงและเพศชาย เพราะการมีน้ำหนักตัวเยอะ มีความเกี่ยวข้องกับภาวะมีลูกยากโดยตรง ดังนั้น การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตรและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในระยะยาว ภาวะอ้วนที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ในเพศชาย ทุกครั้งที่มีคำถามว่า “คนอ้วนมีลูกยากไหม ?” คนส่วนใหญ่มักพุ่งเป้าไปที่ปัญหาการมีน้ำหนักเกินของฝ่ายหญิงก่อนเสมอ แต่รู้หรือไม่ว่าภาวะอ้วนในฝ่ายชาย ก็ส่งผลต่ออัตราความสำเร็จในการปฏิสนธิและตั้งครรภ์เช่นกัน โดยหลัก ๆ เกิดจากสาเหตุเหล่านี้ คุณภาพของอสุจิลดลง ผู้ชายที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมีแนวโน้มที่คุณภาพของอสุจิจะลดลง ทั้งในแง่ของความเข้มข้นและจำนวนของอสุจิ การเคลื่อนไหวของอสุจิ รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไม่พบอสุจิในน้ำเชื้อ นอกจากนี้ ภาวะอ้วนยังส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลงและทำให้ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการสร้างอสุจิของเพศชาย  ความร้อนสะสมในถุงอัณฑะ ภาวะอ้วนยังจะทำให้เกิดไขมันสะสมบริเวณขาหนีบและรอบถุงอัณฑะ ส่งผลให้อุณหภูมิในถุงอัณฑะสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลเสียต่อกระบวนการสร้างอสุจิ ทำให้ประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ลดลง และอสุจิมีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร ภาวะอักเสบและออกซิเดชันของอสุจิ สุดท้าย การมีน้ำหนักตัวเยอะจะส่งผลต่อการอักเสบในร่างกายและปฏิกิริยาออกซิเดชัน จึงเป็นการทำลายเซลล์อสุจิ หรือทำให้ DNA ในอสุจิเสียหาย และลดความสามารถในการเคลื่อนที่และการเจาะเซลล์ไข่ นำไปสู่โอกาสในการปฏิสนธิที่น้อยลง   ภาวะอ้วนที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ในเพศหญิง สำหรับฝ่ายหญิงที่กังวลว่าคนอ้วนท้องได้ไหม นี่คือ 4 ความเกี่ยวข้องระหว่างความอ้วนและระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์    การทำงานของฮอร์โมนผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งผลิตจากเนื้อเยื่อไขมัน อาจก่อให้เกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ สิวขึ้น ขนดก และมีบุตรยาก การตกไข่ผิดปกติและรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ การทำงานผิดปกติของฮอร์โมนจากภาวะอ้วนส่งผลให้เกิด ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง (Anovulatory Infertility) รวมทั้งประจำเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนเว้นช่วงนาน มาห่างกันมากกว่า 35 วัน หรือมาไม่เกิน 6–8 ครั้งต่อปี ภาวะอักเสบเรื้อรังที่มีผลต่อมดลูก ภาวะอ้วนสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้สภาพแวดล้อมในมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ตลอดจนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น...

ภาวะตัวอ่อนโมเซอิก กระทบการตั้งครรภ์จริงหรือไม่

รู้จักตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) ที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

สำหรับคู่แต่งงานที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์โดยใช้เทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์ อย่างการทำเด็กหลอดแก้ว ด้วยกระบวนการ ICSI หากในขั้นตอนการทำ เกิดตรวจพบภาวะตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) อาจส่งผลต่อโอกาสความสำเร็จของการตั้งครรภ์และสุขภาพของทารกในอนาคตได้ ตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) คืออะไร? ตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) คือ ภาวะตัวอ่อนมีเซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกันภายในตัวอ่อนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า บางเซลล์มีโครโมโซมปกติ ในขณะที่บางเซลล์มีความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งเกิดจากการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติในระหว่างการพัฒนาของตัวอ่อน โดยตัวอ่อนที่ผ่านการตรวจโครโมโซม มีโอกาสตรวจพบภาวะโมเซอิกประมาณ 10-20% แม้ภาวะนี้จะดูมีความผิดปกติ แต่ตามหลักฐานทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่า ตัวอ่อนที่มีภาวะ Mosaicism สามารถพัฒนาไปเป็นทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ เนื่องจากกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติของร่างกาย ที่ทำให้เซลล์ที่มีโครโมโซมปกติ (Euploid) เติบโตต่อไป ในขณะที่เซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ (Aneuploid) จะหยุดการเจริญเติบโต และถูกจำกัดให้อยู่ในส่วนของรกเท่านั้น ภาวะตัวอ่อนโมเซอิก เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ภาวะตัวอ่อนโมเซอิก เกิดจากความผิดพลาดในการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนในระยะเริ่มต้นหลังจากการปฏิสนธิ เมื่อเซลล์แบ่งตัวในระหว่างการพัฒนา ตัวอ่อนอาจเกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการแบ่งเซลล์ จนทำให้เกิดเซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกันออกมาในตัวอ่อนบางส่วน  ในระหว่างการพัฒนาของตัวอ่อน เซลล์ที่มีโครโมโซมผิดปกติอาจมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความผิดปกติของกระบวนการแบ่งเซลล์ในช่วงเวลานั้น หรืออาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการแบ่งเซลล์ เป็นต้น ระดับของตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism Levels) Low Mosaic (โมเซอิกระดับต่ำ) ตัวอ่อนมีเซลล์ที่ผิดปกติน้อยกว่า 30% ของเซลล์ทั้งหมด ซึ่งมีโอกาสฝังตัวและพัฒนาต่อเป็นทารกที่แข็งแรงได้สูง Medium Mosaic (โมเซอิกระดับปานกลาง) ตัวอ่อนมีเซลล์ผิดปกติระหว่าง 30-50% ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการฝังตัวและพัฒนาการของตัวอ่อน แต่ยังมีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จ High Mosaic (โมเซอิกระดับสูง) ตัวอ่อนมีเซลล์ผิดปกติมากกว่า 50% ซึ่งโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวสำเร็จจะมีลดลง หรือหากตั้งครรภ์สำเร็จก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารก ควรเลือกย้ายฝังตัวอ่อนที่มีภาวะโมเซอิกหรือไม่ ? ในบางกรณี เมื่อตรวจตัวอ่อนแล้วพบว่า...

ท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx) คือภาวะที่ท่อนำไข่อุดตันและบวมพองเพราะมีของเหลวใสสะสมอยู่ภายใน

ท่อนำไข่บวมน้ำ ภาวะที่ควรรู้จักสำหรับผู้วางแผนมีบุตร

หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า สาเหตุหนึ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความล้มเหลวในการตั้งครรภ์ คือภาวะ "ท่อนำไข่บวมน้ำ" หรือ Hydrosalpinx ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยแต่มักถูกมองข้าม ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการวินิจฉัยและรักษาที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้มีภาวะนี้สามารถมีบุตรได้ ท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx) คืออะไร ? ท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx) คือภาวะที่ท่อนำไข่เกิดการอุดตันและบวมพอง มีของเหลวใสสะสมอยู่ภายใน ส่งผลให้ปลายท่อนำไข่ปิดและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ทำให้เกิดปัญหาในการตั้งครรภ์ เนื่องจากท่อนำไข่เป็นอวัยวะสำคัญในกระบวนการสืบพันธุ์ของเพศหญิง ในภาวะปกติ ท่อนำไข่ทำหน้าที่เป็นเส้นทางให้ไข่เดินทางจากรังไข่ไปยังมดลูก และเป็นสถานที่สำหรับการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิ แต่เมื่อท่อนำไข่บวมน้ำ จะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์หลายประการ ได้แก่ ไข่ไม่สามารถเดินทางจากรังไข่ไปยังมดลูกได้ อสุจิไม่สามารถเข้าถึงไข่เพื่อปฏิสนธิได้ สารจากของเหลวที่สะสมอยู่ในท่อนำไข่ อาจมีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนในโพรงมดลูก สาเหตุของภาวะท่อนำไข่บวมน้ำ ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำเกิดจากการอักเสบและการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (PID) จากเชื้อแบคทีเรียหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน หรือคลามิเดีย การผ่าตัดในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจทำให้เกิดพังผืดที่มาเกาะรอบท่อนำไข่ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ที่ทำให้เกิดการอักเสบและเกิดพังผืดรอบ ๆ ท่อนำไข่ การติดเชื้อวัณโรคในระบบสืบพันธุ์ ซึ่งพบได้ในบางบริเวณ ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก ที่อาจทำให้ท่อนำไข่เกิดความเสียหาย ได้รับอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บบริเวณอุ้งเชิงกราน ที่ส่งผลต่อโครงสร้างของท่อนำไข่ อาการและสัญญาณของท่อนำไข่บวมน้ำ ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำอาจไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้หลายคนไม่รู้ตัว จนกระทั่งพบปัญหาในการตั้งครรภ์ สำหรับอาการที่พบได้และอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะนี้ ได้แก่ ปวดท้องน้อยเรื้อรังหรือเป็นพัก ๆ โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างของท้องน้อย ปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ซึ่งอาจเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองในบริเวณอุ้งเชิงกราน ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือมีเลือดออกผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นผลจากความผิดปกติในระบบฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง มีตกขาวผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ มีไข้หรืออาการปวดท้องรุนแรงในกรณีที่มีการติดเชื้อเฉียบพลัน พยายามมีบุตรไม่สำเร็จเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการที่ท่อนำไข่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ท่อนำไข่บวมน้ำมีลูกได้หรือไม่ ? แม้ว่าภาวะท่อนำไข่บวมน้ำจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตั้งครรภ์ แต่ด้วยการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่เหมาะสม ผู้หญิงที่มีภาวะนี้ยังมีโอกาสมีบุตรได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ความรุนแรงของภาวะ ท่อนำไข่บวมน้ำทั้งสองข้างหรือข้างเดียว...

คู่สามีภรรยารู้สึกเศร้าเพราะทำ IUI ไม่ติด

เปิดสาเหตุที่ทำให้ IUI ไม่ติด และเทคนิคเพิ่มโอกาสความสำเร็จ

สำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การมองหาวิธีในการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การทำ IUI ซึ่งเป็นวิธีที่ใกล้เคียงกับการตั้งครรภ์ธรรมชาติ มีค่าใช้จ่ายต่ำเมื่อเทียบกับวิธีอื่น แต่อัตราความสำเร็จก็ต่ำกว่าวิธีอื่นด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้การทำ IUI ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง ดังนั้น การศึกษาและทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำ IUI ไม่ติด จะช่วยให้สามารถหาแนวทางเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น สาเหตุที่ทำให้ IUI ไม่ติดเกิดจากอะไร ? การทำ IUI ไม่สำเร็จสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งเป็น 3 สาเหตุหลัก ดังนี้  1. ปัจจัยจากฝ่ายหญิง สาเหตุแรกที่ทำให้การทำ IUI ไม่ติด มักเกิดจากร่างกายของฝ่ายหญิงเอง ไม่ว่าจะเป็นอายุ ฮอร์โมน หรือความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ดังต่อไปนี้  อายุ ส่งผลต่อคุณภาพของไข่โดยตรง ซึ่งผู้หญิงที่อายุ 35 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยลงกว่าผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 35 ปี  ภาวะไข่ไม่ตก หรือฮอร์โมนผิดปกติ การที่ฝ่ายหญิงมีไข่ตกไม่สม่ำเสมอ กลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (PCOS)  หรือว่ามีปัญหาเรื่องฮอร์โมนอาจส่งผลทำให้ไข่มีคุณภาพต่ำ และไม่เกิดการปฏิสนธิได้  ความผิดปกติของมดลูกและท่อนำไข่ เช่น ภาวะของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ รวมถึงท่อนำไข่อุดตัน ทำให้อสุจิไม่สามารถเข้าไปถึงไข่และไปปฏิสนธิได้   2. ปัจจัยจากฝ่ายชาย หากว่าฝ่ายหญิงไม่มีความผิดปกติดังกล่าว อาจเป็นไปได้ว่า ปัจจัยที่ทำ IUI ไม่ติด เกิดจากฝ่ายชาย ซึ่งมักมีสาเหตุหลักดังต่อไปนี้  คุณภาพของอสุจิไม่ดีพอ ทั้งเรื่องจำนวนที่น้อยกว่าปกติ เคลื่อนที่ช้า มีรูปร่างที่ผิดปกติ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้การปฏิสนธิไม่สำเร็จ  ภาวะภูมิคุ้มกันที่ทำให้ความสามารถในการปฏิสนธิลดลง เป็นภาวะที่ร่างกายของฝ่ายหญิงสร้างแอนติบอดีต่อต้านอสุจิ ทำให้โอกาสในการปฏิสนธิลดน้อยลงไป  3....