ไข่ใบเล็ก ส่งผลต่อคุณภาพไข่ เสี่ยงเกิดภาวะมีบุตรยาก
หลายคนคงเคยได้ยินว่าคุณภาพไข่ส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ แต่รู้หรือไม่ว่าไข่ใบเล็กอาจเป็นสัญญาณของปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ที่ร้ายแรงกว่าที่คิด สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพไข่ การเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการผลิตไข่จะช่วยให้สามารถวางแผนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรในอนาคตด้วย 6 ปัจจัยชี้วัดคุณภาพไข่ที่คนวางแผนมีบุตรต้องรู้ เซลล์ไข่ (Oocyte) เป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ มีหน้าที่สำคัญในการนำสารพันธุกรรมจากเพศหญิงไปรวมกับอสุจิจากเพศชายเพื่อสร้างตัวอ่อน กล่าวได้ว่า การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเซลล์ไข่มีความสมบูรณ์ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพและความพร้อมของเซลล์ไข่จนนำไปสู่ความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เช่น 1. ระดับฮอร์โมน AMH (Anti-Mullerian Hormone) ฮอร์โมน AMH เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณไข่สำรอง หรือความสามารถในการทำงานของรังไข่โดยรวม ใช้ในการประเมินศักยภาพการสืบพันธุ์ของผู้หญิง ระดับ AMH ที่เหมาะสมบ่งบอกว่ามีจำนวนไข่ในรังไข่มากและมีโอกาสสูงที่จะมีไข่ที่มีคุณภาพดี โดยปกติจะอยู่ที่ 1.0-4.0 ng/mL ในทางกลับกัน ระดับ AMH ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็สามารถบ่งชี้ว่าไข่สำรองมีจำนวนน้อยลงได้เช่นกัน ซึ่งสัมพันธ์กับคุณภาพของไข่ที่ลดลงตามธรรมชาติ การตรวจ AMH สามารถทำได้ตลอดรอบเดือน เนื่องจากระดับฮอร์โมนนี้ไม่ผันผวนเหมือนฮอร์โมนอื่น ๆ 2. ระดับฮอร์โมนอื่นที่เกี่ยวข้อง FSH (Follicle Stimulating Hormone) ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของถุงไข่ (Follicles) LH (Luteinizing Hormone) มีบทบาทสำคัญในการทำให้ไข่สุกเต็มที่และกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ Prolactin และ TSH (Thyroid-Stimulating Hormone) ไม่ใช่ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์โดยตรง แต่หากมีปริมาณสูงเกินไป ก็สามารถรบกวนการทำงานของรังไข่และส่งผลกระทบต่อคุณภาพไข่ได้ 3. การเจริญเติบโตของถุงไข่และฮอร์โมน Estradiol การติดตามการเจริญเติบโตของถุงไข่ด้วยอัลตราซาวนด์ หากถุงไข่มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสที่ไข่จะมีคุณภาพดีสูงขึ้น ส่วน Estradiol เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากถุงไข่ที่กำลังเติบโต บ่งบอกถึงการตอบสนองของรังไข่ต่อการกระตุ้นไข่และช่วยประเมินคุณภาพไข่เบื้องต้นได้ 4. ลักษณะทางกายภาพของเซลล์ไข่ เป็นการประเมินคุณภาพโดยพิจารณาจากรูปร่างภายนอกและการทำงานของเซลล์...
ศึกษาปัจจัยจากมือถือที่ส่งผลต่อคุณภาพอสุจิ พร้อมวิธีป้องกัน
จริงหรือไม่ ? ว่าแค่พกมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงทุกวัน อาจกำลังทำร้าย “คุณภาพอสุจิ” โดยไม่รู้ตัว หลายคนอาจคิดว่ามือถือเป็นเพียงอุปกรณ์สื่อสาร แต่ในความเป็นจริง มือถือสามารถปล่อยทั้งความร้อนและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF‑EMF) ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหว จำนวน รวมถึงความสมบูรณ์ของอสุจิ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่นักวิจัยต้องศึกษาเพิ่มเติม แต่การรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้เรารู้วิธีหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพของอสุจิ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ผลกระทบของคลื่นความร้อนจากมือถือ โทรศัพท์มือถือสร้างความร้อนขณะใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเปิดแอปพลิเคชันหนัก หรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งหากอยู่ใกล้ถุงอัณฑะโดยตรงก็อาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชายได้ เนื่องจากอัณฑะต้องการอุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส เพื่อให้กระบวนการสร้างอสุจิทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการสร้างอสุจิทำงานผิดปกติ อัณฑะเป็นอวัยวะที่ไวต่ออุณหภูมิ หากคลื่นความร้อนจากมือถือทำให้อุณหภูมิถุงอัณฑะสูงขึ้น เซลล์เซอร์โตลีและเซลล์ต้นกำเนิดอสุจิ ซึ่งทำหน้าที่สร้างอสุจิ จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้จำนวนอสุจิลดลงและอาจมีรูปร่างผิดปกติ เช่น หัวไม่สมบูรณ์ หรือหางผิดรูป ความเคลื่อนไหวของอสุจิลดลง อสุจิที่เคลื่อนไหวช้า หรือจำนวนไม่เพียงพอ มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการปฏิสนธิ เนื่องจากอสุจิจำเป็นต้องเคลื่อนตัวไปที่ไข่ของเพศหญิงเพื่อทำการปฏิสนธิ การที่อุณหภูมิถุงอัณฑะสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะทำให้อสุจิเคลื่อนไหวไม่เต็มที่ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง ผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF‑EMF) คลื่น RF‑EMF (Radio Frequency Electromagnetic Field) คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุที่มือถือใช้ในการสื่อสารข้อมูล เช่น การโทรเข้าออก การใช้อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi ซึ่งงานวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าคลื่นนี้อาจกระทบต่อคุณภาพอสุจิ เช่น ลดจำนวนและคุณภาพอสุจิ คลื่น RF‑EMF สามารถรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์อสุจิ ทำให้จำนวนอสุจิลดลง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการปฏิสนธิ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอสุจิ การเคลื่อนไหวของอสุจิที่ลดลงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ต่ำ โดยพบว่าการสัมผัสคลื่น RF‑EMF ติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน อาจส่งผลให้อสุจิเคลื่อนที่ได้ช้าลง เพิ่มความเสียหายต่อ DNA อสุจิ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจทำให้เกิด DNA fragmentation หรือความเสียหายต่อสารพันธุกรรมของอสุจิ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพอสุจิลดลง อีกทั้งหาก DNA เกิดความเสียหายรุนแรง...
โรคเบาหวานกับการมีลูกยาก รู้และเข้าใจ เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์
การวางแผนมีลูกเป็นขั้นตอนสำคัญของหลาย ๆ คู่แต่งงาน แต่สำหรับคู่ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานหรือมีปัญหาเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการตั้งครรภ์ ดังนั้นเราจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานว่ามีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์อย่างไร และแนะนำวิธีการลดความเสี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตร โรคเบาหวานคืออะไร? โรคเบาหวาน (Diabetes) คือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามปกติ เนื่องจากการทำงานของอินซูลิน (Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อนไม่เพียงพอ หรือการตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยโรคเบาหวานมีสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 โรคเบาหวานที่เกิดจากการขาดอินซูลินในร่างกายทั้งหมด มักพบในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคเบาหวานชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดจากความต้านทานต่ออินซูลิน คือร่างกายยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต โรคเบาหวานมีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์อย่างไร? โรคเบาหวานมีผลกระทบโดยตรงต่อการตั้งครรภ์และภาวะเจริญพันธุ์ในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ดังนี้ ผลกระทบในผู้หญิง น้ำตาลในเลือดสูงจะไปรบกวนการทำงานของรังไข่ ระดับน้ำตาลที่สูงเกินไปส่งผลต่อการทำงานของรังไข่ ทำให้การเจริญเติบโตของไข่ไม่สมบูรณ์และคุณภาพของไข่ลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิสนธิและการฝังตัวของตัวอ่อนไม่ประสบความสำเร็จ ฮอร์โมนผิดปกติ การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติหรือไม่มาตามรอบ ลดโอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ ปัญหาการเจริญเติบโตของไข่และการตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรก ภาวะเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างดี ส่งผลต่อคุณภาพของไข่ที่ผลิตออกมา ทำให้โอกาสในการปฏิสนธิลดลง และหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงสูงที่ตัวอ่อนจะไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ หรือเกิดภาวะการแท้งคุกคาม ผลกระทบในชาย เบาหวานส่งผลต่อคุณภาพและจำนวนอสุจิ ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป ทำให้อสุจิมีคุณภาพลดลง ทั้งในด้านรูปร่าง การเคลื่อนที่ และจำนวนอสุจิ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและเส้นประสาท นำไปสู่ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีเพศสัมพันธ์และการมีบุตร วิธีลดความเสี่ยงและดูแลตัวเองเมื่อวางแผนตั้งครรภ์ การควบคุมโรคเบาหวานและดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนตั้งครรภ์ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีลูก ลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมตัวมีบุตร โดยควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยต้องตั้งเป้าหมายให้ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ ปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามและวางแผนการตั้งครรภ์ สำหรับคู่รักที่มีภาวะเบาหวานอยู่แล้ว ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเบาหวานและสูตินรีแพทย์ เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยที่สุด แพทย์จะช่วยประเมินความเสี่ยง ปรับแผนการรักษา และแนะนำการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงเวลาของการวางแผนตั้งครรภ์ เลือกรับประทานอาหารสุขภาพ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ควรเน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว...
เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดูแลสุขภาพเพื่อเตรียมตัวตั้งครรภ์ ไม่ใช่แค่เรื่องของการกินอาหารเสริม หรือการปรึกษาแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม อย่างเช่น “การดื่มน้ำ” เพราะในความเป็นจริงแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน มีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง และอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า การดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างไรบ้าง ทำไมน้ำจึงสำคัญต่อการตั้งครรภ์? ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำมากถึง 60-70% และระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้วนต้องพึ่งพาน้ำในการทำงาน รวมถึงระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง เช่น รังไข่ มดลูก และมูกไข่ ซึ่งการดื่มน้ำไม่เพียงแต่ช่วยในการขับของเสีย แต่ยังช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะสำคัญ และรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดื่มน้ำมีผลต่อการตกไข่และมูกไข่อย่างไร? หนึ่งในสิ่งที่สำคัญต่อการปฏิสนธิก็คือ “มูกไข่ (Cervical Mucus)” ซึ่งทำหน้าที่นำทางให้ตัวอสุจิเคลื่อนที่ไปถึงไข่ได้ง่ายขึ้น โดยมูกไข่ที่มีคุณภาพดี จะต้องมีลักษณะใส ยืดหยุ่น และมีปริมาณมากพอ โดยมีปัจจัยสำคัญอย่าง “ระดับความชุ่มชื้นในร่างกาย” ที่จะส่งผลต่อลักษณะของมูกไข่โดยตรง หากดื่มน้ำน้อยเกินไป มูกไข่อาจแห้ง ข้นเหนียว หรือมีน้อยเกินไป ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของอสุจิเป็นไปได้อย่างลำบาก และลดโอกาสในการปฏิสนธิ ในทางกลับกัน การดื่มน้ำให้เพียงพอ สามารถช่วยให้มูกไข่มีคุณภาพเหมาะสมในช่วงวันตกไข่ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองของการตั้งครรภ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะพอ? แม้แต่ละคนจะต้องการน้ำในปริมาณต่างกัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว การใช้พลังงาน และสภาพอากาศ แต่โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้ผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีบุตร ดื่มน้ำประมาณ 2-2.5 ลิตรต่อวัน หรือ ราว ๆ 8-10 แก้ว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายอย่างเหมาะสม และหากคุณดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ เช่น ชา กาแฟ หรือออกกำลังกายมากกว่าปกติ ควรดื่มน้ำเพิ่มอีกประมาณ...
“หลั่งเร็ว” ปัญหาที่ไม่ได้อยู่แค่บนเตียงแต่กระทบต่อการมีบุตร
แม้จะมีความพร้อมทางร่างกายและสุขภาพโดยรวมที่ดี แต่ปัญหา “หลั่งเร็ว” หรือ Premature Ejaculation (PE) ที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีบุตรโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงแม้ว่าภาวะนี้ไม่ได้มีผลต่อภาวะมีบุตรยากโดยตรงในแง่ “คุณภาพของอสุจิ” หรือ “จำนวนอสุจิ” แต่อาจส่งผลต่อโอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ ที่เกิดจากการนำส่งอสุจิเข้าสู่ช่องคลอดที่ไม่เพียงพอ ทำให้ลดโอกาสในการปฏิสนธิได้ ความสัมพันธ์ระหว่างการหลั่งเร็วกับภาวะมีบุตรยาก การหลั่งเร็ว หมายถึงการหลั่งน้ำอสุจิก่อนที่การสอดใส่จะดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ หรือเกิดการหลั่งภายในระยะเวลาที่รวดเร็วเกินไป ประมาณ 1-3 นาทีหลังการสอดใส่ ซึ่งถือเป็นการวินิจฉัยตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยการหลั่งเร็วนั้นอาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ และอาจมีผลกระทบต่อโอกาสการมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ ประเภทของการหลั่งเร็ว Primary Premature Ejaculation (หลั่งเร็วประเภทแรก): กรณีที่ผู้ชายมีปัญหาหลั่งเร็วมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่สามารถควบคุมเวลาขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ อีกทั้งสาเหตุของปัญหานี้ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด แต่บางครั้งอาจเกิดจากปัญหาทางด้านจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล ที่ไปกระตุ้นจนทำให้เกิดการหลั่งเร็ว Secondary Premature Ejaculation (หลั่งเร็วประเภทที่สอง): ปัญหานี้เกิดขึ้นได้ในภายหลัง จากปกติที่เคยควบคุมได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านจิตใจ รวมถึงสาเหตุทางร่างกาย เช่น การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด รวมถึงสภาวะทางกายภาพอย่างภาวะต่อมลูกหมากบวม เป็นต้น การหลั่งเร็ว มีผลอย่างไรกับการปฏิสนธิ? แม้ว่าการหลั่งเร็วจะไม่ได้กระทบต่อภาวะมีบุตรยากในผู้ชายโดยตรง เพราะถ้ามีจำนวนอสุจิอยู่ในเกณฑ์ปกติและมีคุณภาพดี ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากก็คือ การหลั่งเร็วกระทบต่อการนำส่งอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด ดังนี้ กรณีหลั่งก่อนการสอดใส่ อาจทำให้จำนวนอสุจิที่เข้าสู่ช่องคลอดไม่เพียงพอ ส่งผลให้อสุจิไม่สามารถเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิงได้ หรือเข้าไปน้อยมาก ทำให้อสุจิเดินทางไปหาไข่ได้ยาก กรณีหลั่งทันทีหลังจากสอดใส่ อาจทำให้อสุจิที่ถูกปล่อยออกมามีปริมาณที่ไม่เพียงพอที่จะเดินทางไปปฏิสนธิกับไข่ได้สำเร็จ เนื่องจากเวลาที่อสุจิจะอยู่ในช่องคลอดและเดินทางต่อไปมีอย่างจำกัด ผลกระทบของการหลั่งเร็วที่มากกว่าทางกายภาพ การหลั่งเร็วมักจะมีผลกระทบมากกว่าที่คิด เพราะอาจส่งผลต่อทั้งทางจิตใจและทางกายภาพ ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักไม่แนบแน่น ซึ่งนับเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม ความเครียดและความกดดันของฝ่ายชาย: การหลั่งเร็วอาจทำให้ฝ่ายชายรู้สึกเครียดและลดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ Self-Esteem...
วิธีปั่นจักรยานสำหรับผู้ชาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะมีบุตรยาก
ผู้ชายกับกิจกรรมอันท้าทายและน่าตื่นเต้นถือเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะกิจกรรมที่ได้ทั้งความสนุกและได้ออกกำลังกายในเวลาเดียวกัน อย่างการปั่นจักรยานและการขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ แต่รู้หรือไม่ว่ากิจกรรมที่หลายคนชื่นชอบ คือสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากในเพศชาย เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำให้อวัยวะที่สำคัญของระบบสืบพันธุ์อย่างลูกอัณฑะได้รับการกดทับเป็นเวลานาน ทำไมการปั่นจักรยานและขี่บิ๊กไบก์ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากในเพศชาย? การปั่นจักรยานและการขี่บิ๊กไบก์เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะให้ทั้งความสนุกและเพลิดเพลิน แต่หากต้องปั่นจักรยานหรือขี่บิ๊กไบก์เป็นเวลานาน อาจมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชายได้ โดยเฉพาะในเรื่องการผลิตอสุจิและสมรรถภาพทางเพศ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะมีบุตรยากชาย เรามาทำความเข้าใจถึงผลกระทบเหล่านี้กัน ลูกอัณฑะถูกกดทับเป็นเวลานาน เมื่อต้องนั่งบนเบาะจักรยานเป็นเวลานาน จะทำให้ลูกอัณฑะถูกกดทับอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อใช้เบาะจักรยานที่มีขนาดแคบจะส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ลดลง ทำให้ลูกอัณฑะอาจไม่ได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ทำให้กระบวนการสร้างอสุจิเป็นไปได้ยากขึ้น ความร้อนและความอับชื้นส่งผลต่อกระบวนการสร้างอสุจิ แรงเสียดทานจากการปั่นจักรยานหรือการขี่บิ๊กไบก์ ทำให้เกิดความร้อนและความอับชื้นบริเวณอัณฑะ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลเสียต่อการผลิตอสุจิ เนื่องจากอุณหภูมิของลูกอัณฑะที่สูงเกินไปจะส่งผลให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม โดยอุณหภูมิที่เหมาะกับการสร้างอสุจิที่สุด จะอยู่ที่ 32-34 องศาเซลเซียส อสุจิมีความผิดปกติ (Sperm DNA Fragmentation) การกดทับหรือกระบวนการสร้างอสุจิที่ไม่สมบูรณ์ เป็นสาเหตุทำให้ DNA ในอสุจิเสียหายหรือแตกหักและลดโอกาสในการปฏิสนธิได้ รวมทั้งยังจะทำให้ตัวอ่อนมีพัฒนาการผิดปกติหรือเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งอาจส่งผลทำให้การตั้งครรภ์ล้มเหลวได้ แนวทางปั่นจักรยานที่ถูกวิธี ลดผลกระทบต่อการมีบุตรและสมรรถภาพทางเพศ ถึงแม้ว่าการปั่นจักรยานจะมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการปั่นให้เหมาะสมได้ รวมถึงเลือกอุปกรณ์ที่รองรับการปั่นจักรยานนาน ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะมีบุตรยากและความปลอดภัยต่อสุขภาพ ดังนี้ 1. สวมชุดปั่นจักรยานหรือกางเกงที่ไม่รัดรูปเกินไป เลือกชุดและกางเกงที่มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดการกดทับ รวมทั้งลดความร้อนและความอับชื้นบริเวณอัณฑะด้วย 2. เลือกเบาะจักรยานให้เหมาะสมกับสรีระ เลือกเบาะที่ไม่แคบเกินไป รองรับแรงกดจากการนั่งและรับแรงกระแทกได้ดี เพราะเบาะรูปตัววีหรือเบาะที่แคบเกินไป จะส่งผลต่อการระบายอากาศ เพื่อความสบายในการนั่ง ควรไปทดลองก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง 3. หลีกเลี่ยงการปั่นจักรยานติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่พัก การปั่นจักรยานเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพักอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการไหลเวียนเลือดและความร้อนสูง ควรแบ่งเวลาพักเป็นระยะเพื่อให้ระบบเลือดได้พักผ่อน ลดความร้อน และลดผลกระทบจากการกดทับ 4. หากมีอาการผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศ ควรหยุดปั่นและปรึกษาแพทย์ทันที หากระหว่างปั่น มีอาการเจ็บหรือรู้สึกชาบริเวณอวัยวะเพศ ควรหยุดปั่นและปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อป้องกันปัญหาทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการกดทับในระยะยาว 5 สัญญาณเตือน ถึงเวลาพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาภาวะมีบุตรยากชาย อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจนสายไป หากวางแผนแล้วว่าต้องการมีบุตร อย่าลืมหมั่นสังเกตสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือความผิดปกติได้ทันท่วงที และนี่คือ 5 สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจนำไปสู่การเกิดภาวะมีบุตรยากในอนาคตได้ 1. ปัญหาเกี่ยวกับน้ำอสุจิหรือการหลั่งอสุจิ น้ำอสุจิน้อย หรือไม่มีน้ำอสุจิเลย เป็นอาการหนึ่งของท่อนำอสุจิอุดตัน น้ำอสุจิมีลักษณะผิดปกติ...
รีวิวทำ ICSI ที่ VFC Center ประสบการณ์จริงและคู่มือเตรียมตัว
การตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยเทคนิค ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่การมีลูก สำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การไปปรึกษาแพทย์ในสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของการรักษาภาวะมีบุตรยากให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น หากคุณคือคนหนึ่งที่อยากมีลูกในเร็ววัน ลองมาศึกษากระบวนการต่าง ๆ จากรีวิวการทำ ICSI ที่เป็นประสบการณ์จริงของคุณวริยานันท์ มาร์วัน (แป้ง) ที่เข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีการทำ ICSI กับศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) หรือ VFC Center พร้อมข้อมูลครบถ้วนที่อาจเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังเตรียมตัวเริ่มต้นเส้นทางนี้อยู่ รีวิวทำ ICSI : เรื่องราวของคุณวริยานันท์ มาร์วัน (แป้ง) - จากการรอคอยสู่การตัดสินใจทำ ICSI จุดเริ่มต้นของการรักษาภาวะมีบุตรยากของคุณแป้ง เกิดจาก หลังแต่งงานเป็นเวลา 1 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการมีลูก ประกอบกับความรู้สึกว่าตนเองแต่งงานในช่วงวัยที่ไม่ใช่วัยเด็กแล้ว จึงทำให้เธอตัดสินใจมองหาทางเลือกในการทำ ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตร การเลือกคลินิกและแพทย์อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก สู่ขั้นตอนการทำ ICSI การตัดสินใจเลือกสถานที่รักษาของคุณแป้งไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เธอใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะการหาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และด้วยความไว้วางใจที่มีต่อโรงพยาบาลเวชธานี ทำให้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) ในการรักษา อีกทั้งคุณแป้งยังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อสร้างความมั่นใจ และหลังจากได้ปรึกษาเบื้องต้น คุณแป้งจึงตัดสินใจรักษากับ “คุณหมอวรวัฒน์ ศิริปุณย์” เพราะรู้สึกเชื่อใจและสบายใจจากการได้พูดคุยเบื้องต้นถึงกระบวนการรักษาในขั้นตอนต่าง ๆ การเผชิญกับปัญหาและการแก้ไข เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา คุณแป้งพบว่าเธอมีปัญหาผนังมดลูกที่บางกว่าปกติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีบุตร ทีมแพทย์จึงวางแผนการรักษาโดยการให้ยาบำรุงผนังมดลูกเป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อนที่จะเริ่มกระบวนการ ICSI ในระหว่างช่วงเวลา 3 เดือน ทีมแพทย์มีการปรับเปลี่ยนสูตรยาและเพิ่มยาตามความเหมาะสม จนกระทั่งผนังมดลูกมีความหนาเพียงพอและพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ประสบการณ์การดูแลที่น่าประทับใจ สิ่งที่ทำให้คุณแป้งประทับใจอย่างลึกซึ้งคือการดูแลแบบองค์รวมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องตรวจ...
มีลูกยากแบบไม่ทราบสาเหตุ ? เจาะแนวทางรักษาเพื่อวางแผนอนาคต
เมื่อคู่รักพยายามมีลูกแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ตรวจร่างกายครบถ้วนแต่ไม่พบความผิดปกติใด ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณของ “ภาวะมีลูกยากที่ไม่ทราบสาเหตุ” หรือ Unexplained Infertility ซึ่งแม้คำว่าไม่ทราบสาเหตุ จะฟังดูน่าเป็นกังวล แต่ในความเป็นจริง มีคู่รักถึง 10-30% ที่กำลังเผชิญกับภาวะนี้อยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังเกิดปัญหา แต่อาจเป็นเพราะมีปัจจัยบางอย่างที่การตรวจวินิจฉัยทั่วไปไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด สิ่งสำคัญคือ คู่รักไม่ควรโทษตนเอง เพราะปัจจุบัน ภาวะการมีบุตรยากสามารถรักษาได้ในหลากหลายแนวทาง ทั้งยังเป็นวิธีแก้ไขที่สามารถเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุเบื้องหลัง Unexplained Infertility เกิดได้จากอะไรบ้าง ? ถึงแม้จะ “ไม่มีเหตุผลชัดเจน” แต่จากการวิจัยและประสบการณ์ทางคลินิกพบว่า ภาวะนี้อาจเกิดจากปัจจัยที่ตรวจพบได้ยาก เช่น คุณภาพไข่ หรืออสุจิ ที่ดูเหมือนปกติ แต่มีปัญหาในระดับโมเลกุล ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมน FSH, LH หรือ Prolactin ที่มีผลต่อการตกไข่และการฝังตัว ท่อนำไข่ทำงานผิดปกติ หรือการเคลื่อนไหวของอสุจิภายในโพรงมดลูก ผิวภายในโพรงมดลูก (Endometrium) ที่ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของตัวอ่อน ความผิดปกติระดับโมเลกุล ที่เกี่ยวข้องกับการฝังตัวของไข่ในผนังมดลูก การตรวจวินิจฉัยเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุในเชิงลึก ในกรณีที่คู่สมรสพยายามตั้งครรภ์ติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง (6-12 เดือน) และยังไม่สำเร็จ อีกทั้งผลการตรวจสุขภาพเบื้องต้นของทั้งสองฝ่ายไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน แพทย์จะพิจารณาทำการตรวจเพิ่มเติมในเชิงลึก เพื่อประเมินสาเหตุแฝงที่ทำให้มีลูกยาก ซึ่งอาจไม่สามารถตรวจพบได้ในระดับทั่วไป 1. การวิเคราะห์น้ำเชื้อ (Semen Analysis) เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้ประเมินคุณภาพของอสุจิจากฝ่ายชาย โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณน้ำเชื้อ (Volume) ความเข้มข้นของอสุจิ (Sperm concentration) การเคลื่อนไหวของอสุจิ (Motility) รูปร่างของอสุจิ (Morphology) ความเป็นกรด-ด่าง (pH)...
ความเครียดและการนอนดึก มีผลต่อการมีบุตรยากจริงหรือไม่ ?
หลายคู่รักที่พยายามมีลูกมักมุ่งเน้นไปที่การดูแลร่างกายหรือรอบเดือนให้เป็นไปอย่างปกติ แต่กลับมองข้ามปัจจัยสำคัญบางประการที่อาจเป็นอุปสรรคในการตั้งครรภ์ เช่น ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งทั้งสองปัจจัยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาวะมีบุตรยาก เพราะความเครียดที่สะสมสามารถไปรบกวนสมดุลของฮอร์โมนสืบพันธุ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตกไข่ การฝังตัวของตัวอ่อน และคุณภาพของอสุจิ ในขณะเดียวกัน การนอนดึกเป็นประจำยังจะทำให้ระบบนาฬิกาชีวิตแปรปรวน ทำให้ส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนที่สำคัญ เช่น LH, FSH, และ โปรเจสเตอโรน ซึ่งล้วนเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น หากคุณกำลังวางแผนมีลูก การกลับมาทบทวนพฤติกรรมการพักผ่อนและการจัดการอารมณ์ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น ทำไมความเครียดถึงเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยาก ? ความเครียดไม่ได้ส่งผลเพียงด้านจิตใจ แต่ยังมีผลกระทบต่อร่างกายในหลายระดับ โดยเฉพาะกับระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ซึ่งควบคุมการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ รวมถึงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) : ฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมหมวกไตเมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด GnRH, LH, และ FSH : ฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่ในผู้หญิงและการผลิตอสุจิในผู้ชาย เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียดเรื้อรัง ระดับคอร์ติซอลจะสูงตลอดเวลา ส่งผลให้การหลั่งของ GnRH (Gonadotropin-releasing hormone) ถูกยับยั้ง ซึ่งจะทำให้วงจรการตกไข่ของผู้หญิงแปรปรวน และลดการผลิตอสุจิในผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ความเครียดอาจไม่ใช่สาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยากในทุกกรณี แต่ถือเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมและจัดการได้ ถ้าหากปล่อยให้ความเครียดเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลให้ภาวะเจริญพันธุ์แย่ลงได้ นอนดึก - นอนไม่พอ ส่งผลต่อการมีลูกยากอย่างไร ? การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการนอนดึกเป็นปัญหาที่หลายคนมักมองข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีผลกระทบโดยตรงต่อการมีลูกยาก ดังนี้ 1. คุณภาพการนอนมีผลต่อวงจรฮอร์โมนการเจริญพันธุ์ หลายคนอาจคิดว่าเพียงแค่นอนครบ 6-7 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว แต่จริง ๆ แล้ว "คุณภาพการนอน" และ "การนอนที่สม่ำเสมอ" มีผลโดยตรงต่อการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ เช่น LH,...
เรื่องควรรู้ กินวิตามินบำรุง เตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์
คู่แต่งงานที่กำลังวางแผนครอบครัว และต้องการมีลูกน้อยมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ การเตรียมความพร้อมของร่างกายนับว่ามีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการได้รับโภชนาการที่ครบถ้วน เนื่องจากสารอาหารที่จำเป็นจะช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ได้ แต่นอกจากการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมแล้ว การเสริมด้วยวิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ พร้อมกับช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์อีกด้วย ทำไมจึงควรกินวิตามินเตรียมตั้งครรภ์ ? เนื่องจากการกินอาหารในชีวิตประจำวัน สารอาหารที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อการตั้งครรภ์ แต่การกินวิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ จะช่วยเสริมให้ร่างกายมีความพร้อมต่อการตั้งครรภ์มากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ สร้างพื้นฐานร่างกายที่แข็งแกร่งสำหรับทารก ในช่วง 3-4 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ทารกจะมีการสร้างและพัฒนาอวัยวะที่สำคัญที่สุด เช่น สมองและไขสันหลังอย่างรวดเร็ว หากร่างกายคุณแม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติแต่กำเนิดได้ การได้รับวิตามินที่เพียงพอตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตของทารกมีความสมบูรณ์ เพิ่มคุณภาพของไข่และการฝังตัวอ่อน วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดมีส่วนช่วยในการทำงานของฮอร์โมนเพศและส่งเสริมการสร้างไข่ที่มีคุณภาพดี รวมถึงเตรียมความพร้อมของมดลูกให้เหมาะสมกับการฝังตัวอ่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ สะสมสารอาหารเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เมื่อเกิดการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่จะมีความต้องการสารอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อหล่อเลี้ยงทั้งตัวคุณแม่เองและทารกที่กำลังเจริญเติบโต การสะสมวิตามินและแร่ธาตุล่วงหน้าจึงเป็นการสร้าง "คลังสารอาหาร" ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ร่างกายมีพร้อมใช้อย่างเพียงพอตลอดการตั้งครรภ์ ลดความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารของคุณแม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง วิตามินบางชนิด เช่น โฟลิก มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะท่อประสาทไม่ปิดในทารก ซึ่งเป็นความผิดปกติรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ ควรกินวิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ล่วงหน้านานเท่าไร ? สำหรับวิตามินเตรียมตั้งครรภ์ ควรกินล่วงหน้าอย่างน้อย 1-3 เดือนก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาเพียงพอในการดูดซึม สะสม และปรับระดับสารอาหารต่าง ๆ ให้พร้อมที่สุดสำหรับกระบวนการตั้งครรภ์ที่กำลังจะมาถึง และต่อเนื่องไปในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้คุณแม่ยังควรได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอและเหมาะสมไปตลอดการตั้งครรภ์อีกด้วย วิตามินบำรุง ที่ควรกินเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ วิตามินบำรุงก่อนตั้งครรภ์ที่จำเป็นต่อการเตรียมความพร้อมของร่างกายมีหลายชนิด โดยสารอาหารที่ควรกินเป็นหลักมีดังต่อไปนี้ กรดโฟลิก ควรรับประทาน 400-800 ไมโครกรัมต่อวัน เป็นวิตามินที่สำคัญที่สุดในการเตรียมตัวตั้งครรภ์ เพื่อช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาท และสนับสนุนการสร้างดีเอ็นเอ...