เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

การตรวจโครโมโซมตัวอ่อน PGT-A และ PGT-M

PGT-A และ PGT-M: การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

การเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวางแผนครอบครัว โดยเฉพาะสำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งการเลือกวิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมก็คือการตรวจ Preimplantation Genetic Testing (PGT) หรือการตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมของตัวอ่อน ซึ่งแบ่งเป็นสองประเภทหลักด้วยกัน ได้แก่ PGT-A และ PGT-M ซึ่งการตรวจในแต่ละประเภทมีจุดประสงค์และกระบวนการที่แตกต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง PGT-A vs PGT-M จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการเตรียมตัวตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ PGT-A คืออะไร ? PGT-A หรือ Preimplantation Genetic Testing for Aneuploidy คือการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทั้งหมด 23 คู่ในตัวอ่อน โดยตรวจหาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับจำนวนโครโมโซม เช่น การมีโครโมโซมเกิน (Trisomy) หรือขาด (Monosomy) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) หรือ โรคเอ็ดยูเวิร์ด (Edwards Syndrome) โดยการทำ PGT-A จะช่วยลดความเสี่ยงในการแท้งบุตร และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่ประสบผลสำเร็จได้ PGT-A เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีประวัติการแท้งบุตรหลายครั้ง หรือเคสที่ต้องทำ IVF หรือ ICSI หลายรอบแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ โดย PGT-A จะช่วยเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมสมบูรณ์และเหมาะสมที่สุดสำหรับการฝังตัวในมดลูก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการแท้งบุตรและเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ PGT-M คืออะไร ? การตรวจ PGT-A จะเน้นไปที่การตรวจคัดกรองโครโมโซมทั้งหมดของตัวอ่อน ในขณะเดียวกันการตรวจ PGT-M หรือ...

Telemedicine คือบริการแพทย์ทางไกลที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษา

Telemedicine คือบริการแพทย์ทางไกล เตรียมความพร้อมก่อนรักษา

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่สะดวกและรวดเร็วย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนการมีบุตร หรือต้องการเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก การแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine คือทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ความต่อเนื่องของการรักษาได้ Telemedicine คืออะไร ? ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า Telemedicine คือการให้คำปรึกษา หรือการวินิจฉัยผ่านทางเทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น วิดีโอคอล หรือการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลจากแพทย์โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สถานพยาบาล การแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine คือทางเลือกที่เหมาะสำหรับการติดตามอาการ การให้คำแนะนำเบื้องต้น หรือการปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคที่ไม่ต้องเข้ารับการตรวจร่างกายโดยตรง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการคำปรึกษาก่อนเดินทางมายังสถานพยาบาล เพื่อการรักษาที่สมบูรณ์ต่อเนื่อง ความแตกต่างระหว่าง Telemedicine และ Telehealth คืออะไร ? แม้ว่าคำว่า Telemedicine และ Telehealth ต่างเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพและมักถูกใช้แทนกัน แต่ทั้งสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้ Telemedicine จะมุ่งเน้นไปที่การให้บริการทางการแพทย์โดยตรง เช่น การวินิจฉัย การรักษา การสั่งยา และการติดตามอาการของผู้ป่วย โดยแพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ผ่านช่องทางออนไลน์ Telehealth มีขอบเขตที่กว้างกว่า ครอบคลุมบริการด้านสุขภาพทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการให้คำแนะนำด้านสุขภาพทั่วไป การให้ความรู้เกี่ยวกับโรค และการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ทำไม Telemedicine จึงสำคัญสำหรับผู้ป่วยทางไกล ? สำหรับผู้ป่วยที่อาศัยอยู่นอกกรุงเทพฯ หรือในต่างประเทศ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์จากแพทย์ที่ให้การรักษาอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อต้องการรับการรักษาเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร ทำให้การรักษาในรูปแบบ Telemedicine คือทางเลือกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ลดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายและเวลา การเดินทางมาเพื่อปรึกษาแพทย์เบื้องต้นเท่านั้น อาจเป็นการเสียค่าใช้จ่ายและเวลาโดยไม่จำเป็น แต่ด้วยระบบ Telemedicine จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การปรึกษาผ่าน...

อาหารเตรียมตั้งครรภ์แบบวีแกนควรเลือกทานโปรตีจากพืชที่หลากหลายและเสริมสารอาหารสำคัญ

อาหารเตรียมตั้งครรภ์แบบวีแกน: โปรตีนคุณภาพเพิ่มโอกาสมีบุตร

สำหรับสาย Vegan ที่กำลังเตรียมตัวทำ ICSI การได้รับโปรตีนสำหรับคนท้องที่เพียงพอจากพืชถือเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความสำคัญของโปรตีนในการเตรียมตั้งครรภ์ พร้อมแนวทางการจัดอาหารเตรียมตั้งครรภ์แบบวีแกนที่เหมาะสมกับการทำ ICSI ทำไมโปรตีนถึงสำคัญต่อการตั้งครรภ์และความสำเร็จของการทำ ICSI ? โปรตีนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างและพัฒนาเซลล์ โดยเฉพาะในช่วงเตรียมตั้งครรภ์และระหว่างกระบวนการทำ ICSI โดยโปรตีนจะช่วยในการสร้างเซลล์ไข่ที่มีคุณภาพ พัฒนาเนื้อเยื่อของระบบสืบพันธุ์ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน สำหรับผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวทำ ICSI ควรได้รับโปรตีนประมาณ 1-1.5 กรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 75-110 กรัมต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายมีสารอาหารที่เพียงพอในการสร้างฮอร์โมนสืบพันธุ์ พร้อมกับช่วยพัฒนาคุณภาพของไข่ และเตรียมมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังของตัวอ่อน นอกจากนั้น การได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอยังช่วยลดระดับอินซูลินและการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตกไข่และความสำเร็จของการปฏิสนธิ อีกทั้งโปรตีนยังจะช่วยในการสร้างเอนไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์อีกด้วย สาย Vegan จะสามารถทำ ICSI ได้สำเร็จหรือไม่ สาย Vegan หลายคนกังวลเรื่องโปรตีนสำหรับคนท้องที่ได้รับจากพืชเพียงอย่างเดียว ว่าจะมีผลต่อการความสำเร็จของการตั้งครรภ์หรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำ ICSI ซึ่งในความจริงนั้น ผู้ที่กินอาหารแบบวีแกนก็สามารถเตรียมตัวทำ ICSI ให้สำเร็จได้ หากวางแผนโภชนาการอย่างถูกวิธี ข้อดีของอาหารวีแกนสำหรับการเตรียมตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่กินอาหารแบบวีแกนสามารถตั้งครรภ์และคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย เพราะอาหารวีแกนมีข้อดีต่อการเตรียมตั้งครรภ์ ดังนี้ อาหารจากพืชช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ปรับปรุงระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มใยอาหารที่ช่วยดูดซึมสารอาหาร การเสริมสารอาหารสำคัญสำหรับสาย Vegan ที่กำลังเตรียมตัวทำ ICSI แม้การกินอาหารแบบวีแกนจะมีข้อดีต่อการเตรียมตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเสริมสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย โดยเฉพาะสารอาหารเหล่านี้ที่ส่งผลต่อคุณภาพของไข่และความสำเร็จในการทำ ICSI วิตามิน B12 จากซีเรียลเสริม B12 หรือ Supplement (2.4-2.8 ไมโครกรัม/วัน) ไอโอดีน จากเกลือเสริมไอโอดีนหรือสาหร่ายทะเล (220-250 ไมโครกรัม/วัน) ธาตุเหล็ก จากผักใบเขียว...

เด็กผู้หญิงมีภาวะดาวน์ซินโดรม หนึ่งในโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

ลดเสี่ยงโรคร้าย ลูกสุขภาพดีได้ด้วยวิธีป้องกันโรคทางพันธุกรรม

การมีเจ้าตัวน้อยเข้ามาเป็นโซ่ทองคล้องใจและเติมเต็มให้ครอบครัวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถือเป็นสิ่งที่สามีภรรยาหลายคู่ต้องการ แต่การตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงมีประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดโรคหรือความผิดปกติไปยังลูกได้ ดังนั้น การตรวจคัดกรองโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ก่อนวางแผนตั้งครรภ์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่คู่สมรสควรทำ เพื่อช่วยให้การตั้งครรภ์ปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดความผิดปกติ ตลอดจนโรคต่าง ๆ จากพ่อแม่ไปสู่ลูกที่กำลังจะลืมตาดูโลก โรคทางพันธุกรรมคืออะไร ทำไมต้องให้ความสำคัญ ? โรคทางพันธุกรรม (Genetic Disorder) คือ โรคหรือความผิดปกติที่เกิดจากความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซม ซึ่งเป็นหน่วยพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก อาจเกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นพาหะของยีนผิดปกติ หรือทั้งคู่มีความผิดปกติในยีนเหล่านั้น รวมทั้งเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม โดยสามารถแสดงอาการได้ตั้งแต่แรกเกิดหรืออาจปรากฏขึ้นในช่วงชีวิตต่อมา ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้น โรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและการดำเนินชีวิตของเด็กในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ หรืออาจทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพที่ต้องการการดูแลรักษาตลอดชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมีย โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือโรคดาวน์ซินโดรม ดังนั้น การเข้าใจวิธีป้องกันโรคทางพันธุกรรม รวมทั้งการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมจึงมีความสำคัญมากสำหรับคู่สมรสที่กำลังวางแผนจะมีบุตร ประเภทของโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โรคทางพันธุกรรมมีหลากหลายชนิด โดยสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ โรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับยีน และโรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับโครโมโซม ซึ่งแต่ละประเภท มีรายละเอียดดังนี้ 1. โรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับยีน (Gene-level Disorders) เกิดจากการที่ยีนบางตัวมีการกลายพันธุ์หรือมีความผิดปกติในระดับโมเลกุล ซึ่งมีลักษณะการถ่ายทอดที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากพ่อหรือแม่ เช่น โรคฮันติงตัน โรคธาลัสซีเมีย โรคฮีโมฟีเลีย โรคซิสติกไฟโบรซิส 2. โรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับโครโมโซม (Chromosomal-level Disorders) เกิดจากความผิดปกติในโครโมโซม ซึ่งอาจจะเป็นการขาดหรือมีจำนวนโครโมโซมมากเกินไป ทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกายและการพัฒนาทางร่างกาย แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ เกิดจากความผิดปกติบนโครโมโซมชนิดออโตโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม ทริโซมี 18 ทริโซมี 13 เกิดจากความผิดปกติบนโครโมโซมเพศ ทั้งโครโมโซม X และโครโมโซม Y เช่น...

หญิงตั้งครรภ์วางแผนฤกษ์คลอดเพราะอยากมีลูกปีมะเมีย 2569

อยากมีลูกปีมะเมีย 2569 วางแผนก่อนท้อง ลูกน้อยคลอดทันฤกษ์ดี

ใกล้หมดปี 2568 คู่สมรสหลายคู่เริ่มพูดถึงการมีลูกปีมะเมีย (ปีม้า) ในปี 2569 กันมากขึ้นในโซเชียลมีเดีย ทั้งในแง่ของความเชื่อและความสำคัญด้านโหราศาสตร์ที่เหมาะกับการมีสมาชิกใหม่ สำหรับคู่สมรสที่วางแผนตั้งครรภ์เพื่อให้ลูกน้อยเกิดทันฤกษ์ดีในปี 2569 การทำความเข้าใจและวางแผนตั้งครรภ์ให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เป็นเรื่องที่ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เปิดตำราโหราศาสตร์ไทย ปีม้าเริ่มวันไหน ? อยากมีลูกปีมะเมีย 2569 ต้องรู้ คนส่วนใหญ่มักคิดว่า หลังหมดปี 2568 และเข้าสู่วันที่ 1 มกราคม 2569 ก็นับว่าเป็นปีมะเมียแล้ว แต่ในความเป็นจริง ทางโหราศาสตร์ไม่ได้ใช้วิธีนับปีด้วยวิธีสากลเสมอไป เพราะหากนับตามปฏิทินจันทรคติไทย ปีมะเมีย 2569 จะเริ่มต้นในวันที่ 19 มีนาคม 2569 เวลา 06:23 น. เป็นต้นไป ดังนั้น หากอยากให้ลูกน้อยเกิดในปีมะเมียอย่างแท้จริง ก็ต้องวางแผนตั้งครรภ์และคลอดหลังจากเวลาดังกล่าวเท่านั้น จุดเด่นของเด็กปีมะเมีย : มีพลัง ฉลาด เป็นผู้นำ กล้าแสดงออก การมีลูกในปีมะเมีย ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเสริมดวงและเสริมโชคลาภให้กับครอบครัว รวมทั้งตัวเด็กเอง เนื่องจากเด็กที่เกิดในปีนี้จะมีลักษณะและบุคลิกภาพที่โดดเด่นหลายประการ ดังนี้ 1. โอกาสดีในการศึกษาและการทำงาน เด็กที่เกิดในปีมะเมียมักมีพลัง ความมุ่งมั่น กระตือรือร้น และมีความสามารถในการเป็นผู้นำ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีโอกาสดีในการประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาและการงาน อีกทั้งยังมีความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้อื่นได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการเติบโตในสังคมด้วย 2. บุคลิกภาพที่โดดเด่น ปีม้าเป็นปีที่สื่อถึงความรวดเร็ว ว่องไว และพลังชีวิตที่สูง เด็กที่เกิดในปีนี้จึงมีบุคลิกภาพที่โดดเด่นและมั่นใจในตัวเอง พร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ด้วยความกล้าหาญและความมั่นใจ 3. ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดี การมีลูกในปีม้าเชื่อว่าจะช่วยเสริมดวงชะตาและความเป็นสิริมงคลให้กับครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อปีนักษัตรของลูกสมพงศ์กับปีเกิดของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะราบรื่นและเกื้อหนุนกัน ช่วยให้การดำเนินชีวิตครอบครัวมีความสุขและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 4. โอกาสดีในการวางแผนชีวิตและโชคลาภ สุดท้าย เชื่อกันว่าเด็กที่คลอดปีม้ามักเชื่อมโยงกับการเริ่มต้นใหม่และโอกาสที่ดี เป็นการเสริมดวงในเรื่องของโชคลาภและการเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิตครอบครัว...

กลูเตนอาจส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากหากมีอาการแพ้กลูเตนโดยไม่รู้ตัว

กลูเตนกับภาวะมีบุตรยาก: ความเชื่อมโยงที่คุณควรรู้

ในปัจจุบัน ปัญหาภาวะมีบุตรยากเป็นเรื่องที่หลายคู่รักให้ความสำคัญและใส่ใจมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ที่หลายคนอาจมองข้ามไปก็คือเรื่องของโภชนาการ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารกลูเตนฟรี ที่หลายงานวิจัยพบว่า ภาวะแพ้กลูเตนหรือโรคเซลิแอคอาจมีผลต่อสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากโดยไม่รู้ตัว กลูเตนคืออะไร? กลูเตนเป็นโปรตีนที่พบในธัญพืชหลายชนิด โดยเฉพาะข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ โปรตีนชนิดนี้ทำหน้าที่ช่วยให้แป้งมีความยืดหยุ่นและเหนียวหนึบ จึงทำให้ขนมปังและผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่าง ๆ มีเนื้อสัมผัสที่นิ่มและอร่อย กลูเตนประกอบไปด้วยโปรตีนสองชนิดหลัก คือ กลูเทนิน (Glutenin) และกลาอิดิน (Gliadin) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ในผู้ที่มีความไวต่อกลูเตน อาหารที่มีกลูเตน ในชีวิตประจำวัน เราสามารถพบกลูเตนในอาหารหลายประเภท เช่น ขนมปังทุกชนิด พาสต้า เส้นใหญ่ เส้นหมี่ ข้าวโอ๊ตบางชนิด ขนมเบเกอรี่ เค้ก คุกกี้ เบียร์ ซอสถั่วเหลือง ซอสปรุงรสต่าง ๆ รวมถึงอาหารแปรรูปจำนวนมากที่มีการเติมแป้งสาลีเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ ยังอาจมีในผลิตภัณฑ์อย่าง ลูกอมบางชนิด หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาการแพ้กลูเตนและโรคเซลิแอค ความแตกต่างระหว่างอาการแพ้กลูเตนกับโรคเซลิแอค โรคเซลิแอค (Celiac Disease) เป็นโรคระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อต้านกลูเตน ทำให้เกิดการอักเสบและการทำลายเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก ส่งผลให้การดูดซึมสารอาหารผิดปกติ  ในขณะที่ความไวต่อกลูเตนที่ไม่ใช่โรคเซลิแอค (Non-Celiac Gluten Sensitivity) แต่อาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายคลึงกัน แต่ไม่มีการทำลายเยื่อบุลำไส้ และไม่พบแอนติบอดีในเลือด อาการที่ควรสังเกต อาการแพ้กลูเตนมีความหลากหลาย ตั้งแต่อาการในระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน ไปจนถึงอาการนอกระบบย่อยอาหาร เช่น ผื่นคัน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดข้อ โลหิตจาง ความผิดปกติของระบบประสาท รวมถึงความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ อาการแฝงและการวินิจฉัย ในบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน หรือมีอาการเบา ๆ...

แพทย์อธิบายว่าอุณหภูมิถุงอัณฑะส่งผลต่อคุณภาพอสุจิอย่างไร

อุณหภูมิถุงอัณฑะสูง เพิ่มความเสี่ยงมีบุตรยากจริงไหม?

คุณภาพอสุจิ กุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น และทำให้ทารกที่คลอดออกมามีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง แล้วคุณรู้หรือไม่ว่า 'อุณหภูมิถุงอัณฑะ' ที่เปรียบเสมือนโรงงานผลิตอสุจิก็ส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิเช่นกัน แต่กลับเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไป จนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากตามมา อุณหภูมิถุงอัณฑะ ปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพอสุจิ อัณฑะ (Testes) เป็นอวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญในการผลิตอสุจิและฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีบทบาทในการพัฒนาและการทำงานของอวัยวะเพศชาย ตลอดจนการผลิตอสุจิในกระบวนการที่เรียกว่า Spermatogenesis โดยกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นภายในหลอดที่เรียกว่า Seminiferous Tubules ที่อยู่ในลูกอัณฑะ ซึ่งการผลิตอสุจิที่มีคุณภาพจะเกิดได้ดีที่สุดเมื่ออัณฑะมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายเล็กน้อย หรือประมาณ 34-35 องศาเซลเซียส กระบวนการสร้างอสุจิ โดยทั่วไป กระบวนการสร้างอสุจิตั้งแต่เซลล์เริ่มต้นไปจนถึงอสุจิที่สามารถปฏิสนธิได้ จะใช้เวลาประมาณ 64-72 วัน โดยรายละเอียดของกระบวนการมีดังนี้ เซลล์ Spermatogonia ในอัณฑะแบ่งตัวแบบ Mitosis เพื่อเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนเป็น Primary Spermatocyte ซึ่งมีโครโมโซมจำนวน 46 แท่ง (Diploid) Primary Spermatocyte แบ่งตัวแบบ Meiosis ครั้งที่ 1 เพื่อลดจำนวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่ง กลายเป็น Secondary Spermatocyte ที่มีโครโมโซม 23 แท่ง (Haploid) Secondary Spermatocyte แบ่งตัวแบบ Meiosis ครั้งที่ 2 เพื่อแยกโครโมโซมออกเป็นเซลล์เล็ก ๆ ทำให้ได้ Spermatid จำนวน 4 เซลล์ ซึ่งมีโครโมโซม 23...

ฮอร์โมน DHEA คือฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

ฮอร์โมน DHEA คืออะไร ? ตอบความสำคัญสำหรับการตั้งครรภ์

ถึงแม้ว่าการมีลูกจะเป็นหนึ่งในความฝันของคู่รักหลายคู่ แต่ก็ใช่ว่าทุกคู่จะสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างสำเร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากซึ่งอาจมีความเสี่ยงหลายประการ การตรวจคุณภาพไข่จึงถือเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ถึงความสามารถในการตั้งครรภ์  อีกทั้งยังช่วยประเมินสุขภาพของรังไข่และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสืบพันธุ์ เช่น ฮอร์โมน DHEA ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมคุณภาพไข่ให้แข็งแรง  ฮอร์โมน DHEA คืออะไร? ฮอร์โมน DHEA (Dehydroepiandrosterone) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต ซึ่งมีบทบาทในการเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนสำคัญทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน โดยฮอร์โมน DHEA มีบทบาทในการควบคุมการผลิตไข่ในรังไข่และช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบสืบพันธุ์ของทั้งชายและหญิง การที่ผู้หญิงมีระดับ DHEA ต่ำ อาจส่งผลต่อสุขภาพของไข่ รวมทั้งจำนวนไข่ และกระบวนการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุเกิน 35 ปี ซึ่งระดับ DHEA ในร่างกายมักจะลดลงตามอายุ จึงอาจทำให้การผลิตไข่และการตั้งครรภ์มีความยากลำบากมากขึ้น ดังนั้นการตรวจสอบระดับ DHEA จึงส่งผลสำคัญในการวางแผนตั้งครรภ์ เพราะสามารถบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของการมีบุตรยากได้  ประโยชน์ของฮอร์โมน DHEA ต่อการตั้งครรภ์ การทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของฮอร์โมน DEHA จะช่วยให้คู่รักสามารถเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสให้กับการมีลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1. เพิ่มคุณภาพไข่ ฮอร์โมน DHEA มีบทบาทในการกระตุ้นการผลิตไข่จากรังไข่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพและสามารถพัฒนาต่อไปเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรงได้ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการฝังตัวในมดลูกเป็นไปได้ง่าย พร้อมกับเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์สำเร็จได้ในรอบแรก 2. ช่วยการทำงานของรังไข่ แม้ในผู้หญิงที่อายุเริ่มมากขึ้น ดังที่กล่าวไปว่า DHEA เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของรังไข่ จึงเหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป ที่รังไข่มักทำงานได้ลดลง รวมทั้งสตรีที่อายุน้อยที่มีจำนวนไข่น้อยกว่าเกณฑ์ โดยการเสริม DHEA จะช่วยทำให้กระบวนการสืบพันธุ์เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  3. เสริมการผลิตฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมน DHEA ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศที่จำเป็นในการตั้งครรภ์ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไข่ให้มีคุณภาพดีและเตรียมมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการสืบพันธุ์ทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมนเพศต่ำ หรือผู้ที่มีปัญหากับการผลิตไข่  ทำไมการตรวจคุณภาพไข่ในผู้หญิงจึงสำคัญ? เมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น...

อาหารที่อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยบำรุงอสุจิ

วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงอสุจิ เพิ่มโอกาสมีบุตร

การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ นับเป็นอีกหนึ่งวิธีบำรุงอสุจิให้แข็งแรงและมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยงกับภาวะมีบุตรยาก การเสริมสารอาหารที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ สู่การเติมเต็มชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ให้แก่คู่สามีภรรยาได้อย่างใจฝัน อนุมูลอิสระ ส่งผลเสียต่อการสร้างอสุจิอย่างไร? อนุมูลอิสระ (Free Radicals) คือโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากกระบวนการทางชีวภาพต่าง ๆ ภายในร่างกายของเรา แม้ว่าร่างกายจะมีกลไกในการจัดการกับอนุมูลอิสระเหล่านี้ แต่หากมีปริมาณมากเกินไป หรือระบบจัดการทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็จะก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า ออกซิเดทีฟสเตรส (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงเซลล์อสุจิด้วย โดยส่งผลเสียที่สำคัญดังนี้ ทำลาย DNA ของอสุจิ อนุมูลอิสระสามารถเข้าโจมตีและทำลายสารพันธุกรรม DNA ภายในเซลล์อสุจิได้ ซึ่งจะส่งผลให้อสุจิมีความผิดปกติ ไม่สามารถทำหน้าที่ในการผสมกับไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมในตัวอ่อนอีกด้วย ลดคุณภาพของอสุจิ  ภาวะออกซิเดทีฟสเตรสจากอนุมูลอิสระทำให้คุณภาพอสุจิโดยรวมลดลง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนอสุจิที่น้อยลง ความเคลื่อนไหวที่ช้าลง รูปร่างที่ผิดปกติ และความสามารถในการทะลุผ่านเยื่อหุ้มไข่ที่ลดลง ปัจจัยเหล่านี้จะลดโอกาสในการปฏิสนธิลงอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงเกิดภาวะมีบุตรยาก เมื่ออสุจิได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ จะส่งผลให้ความสามารถในการเจริญพันธุ์ลดลง ทำให้คู่สามีภรรยาประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งอาจทำให้การตั้งครรภ์ใช้เวลานานกว่าปกติ หรือไม่มีโอกาสสำเร็จหากตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ รวมถึงเสี่ยงต่อภาวะแท้งคุกคามที่สูงขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงอสุจิมีอะไรบ้าง? สารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันและลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ตัวอย่างสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ได้แก่  วิตามิน C วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายน้ำได้ ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์อสุจิจากอนุมูลอิสระและช่วยเพิ่มคุณภาพของอสุจิ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเซลล์อสุจิ ทำให้อสุจิมีความทนทานมากขึ้น พร้อมกับช่วยในการดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบสืบพันธุ์  วิตามิน E   วิตามิน E เป็นสารอาหารที่สามารถละลายในไขมัน มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการทำลาย DNA ของอสุจิและเพิ่มความเคลื่อนไหวของอสุจิ โดยผู้ชายที่ได้รับวิตามิน E เป็นประจำ อสุจิจะมีคุณภาพดี และมีอัตราการตั้งครรภ์ของคู่สมรสที่สูง  สังกะสี (Zinc)  สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการผลิตอสุจิ และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่อสุจิ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการควบคุมระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และมีบทบาทในการสร้างเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับกระบวนการสร้างอสุจิ ซีลีเนียม (Selenium) ซีลีเนียมคือแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องอสุจิจากการทำลาย และช่วยเพิ่มความเคลื่อนไหวของอสุจิ...

ผู้หญิงที่สามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จ จากการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการระดับ Cutting-edge

ทำไมการดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการจึงเป็นหัวใจของ IVF?

Medically Assisted Reproduction (MAR) หรือ วิทยาการช่วยการเจริญพันธุ์ คือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้คู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากสามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จ โดยกระบวนการนี้ประกอบด้วยหลายขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บไข่ การปฏิสนธิ ไปจนถึงการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องอาศัยความแม่นยำและการดูแลอย่างใกล้ชิด หัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการตั้งครรภ์ คือ “การดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ” ห้องปฏิบัติการที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย (Cutting-Edge) จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนอย่างเต็มศักยภาพ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้คู่รักได้สมหวังในการมีบุตรตามที่ตั้งใจ การดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการคืออะไร? การดูแลตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ คือกระบวนการสำคัญในการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธินอกร่างกาย (In-Vitro Fertilization: IVF) หรือการฉีดอสุจิเข้าเซลล์ไข่โดยตรง (Intracytoplasmic Sperm Injection: ICSI) โดยตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมสภาพแวดล้อมอย่างเข้มงวด ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น ระดับก๊าซ แสง และแรงสั่นสะเทือน เพื่อจำลองบรรยากาศให้ใกล้เคียงกับมดลูกตามธรรมชาติมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบเพาะเลี้ยง (Culture System) ที่ทันสมัย เพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของตัวอ่อนแต่ละระยะ พร้อมกับดำเนินการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบความสะอาด ไปจนถึงการคัดเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอย่างปลอดภัยและมีโอกาสฝังตัวสำเร็จสูงสุด การเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการไม่ได้เป็นเพียงแค่การเฝ้าดูการเติบโตเท่านั้น แต่คือการบริหารจัดการ "คุณภาพชีวิตของตัวอ่อน" ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งมีผลต่อการฝังตัวและการตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐานห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มีผลต่อความสำเร็จของ IVF เทคโนโลยี Cutting-edge ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการยุคใหม่ ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มีมาตรฐานสูงในยุคปัจจุบันได้พัฒนาไปไกล เพราะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้สามารถดูแลตัวอ่อนได้ดียิ่งขึ้น เช่น เทคโนโลยี Cutting-Edge ภายในห้องปฏิบัติการ ที่ทำให้การดูแลตัวอ่อนทำได้อย่างสะดวกและครอบคลุม   Time-Lapse Incubator และ 3D Imaging Time-Lapse Incubator และ 3D Imaging คือระบบเพาะเลี้ยงตัวอ่อนอัจฉริยะที่ใช้กล้องบันทึกภาพการเจริญเติบโตของตัวอ่อนอย่างต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องเปิดตู้หรือรบกวนสภาพแวดล้อมของการเลี้ยง ส่งผลให้สามารถเฝ้าติดตามทุกช่วงพัฒนาการของตัวอ่อนได้อย่างละเอียด แพทย์จึงสามารถประเมินคุณภาพตัวอ่อนและเลือกตัวอ่อนที่มีโอกาสฝังตัวและตั้งครรภ์สำเร็จได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีแช่แข็งแบบ...