เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิง

ฝุ่น PM 2.5 กับการตั้งครรภ์: เข้าใจผลกระทบและแนวทางรับมือ

มลพิษฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิงอย่างไร พร้อมวิธีป้องกันและรับมือเพื่อวางแผนตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม และมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งแม่และลูก...

คุณแม่ทาสกินแคร์โดยหลีกเลี่ยงครีมที่คนท้องห้ามใช้

รู้จักสารอันตรายในครีมที่คนท้องห้ามใช้ เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

คนท้องห้ามใช้ครีมอะไร ? เช็กลิสต์สารอันตรายในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ พร้อมคำแนะนำการดูแลผิวที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่...

น้ำมันปลา (Fish Oil) คือแหล่งโอเมก้า 3 ที่มี EPA และ DHA ที่มีประโยชน์ต่อคนท้อง

น้ำมันปลาและ DHA สารอาหารสำคัญสำหรับคนท้องและเตรียมตั้งครรภ์

ทำไม DHA จึงสำคัญสำหรับคนท้อง ? พบประโยชน์ของน้ำมันปลาที่มีผลต่อพัฒนาการสมองของทารก ไปรู้ถึงปริมาณที่แนะนำ และแหล่งอาหารที่อุดมด้วย DHA...

แพทย์ตรวจสุขภาพผู้หญิงเพื่อการเตรียมตัวตั้งครรภ์

การเตรียมตัวตั้งครรภ์และแนวทางดูแลสุขภาพเพื่อลูกน้อย

วางแผนเตรียมตั้งครรภ์อย่างมั่นใจ ด้วยเคล็ดลับดูแลสุขภาพก่อนมีเจ้าตัวน้อย ทั้งการตรวจร่างกาย การออกกำลังกาย และการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน...

แพทย์กำลังอธิบายให้คนไข้ฟังว่ารังไข่มีหน้าที่อะไรบ้าง

อยากท้องต้องเข้าใจ รังไข่ผิดปกติ ส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

หากกล่าวถึงอวัยวะสำคัญของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ย่อมต้องนึกถึง ‘รังไข่’ ซึ่งทำหน้าที่ผลิตไข่และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ หากรังไข่ทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้มีบุตรยากหรือเกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ รวมถึงรู้ทันความผิดปกติที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว การรู้วิธีสังเกตความผิดปกติของรังไข่ จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนไม่ควรมองข้าม ลักษณะ ความหมาย และหน้าที่ของรังไข่ รังไข่ หรือ Ovary คือ อวัยวะสำคัญของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ทำหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่ (Oocyte) และสร้างฮอร์โมนเพศที่ควบคุมการมีประจำเดือนและการตั้งครรภ์ รังไข่มีบทบาทสำคัญในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง โดยเกี่ยวข้องกับกระบวนการตกไข่และการควบคุมฮอร์โมนเพศหญิง เช่น เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งมีผลโดยตรงต่อรอบประจำเดือน รวมถึงการเตรียมมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์ และลักษณะทางกายภาพของเพศหญิงด้วย สำหรับลักษณะทางกายภาพของรังไข่นั้น เป็นอวัยวะรูปไข่ขนาดเล็ก ตั้งอยู่บริเวณสองข้างของมดลูก ภายในอุ้งเชิงกราน รังไข่แต่ละข้างมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 3-5 เซนติเมตร ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงวัยและภาวะของร่างกาย หน้าที่ของรังไข่ ทำหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่ โดยผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์จะมีเซลล์ไข่ประมาณ 300,000 ฟอง ซึ่งไข่จะถูกกระตุ้นให้เจริญเติบโตและตกไข่เดือนละ 1 ฟอง หากไข่ได้รับการปฏิสนธิ จะเกิดการตั้งครรภ์ แต่หากไม่ถูกปฏิสนธิ ไข่จะสลายตัวและถูกขับออกมาพร้อมประจำเดือน รังไข่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญ ได้แก่ เอสโตรเจน (Estrogen) : ฮอร์โมนควบคุมการพัฒนาและเจริญเติบโตของลักษณะทางกายภาพของเพศหญิง โปรเจสเตอโรน (Progesterone) : มีบทบาทสำคัญในการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน   วิธีสังเกตความผิดปกติของรังไข่ จากที่กล่าวไปข้างต้น แสดงให้เห็นว่ารังไข่เป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญต่อเพศหญิงและระบบสืบพันธุ์ หากรังไข่ทำงานผิดปกติ จึงอาจส่งผลต่อรอบเดือน ความสมดุลของฮอร์โมน และสุขภาพโดยรวม โดยคุณสามารถสังเกตความผิดปกติเบื้องต้นได้จากอาการเหล่านี้ 1. ประจำเดือนมาผิดปกติ รอบเดือนที่ผิดปกติเป็นหนึ่งในสัญญาณหลักที่บ่งบอกถึงภาวะผิดปกติของรังไข่ ผู้หญิงที่รังไข่ทำงานผิดปกติมักมีรอบเดือนที่มาไม่สม่ำเสมอ เช่น มาเร็วกว่าปกติ...

ผู้หญิงมีความกังวลว่าหากเป็นโรคซึมเศร้าแล้วจะมีลูกได้ไหม

โรคซึมเศร้ามีลูกได้ไหม ถ้าอยากมีลูกต้องเตรียมตัวอย่างไร?

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของผู้หญิงทุกคน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า อาจเกิดความกังวลว่า "หากเป็นโรคซึมเศร้าแล้วจะมีลูกได้ไหม ?" หรือจะเกิดผลกระทบใดต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกที่เกิดมาบ้าง หากคุณกำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้าและต้องการมีบุตร บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้ากับการตั้งครรภ์ รวมถึงวิธีการเตรียมตัวเพื่อให้คุณแม่และลูกน้อยปลอดภัย โรคซึมเศร้าคืออะไร? เข้าใจความรุนแรงของโรค โรคซึมเศร้าเป็นภาวะผิดปกติทางอารมณ์ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของผู้ป่วย อาการของโรคอาจรวมถึงความเศร้าอย่างต่อเนื่อง ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ รู้สึกหมดหวัง และในบางรายอาจมีความคิดหรือพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเอง อาการที่เสี่ยงโรคซึมเศร้า รู้สึกเศร้าหมองอย่างต่อเนื่อง เกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน หมดความสนใจ หรือไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ นอนหลับผิดปกติ เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป เบื่ออาหารหรือกินมากผิดปกติ น้ำหนักเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง แม้ว่าจะไม่ได้ออกแรงมาก รู้สึกไร้ค่า โทษตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวซ้ำ ๆ มีปัญหาด้านสมาธิ เช่น คิดอะไรไม่ออก ตัดสินใจช้า มีความคิดทำร้ายตัวเอง หรืออยากจบชีวิต รู้สึกกระวนกระวาย หรือเฉื่อยชา มากกว่าปกติ   เป็นโรคซึมเศร้ามีลูกได้ไหม? ผลกระทบของโรคต่อการตั้งครรภ์ ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าสามารถมีลูกได้ แต่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เฉพาะทางตลอดกระบวนการตั้งครรภ์ (ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการตั้งครรภ์) โรคซึมเศร้าส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์อย่างไร? โรคซึมเศร้าอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในหลายด้านดังนี้ ผลต่อฮอร์โมน : ภาวะซึมเศร้าอาจส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนไม่สมดุล  ในผู้หญิง : รอบเดือนอาจผิดปกติ หรือมีปัญหาในการตกไข่ ในผู้ชาย : คุณภาพของอสุจิลดลง ผลต่อพฤติกรรม : ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าอาจมีพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล หรือขาดการออกกำลังกาย ผลจากยารักษา : ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าอาจมีผลต่อทารกในครรภ์...

การตรวจสเปิร์ม เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงภาวะเจริญพันธุ์

วางแผนมีบุตร อย่าละเลยการตรวจอสุจิ เพื่อประเมินคุณภาพ

ปัญหาการมีบุตรยาก สาเหตุของปัญหาสามารถเกิดได้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย โดยในกรณีของฝ่ายชาย หนึ่งในการตรวจเพื่อให้รู้ถึงสาเหตุที่ชัดเจนคือ การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ หรือที่หลายคนเรียกว่าการตรวจสเปิร์ม เพื่อประเมินคุณภาพและปริมาณของอสุจิ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการตั้งครรภ์และการเจริญพันธุ์ การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิคืออะไร? การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ (Semen Analysis) เป็นการตรวจสเปิร์มในห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินคุณสมบัติของน้ำอสุจิที่ได้จากการหลั่ง ซึ่งจะตรวจสอบในหลายปัจจัย เช่น ปริมาณ ความหนืด การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ รูปร่างของอสุจิ และค่า pH เพื่อให้ทราบถึงภาวะเจริญพันธุ์ว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ โดยผลตรวจสามารถใช้วางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยากได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ 1. การเตรียมตัวก่อนตรวจ การเตรียมตัวก่อนการตรวจอสุจิคือขั้นตอนแรก เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำและเป็นประโยชน์ที่สุด ซึ่งการเตรียมตัวที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการหลั่งน้ำอสุจิในระยะเวลาอย่างน้อย 2-3 วัน ก่อนการเก็บตัวอย่าง แต่ไม่ควรเกิน 7 วัน เพื่อให้ปริมาณน้ำอสุจิที่เก็บได้มีความเข้มข้นสูง ซึ่งจะทำให้การตรวจคัดกรองน้ำอสุจิมีความแม่นยำมากขึ้น 2. การเก็บตัวอย่าง การเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิมักทำในห้องปฏิบัติการที่มีความเป็นส่วนตัวและเหมาะสมสำหรับการเก็บตัวอย่างในสภาวะแวดล้อมที่ควบคุมได้ เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่ถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งหากฝ่ายชายไม่สามารถเก็บอสุจิได้ด้วยวิธีธรรมชาติ แพทย์จะพิจารณาการเก็บอสุจิจากลูกอัณฑะด้วยการผ่าตัด (Surgical Sperm Retrieval : SSR) ซึ่งเป็นการใช้เข็มดูดที่บริเวณท่อนำอสุจิส่วนต้นหรืออัณฑะ โดยอาจมีการเปิดแผลขนาดเล็ก ร่วมกับการใช้กล้องจุลทรรศน์ซึ่งแล้วแต่กรณี 3. การวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ หลังจากเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิแล้ว ตัวอย่างจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการตรวจวิเคราะห์ เพื่อประเมินคุณภาพของน้ำอสุจิและวินิจฉัยภาวะการมีบุตรยากในผู้ชาย การแปลผลการตรวจอสุจิ การแปลผลจากการตรวจอสุจิ มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยจะพิจารณาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิสนธิและความสามารถในการตั้งครรภ์ ดังนี้ ปริมาณน้ำอสุจิ (Volume): เป็นการประเมินปริมาณของน้ำอสุจิที่หลั่งออกมา โดยปริมาณอสุจิปกติที่เหมาะสม คือประมาณ 1.5 มิลลิลิตรขึ้นไป ความเข้มข้นของอสุจิ (Concentration): เป็นการตรวจวัดจำนวนตัวอสุจิที่มีอยู่ในน้ำอสุจิ ซึ่งควรมีอัตราที่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านตัวอสุจิต่อมิลลิลิตร การเคลื่อนไหวของอสุจิ (Motility): อสุจิที่เคลื่อนไหวได้ดีจะสามารถเข้าไปถึงไข่และปฏิสนธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องการตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวได้ดีอย่างน้อย 40% ของทั้งหมด ...

แพทย์กำลังให้คำแนะนำว่าคนท้องควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไหม

ก่อนท้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง? 8 วัคซีนจำเป็นของหญิงตั้งครรภ์

การวางแผนตั้งครรภ์อย่างรอบคอบ ไม่ได้มีแค่การดูแลเรื่องอาหารการกินหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ “การฉีดวัคซีน” เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันให้คุณแม่และลูกน้อยห่างไกลจากโรคร้าย อีกทั้งวัคซีนบางชนิดยังสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในระหว่างการตั้งครรภ์ รวมถึงลดความเสี่ยงที่ทารกจะมีความผิดปกติแต่กำเนิดได้อีกด้วย การเตรียมความพร้อมด้วยการฉีดวัคซีนก่อนหรือระหว่างตั้งครรภ์ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยส่งต่อสุขภาพดีจากแม่สู่ลูก วัคซีนที่ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์ ก่อนท้องต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ?  ถือเป็นคำถามยอดนิยมที่คู่สามีภรรยาส่วนใหญ่สงสัย เพราะการเตรียมร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ คือหัวใจสำคัญในการเตรียมพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ อีกทั้งคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง ย่อมมีโอกาสให้กำเนิดทารกที่สมบูรณ์ตามไปด้วย ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้น ก่อนตั้งครรภ์ ฝ่ายหญิงควรฉีดวัคซีนเหล่านี้ให้ครบ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา 1. วัคซีนป้องกันหัด คางทูม หัดเยอรมัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัคซีน MMR ฉีดเพียง 1 เข็ม แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้ถึง 3 ชนิด ได้แก่ หัด (Measles), คางทูม (Mumps) และหัดเยอรมัน (Rubella) ซึ่งการติดเชื้อหัดเยอรมันในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสแรก มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ทารกเกิดภาวะพิการแต่กำเนิด เช่น ความผิดปกติของหัวใจ สมอง ตา และหู รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะแท้ง จึงควรได้รับวัคซีนชนิดนี้ก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน 2. วัคซีนโรคอีสุกอีใส วัคซีนโรคอีสุกอีใสต้องฉีด 2 เข็มและฉีดห่างกัน 1 เดือน ถือเป็นอีกหนึ่งวัคซีนที่สำคัญสำหรับผู้ที่เตรียมตัวตั้งครรภ์ เพราะการติดเชื้ออีสุกอีใสระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้าย มีความเสี่ยงทำให้ทารกเกิดกลุ่มอาการ Congenital Varicella Syndrome ซึ่งอาจก่อให้เกิดความพิการ เช่น แขนขาหดสั้น ผิวหนังเป็นแผลผิดปกติ จอประสาทตาอักเสบ ตาบอดสี และปัญหาพัฒนาการทางสมอง...

คู่แต่งงานเช็กฤกษ์คลอดปี 2569

เคล็ดลับวางแผนตั้งครรภ์ทันปีมะเมีย พร้อมฤกษ์คลอดเสริมดวง

สำหรับคู่แต่งงานที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการทำ ICSI โดยต้องการตั้งครรภ์ให้สำเร็จ และมีฤกษ์คลอดภายในปี 2569 เรามีกรอบระยะเวลา เพื่อช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนในขั้นตอนต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม พร้อมกำหนดการคลอดที่ช่วยเสริมดวงและสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ลูกน้อยมาแนะนำกัน กรอบระยะเวลาที่ควรรู้ หากต้องการคลอดลูกในปีมะเมีย 2569 การตั้งครรภ์โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 38-40 สัปดาห์ หรือราว 9 เดือน ดังนั้นการวางแผนล่วงหน้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคู่สมรสที่เลือกใช้เทคนิค ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ต้องผ่านหลายขั้นตอน ซึ่งมีกรอบเวลาแนะนำ ดังนี้ มี.ค. - ก.ค. 2568 เริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ โดยจะเป็นขั้นตอนการตรวจสุขภาพทั่วไปและประเมินภาวะการเจริญพันธุ์ รวมทั้งดูถึงฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อวางแผนการทำ ICSI หรือ IVF ที่เหมาะสม ก.ค. - ก.ย. 2568 ในช่วงเวลานี้จะเริ่มกระบวนการกระตุ้นไข่ เพื่อให้ได้ไข่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ และมีจำนวนพอเพียง หลังจากนั้นจะทำการเก็บไข่ในช่วงเวลาที่ร่างกายของฝ่ายหญิงมีความพร้อมที่สุด รวมถึงเก็บอสุจิจากฝ่ายชาย เพื่อใช้ในกระบวนการทำ IVF หรือ ICSI ต่อไป ก.ย. - พ.ย. 2568 เมื่อตัวอ่อนที่ได้จากการผสมไข่และอสุจิในห้องปฏิบัติการ เจริญเติบโตตามระยะเวลาที่เหมาะสม จะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก (Embryo Transfer) โดยจะตั้งเป้าหมายให้การตั้งครรภ์เกิดขึ้นภายในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งจะทำให้คลอดทันฤกษ์ดีในปี 2569 สำหรับผู้ที่ต้องการให้ลูกเกิดใน ปีมะเมีย (ตามปฏิทินจีน โดยประมาณช่วง 17 กุมภาพันธ์ 2569 – กุมภาพันธ์...

ผู้หญิงป่วยเป็นโรคพุ่มพวงมีอาการกังวลเรื่องการตั้งครรภ์

เป็นโรคพุ่มพวง (SLE) ส่งผลต่อโอกาสการตั้งครรภ์ไหม?

โรคพุ่มพวง (SLE) คือโรคภูมิแพ้ตัวเองที่ส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย ซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพุ่มพวง อาจกังวลว่าโรคนี้จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์และอาจทำให้ลูกน้อยที่เกิดมาไม่แข็งแรงไปด้วย  แต่ความจริงแล้ว แม้โรคพุ่มพวงจะเพิ่มความเสี่ยงบางประการระหว่างการตั้งครรภ์ แต่หากมีการวางแผนที่ดี ควบคู่ไปกับการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยโรคพุ่มพวงส่วนใหญ่ก็สามารถตั้งครรภ์และมีบุตรที่แข็งแรงได้ โรคพุ่มพวงคืออะไร? โรคพุ่มพวง หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Systemic Lupus Erythematosus (SLE) เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองชนิดหนึ่ง ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันปกติจะทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้กลับโจมตีเนื้อเยื่อของตนเอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบและความเสียหายในระบบอวัยวะ อาทิ ผิวหนัง ข้อต่อ ไต หัวใจ และระบบประสาท สาเหตุของการเกิดโรคพุ่มพวง ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีการคาดการณ์กันว่า เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมน (โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง) และสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดดหรือการติดเชื้อบางชนิด ที่อาจมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นทำให้เกิดโรค สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่พบได้บ่อย ได้แก่ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์อายุระหว่าง 15-45 ปี ซึ่งพบโรคนี้ได้บ่อยกว่าผู้ชายหลายเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดอื่น เช่น โรครูมาตอยด์ หรือโรคสะเก็ดเงิน โรคพุ่มพวงมีลักษณะเฉพาะ คือสามารถส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกายพร้อมกัน และมีรูปแบบของอาการที่หลากหลาย ทำให้การวินิจฉัยต้องอาศัยการประเมินทางคลินิกและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกัน โรคพุ่มพวง มีอาการอย่างไร? อาการทางผิวหนัง เช่น มีผื่นแดงรูปปีกผีเสื้อบริเวณแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของโรคนี้ อาการทางระบบข้อและกล้ามเนื้อ เช่น ปวดข้อ ข้อบวม หรือข้อติดขัดโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายถาวรที่ข้อ อาการที่เกิดจากผลกระทบต่อระบบอวัยวะภายใน ได้แก่ ไตอักเสบ (Lupus Nephritis) ที่อาจนำไปสู่ภาวะไตวาย หัวใจอักเสบ และปอดอักเสบ อาการทางระบบเลือดและภูมิคุ้มกัน เช่น ภาวะโลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด เนื้อเยื่อหรือเส้นเลือดเกิดการหดตัวเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็น ปัจจัยกระตุ้นการกำเริบของโรค ...