เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

โรคอะไรมีลูกไม่ได้ คู่แต่งงานสงสัยและต้องการปรึกษาแพทย์

โรคอะไรบ้างที่ทำให้มีลูกยากหรือมีไม่ได้?

“โรคอะไรมีลูกไม่ได้” มักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ (เช่น PCOS, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, เนื้องอกมดลูก), คุณภาพสเปิร์มที่ลดลงในผู้ชาย (เช่น varicocele, ฮอร์โมนเพศต่ำ, การติดเชื้อเรื้อรัง), และโรคเรื้อรังที่รบกวนฮอร์โมน/การไหลเวียน (เช่น ไทรอยด์ เบาหวาน โรคไต/ตับ โรคภูมิคุ้มกัน อ้วน) รวมถึงผลข้างเคียงของยาบางชนิด (คีโม ยาบางกลุ่ม) แนวทางคือประเมินสุขภาพ ฮอร์โมน และโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ พร้อมวางแผนรักษาเฉพาะบุคคล และพิจารณาเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ (IUI/ICSI) เมื่อต้องการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย การมีบุตรเป็นความฝันของคู่รักหลาย ๆ คู่ ที่ต้องการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ในความเป็นจริง คู่รักอีกหลาย ๆ คู่กลับต้องเจอกับอุปสรรคจากปัญหาสุขภาพบางประการที่ส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ บทความนี้จะพาไปสำรวจกันว่ามีโรคอะไรบ้างที่ทำให้มีลูกยาก หรือส่งผลกระทบจนมีลูกไม่ได้ เพื่อให้คู่รักสามารถวางแผนการใช้ชีวิตในอนาคต สาเหตุที่ทำให้อาการป่วย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระทบต่อการตั้งครรภ์ การมีบุตรเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายระบบในร่างกาย เมื่อมีโรคหรือภาวะผิดปกติเกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญพันธุ์และกลายเป็นอุปสรรคต่อการมีบุตรในที่สุด อีกทั้งยังสามารถเกิดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย การเข้าใจถึงสาเหตุคือสิ่งที่คู่รักต้องทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน เพื่อให้เห็นถึงแนวทางการรักษาและการดูแลตนเองในขั้นตอนต่อไป   ปัจจัยทางร่างกายและฮอร์โมน ความไม่สมดุลของฮอร์โมนถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่ เช่น ฮอร์โมน FSH, LH, และโปรเจสเตอโรน หากไม่สมดุลจะส่งผลให้ไข่ไม่ตกสม่ำเสมอ หรือบางรอบเดือนไม่มีไข่ตกเลย ทำให้โอกาสในการปฏิสนธิลดลง ปัจจัยทางสุขภาพ อาการป่วยเรื้อรัง หากถามว่ามีโรคอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุทำให้มีลูกไม่ได้ ? โรคเรื้อรังบางชนิดอย่าง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ หรือโรคเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ ถือเป็นตัวการสำคัญ เนื่องจากภาวะของอาการจะส่งผลกระทบต่อร่างกายค่อนข้างมาก จนทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะที่ไม่พร้อมต่อการตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ การทำงานของฮอร์โมนที่ไม่สมบูรณ์จากโรคเหล่านี้ยังจะส่งผลต่อคุณภาพของไข่และสเปิร์มอีกด้วย นอกจากนี้ ผลข้างเคียงของยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาคีโม...

ผู้หญิงมีข้อสงสัยว่า “เป็นโรคไตมีลูกได้ไหม?

เป็นโรคไตมีลูกได้ไหม? สิ่งที่ควรรู้ก่อนการตั้งครรภ์

สำหรับผู้ป่วยโรคไต หลายคนอาจสงสัยว่า “เป็นโรคไตมีลูกได้ไหม ?” คำตอบคือ สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่จำเป็นต้องวางแผนและดูแลอย่างใกล้ชิดกับแพทย์เฉพาะทาง เพราะการตั้งครรภ์จะเพิ่มภาระให้ไตและระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความเสี่ยงต่อมารดาและทารกสูงกว่าปกติ การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโรคไตกับการตั้งครรภ์ ระดับความรุนแรงของโรคไต และการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์ปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไตกับภาวะการตั้งครรภ์ ไตมีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียและรักษาสมดุลของเหลวและเกลือแร่ในร่างกาย ในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายของผู้หญิงจะมีการปรับตัวหลายด้านเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารก เช่น ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นและอัตราการกรองของไต (GFR) ที่ปกติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40-50% ในไตรมาสแรกและที่สอง หากไตทำงานผิดปกติอยู่แล้ว การตั้งครรภ์จะเพิ่มภาระให้ไตมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) และอาจส่งผลต่อทารก ทำให้คลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักตัวน้อย ระดับความรุนแรงของโรคไตและความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์  สำหรับผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคไตมีลูกได้ไหม การประเมินระยะของโรคไต (CKD stage) ก่อนตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมเล็กน้อย CKD ระยะ 1-2, ความดันโลหิตและปัสสาวะปกติ หากค่าการทำงานของไตยังดีและไม่มีภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีมากเช่นกัน แต่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อตรวจติดตามการทำงานของไตและควบคุมความดันโลหิตให้คงที่ ผู้ที่มี CKD ระยะ 3-5 หรือไตวาย การตั้งครรภ์ในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงมากต่อทั้งมารดาและทารก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ (Preeclampsia) รวมถึงภาวะทารกตัวเล็ก คลอดก่อนกำหนด และไตอาจเสื่อมเร็วจนต้องเริ่มฟอกไตระหว่างตั้งครรภ์ การประเมินระยะของโรคไตก่อนตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก เพื่อวางแผนและลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด นัดหมายพูดคุยกับสูตินรีแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการตั้งครรภ์   ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากตั้งครรภ์ขณะมีโรคไต  การตั้งครรภ์ในผู้ป่วยโรคไตอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อมารดาและทารก ซึ่งจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือ ความเสี่ยงต่อมารดา การตั้งครรภ์จะเพิ่มภาระต่อไตโดยตรง ผู้ป่วยโรคไตอาจประสบปัญหาดังนี้ ไตเสื่อมเร็วขึ้น : เนื่องจากการตั้งครรภ์จะไปเพิ่มภาระการทำงานของไต หากไตมีปัญหาอยู่แล้ว อาจเสื่อมเร็วกว่าปกติ ความดันโลหิตสูง : อาจต้องควบคุมด้วยยาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ปรี-อีแคลมป์เซีย (Preeclampsia) : ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เกิดจากความดันโลหิตสูงและความผิดปกติของอวัยวะ เช่น ไต ตับ และสมอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก ต้องฟอกไตระหว่างตั้งครรภ์...

ผู้หญิงกำลังสงสัยว่าขูดมดลูกแล้วมีลูกได้ไหม

ขูดมดลูกแล้วมีลูกได้ไหม นานแค่ไหนถึงตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย

ขูดมดลูก (D&C) เป็นหัตถการที่ใช้ทั้งวินิจฉัยและรักษา เช่น ภาวะแท้งค้างหรือเลือดออกผิดปกติ ส่วนใหญ่ “ยังสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ” เมื่อมดลูกฟื้นตัวและไม่มีภาวะแทรกซ้อน โดยมักเว้น 1–3 รอบเดือนก่อนเริ่มพยายามตั้งครรภ์อีกครั้ง ความเสี่ยงที่อาจกระทบโอกาสตั้งครรภ์ได้แก่ พังผืดในโพรงมดลูก (Asherman’s syndrome) และเยื่อบุโพรงมดลูกบาง การติดตามอาการ ตรวจอัลตราซาวนด์ ประเมินฮอร์โมน และปรึกษาแพทย์เป็นขั้นตอนสำคัญ หากมีแนวโน้มมีบุตรยาก อาจพิจารณา IUI, IVF/ICSI หรือผ่าตัดแก้พังผืดตามดุลยพินิจแพทย์ การขูดมดลูก เป็นหัตถการทางสูตินรีเวชที่แพทย์ใช้ทั้งเพื่อการวินิจฉัยและรักษาในหลายกรณี เช่น ภาวะแท้งค้าง หรือ การตรวจหาความผิดปกติภายในโพรงมดลูก ซึ่งถึงแม้จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาในมดลูก แต่ผู้หญิงหลายคนอาจรู้สึกกังวลว่า หัตถการนี้จะส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ในอนาคตหรือไม่ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการขูดมดลูก ตั้งแต่สาเหตุ ขั้นตอน ไปจนถึงโอกาสการมีลูกหลังการฟื้นตัว พร้อมคำแนะนำจากมุมมองทางการแพทย์ว่าขูดมดลูกแล้วมีลูกได้ไหม เพื่อให้คุณมั่นใจ และวางแผนการตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย การขูดมดลูก คืออะไร ? การขูดมดลูก (D&C: Dilatation and Curettage) คือ หัตถการทางสูตินรีเวชที่แพทย์ใช้สำหรับวินิจฉัยหรือรักษาความผิดปกติภายในโพรงมดลูก โดยแพทย์จะขยายปากมดลูกและใช้เครื่องมือเฉพาะในการขูดหรือดูดเยื่อบุโพรงมดลูกออกผ่านทางช่องคลอด ซึ่งกระบวนการนี้สามารถช่วยจัดการกับภาวะต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ภาวะแท้งค้าง การมีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน หรือ การนำชิ้นเนื้อจากโพรงมดลูกไปตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อหาสาเหตุของอาการผิดปกติ หรือคัดกรองโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก การขูดมดลูกถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัย เมื่อทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมักทำร่วมกับการให้ยาระงับความรู้สึก เพื่อลดความกังวลให้แก่ผู้ป่วยขณะทำหัตถการ อย่างไรก็ตาม หลังจากการขูดมดลูก ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และเข้ารับการติดตามอาการตามนัด เพื่อประเมินสุขภาพของมดลูก และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว สาเหตุที่ต้องขูดมดลูก หัตถการนี้อาจใช้เพื่อการรักษา หรือ...

ผู้หญิงรับคำปรึกษาจากแพทย์ในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน JCI และ CCPC คือหัวใจในการให้บริการ

มาตรฐาน JCI และ CCPC คืออะไร ทำไม VFC Center ถึงให้ความสำคัญ

มาตรฐาน JCI (Joint Commission International) คือระบบประเมินและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลระดับสากลที่เน้น “ความปลอดภัยของผู้ป่วย” ครอบคลุมการดูแลรักษา ระบบบริหารคุณภาพ บุคลากร และสภาพแวดล้อม ส่วน CCPC (Clinical Care Program Certification) คือการรับรอง “โปรแกรมการรักษาเฉพาะด้าน” เช่น ภาวะมีบุตรยาก ยืนยันว่ากระบวนการดูแลเป็นไปตามแนวทางคลินิกและให้ผลลัพธ์ที่วัดได้ โรงพยาบาลที่ผ่าน JCI/CCPC จึงน่าเชื่อถือ ปลอดภัย และเป็นที่ยอมรับในนานาชาติ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ VFC Center ให้ความสำคัญและยึดถือในการดูแลผู้ป่วย ในยุคที่การแพทย์และการดูแลสุขภาพมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว คนไข้ย่อมมองหาทางเลือกในการใช้บริการที่ตอบโจทย์และรักษาได้อย่างตรงจุด การยกระดับคุณภาพโรงพยาบาลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะไม่เพียงแต่สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่สถานพยาบาล แต่ยังเป็นการรับประกันคุณภาพการรักษาและความปลอดภัยของผู้ป่วยอีกด้วย หนึ่งในมาตรฐานสากลในวงการแพทย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้าง คือมาตรฐาน JCI และ CCPC ที่มุ่งเน้นด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก ทั้งยังเป็นมาตรฐานที่ VFC Center ให้ความสำคัญและนำมาเป็นแนวทางในการดูแลคนไข้ ดังนั้นสำหรับคู่แต่งงานที่กำลังสนใจมาใช้บริการ การรู้ว่ามาตรฐาน JCI และ CCPC คืออะไร จะเป็นประโยชน์ต่อการนำมาประกอบการตัดสินใจเข้ารับการรักษาได้ดียิ่งขึ้น   มาตรฐาน JCI คืออะไร ? JCI ย่อมาจาก Joint Commission International คือองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประเมินและรับรองคุณภาพของสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีต้นกำเนิดมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ขยายการดำเนินงานไปยังประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก JCI มีจุดประสงค์หลักในการประเมินและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งครอบคลุมทุกด้านของการให้บริการทางการแพทย์...

ช่วงไข่สุกกับไข่ตก แตกต่างกันอย่างไร ช่วงไหนมีโอกาสตั้งครรภ์สูงกว่า

ไข่สุกกับไข่ตก ต่างกันไหม ? รู้ไว้ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

“ไข่สุก” หมายถึงช่วงที่เซลล์ไข่ในรังไข่เจริญเต็มที่และพร้อมจะถูกปล่อยออกมา ส่วน “ไข่ตก” คือช่วงที่ไข่สุกถูกปล่อยออกจากรังไข่เข้าสู่ท่อนำไข่เพื่อรอการปฏิสนธิ ช่วงนี้ถือเป็นเวลาที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด โดยไข่จะมีชีวิตอยู่เพียง 12–24 ชั่วโมง หากไม่มีการปฏิสนธิ ไข่จะสลายไปและเข้าสู่รอบเดือนใหม่ การสังเกตอาการไข่ตก เช่น มูกปากมดลูกใสยืดตัวได้ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย หรือปวดหน่วงท้องน้อย จะช่วยให้คำนวณช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตั้งครรภ์ได้แม่นยำมากขึ้น และควรวางแผนมีเพศสัมพันธ์ช่วง 2–3 วันก่อนวันไข่ตก เพื่อเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิให้มากที่สุด หลายคนที่กำลังวางแผนมีบุตรมักสงสัยว่าช่วงไข่สุกกับไข่ตกมีความเหมือนกันหรือต่างกันหรือไม่ ซึ่งความจริงแล้วทั้งสองคำนี้สื่อถึงช่วงเวลาที่แตกต่างกันในแต่ละรอบเดือน การทำความเข้าใจ รวมถึงสังเกตอาการเพื่อแยกแยะทั้งสองช่วงเวลาได้อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์ให้เป็นไปตามที่คาดหวังได้อย่างมั่นใจ ช่วงไข่สุก คืออะไร ? ช่วงไข่สุก หมายถึง ช่วงที่เซลล์ไข่ในรังไข่เจริญเติบโตอย่างเต็มที่ พร้อมที่จะถูกปล่อยออกมาในกระบวนการตกไข่ ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นในระยะฟอลลิคูลาร์ (Follicular phase) ของรอบเดือน โดยเริ่มจากการที่ฮอร์โมน FSH (Follicle-Stimulating Hormone) กระตุ้นให้ถุงไข่ (Follicle) ในรังไข่เจริญเติบโต จากนั้นจะมีไข่เพียง 1 ฟอง ที่พัฒนาเต็มที่ ก่อนเข้าสู่ช่วงไข่ตกเพื่อรอปฏิสนธิ โดยปกติแล้วภาวะไข่สุกจะเกิดขึ้นประมาณ 24–48 ชั่วโมงก่อนที่ไข่จะถูกปล่อยออกมา นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ไข่เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่ท่อนำไข่ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการสืบพันธุ์ของเพศหญิง ช่วงไข่ตก คืออะไร ? “ไข่ตก” หรือ Ovulation คือช่วงเวลาที่เซลล์ไข่ที่สุกเต็มที่ถูกปล่อยออกจากรังไข่ และเดินทางเข้าสู่ท่อนำไข่เพื่อรอการปฏิสนธิกับอสุจิ ทั้งยังเป็นช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุดในรอบเดือน โดยการตกไข่จะเกิดขึ้นราว 14 วันก่อนถึงรอบเดือนครั้งถัดไป ตัวอย่างเช่น หากรอบเดือนมาตามปกติทุก 28 วัน การตกไข่มักเกิดขึ้นในวันที่ 14 ของรอบเดือน แต่หากรอบเดือนสั้นหรือยาวกว่านี้ วันตกไข่อาจเลื่อนตามไปด้วย เมื่อเปรียบเทียบช่วงไข่สุกกับไข่ตกจะเห็นได้ว่า...

ผู้หญิงกำลังประสบปัญหาจากฮอร์โมนคอร์ติซอล หรืออีกชื่อคือฮอร์โมนแห่งความเครียด

รู้จักฮอร์โมนคอร์ติซอล ! ฮอร์โมนความเครียดที่ไม่ควรมองข้าม

คอร์ติซอล คือ ฮอร์โมนสเตียรอยด์จากต่อมหมวกไตที่ช่วยร่างกายรับมือความเครียด ควบคุมระดับน้ำตาล การเผาผลาญ การอักเสบ ความดัน และวงจรหลับ–ตื่น ค่าปกติช่วงเช้า ~6–23 mcg/dL และบ่าย ~3–15 mcg/dL ตรวจได้จากเลือด ปัสสาวะ 24 ชม. หรือ น้ำลาย หากสูงเรื้อรังอาจมีน้ำหนักเพิ่ม ความดัน/น้ำตาลสูง ภูมิคุ้มกันลด (เสี่ยง Cushing’s) ถ้าต่ำอาจอ่อนเพลีย น้ำหนักลด ความดันต่ำ ผิวคล้ำ (เสี่ยง Addison’s) ความเครียดเรื้อรังและคอร์ติซอลไม่สมดุลกระทบภาวะเจริญพันธุ์ได้ ทั้งการตกไข่ คุณภาพไข่/อสุจิ และรอบเดือน แนวทางดูแลคือ นอนพอ 7–9 ชม. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฝึกผ่อนคลาย (หายใจลึก/สมาธิ/โยคะ) และกินอาหารที่มีโอเมก้า-3 แมกนีเซียม และวิตามินบี หากสงสัยผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมิน เคยสังเกตไหมว่าเมื่อต้องเผชิญกับความกดดัน ไม่ว่าจะเป็นงานที่ถาโถม ปัญหาชีวิตที่รุมเร้า หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยในแต่ละวัน ร่างกายมักตอบสนองบางอย่างโดยอัตโนมัติ ทั้งอาการใจเต้นแรง มือเย็น หรือแม้แต่รู้สึกหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ซึ่งเบื้องหลังอาการเหล่านี้มีฮอร์โมนแห่งความเครียด ที่ชื่อว่า ‘คอร์ติซอล’ เป็นตัวการสำคัญ โดยคอร์ติซอลไม่ได้มีหน้าที่แค่ตอบสนองต่อความเครียดเท่านั้น หากยังมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการทำงานหลายอย่างในร่างกาย ตั้งแต่การเผาผลาญพลังงาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไปจนถึงการรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันและการนอนหลับ ฮอร์โมนคอร์ติซอล คืออะไร มีหน้าที่อย่างไรต่อร่างกาย ? คอร์ติซอล คือฮอร์โมนกลุ่มสเตียรอยด์ชนิดหนึ่งที่ผลิตจากต่อมหมวกไต มีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อภาวะกดดัน หรือความเครียด ไม่ว่าจะเป็นความเครียดทางกายภาพ เช่น...

คู่รักที่ปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุดได้อย่างถูกต้อง

ทำความเข้าใจกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุดในประเทศไทย

การอุ้มบุญเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคู่สมรสหรือบุคคลที่มีปัญหาเรื่องภาวะเจริญพันธุ์ แต่ในประเทศไทย การอุ้มบุญไม่ได้เปิดให้ทุกคนทำได้อย่างเสรี แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุด ซึ่งกำหนดสิทธิ หน้าที่ และเงื่อนไขอย่างชัดเจน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐาน การดำเนินการ และข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การอุ้มบุญเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อุ้มบุญ คืออะไร ? การอุ้มบุญ (Surrogacy) คือการที่ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์แทนผู้ว่าจ้าง มักเกิดจากปัญหาการมีบุตรยากของคู่สมรส เช่น มดลูกผิดปกติหรือไม่มีมดลูก ภาวะแท้งซ้ำซาก หรือโรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่อาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ การอุ้มบุญแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักดังนี้ อุ้มบุญแท้ (Full Surrogacy หรือ Traditional Surrogacy) ในกรณีอุ้มบุญแท้ ผู้ที่ตั้งครรภ์แทน จะใช้เซลล์ไข่ของตนเองผสมกับอสุจิของผู้ว่าจ้าง ทำให้ผู้ตั้งครรภ์แทนมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับเด็กที่เกิดมา ตามหลักกฎหมาย ผู้หญิงที่ให้ไข่ถือเป็นมารดาตามกำเนิด ดังนั้นการอุ้มบุญประเภทนี้จะต้องดำเนินการด้วยความยินยอมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด อุ้มบุญเทียม (Partial Surrogacy หรือ Gestational Carrier) ในกรณีอุ้มบุญเทียม ผู้ตั้งครรภ์แทน จะไม่ใช้เซลล์ไข่ของตนเอง แต่จะใช้ไข่และอสุจิของผู้ว่าจ้าง ผสมกันภายนอกร่างกายด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำ IVF หรือ ICSI จากนั้นจึงนำตัวอ่อนไปฝังในมดลูกของผู้ตั้งครรภ์แทน ทำให้เด็กที่เกิดมามีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับผู้ว่าจ้างทั้งสองคน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับแม่ผู้อุ้มบุญ การอุ้มบุญประเภทนี้เป็นรูปแบบที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ทำได้ โดยมีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่ชัดเจน การเลือกประเภทการอุ้มบุญควรพิจารณาความเหมาะสมทางการแพทย์และความต้องการของผู้ว่าจ้าง พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุด เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางสิทธิ์ในอนาคต   เงื่อนไขกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุด (พ.ร.บ. 2558) พระราชบัญญัติอุ้มบุญ พ.ศ. 2558 เป็นกฎหมายหลักที่ควบคุมการอุ้มบุญในประเทศไทย มีสาระสำคัญที่มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิของเด็กและป้องกันการค้ามนุษย์ โดยกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดสำหรับการดำเนินการอุ้มบุญไว้ดังนี้ การอุ้มบุญสามารถทำได้เฉพาะคู่สมรสไทยหรือคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นต่างชาติเท่านั้น ผู้ว่าจ้างต้องมีเหตุผลทางการแพทย์ที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง การอุ้มบุญเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินเชิงพาณิชย์ถือว่าผิดกฎหมาย แม่อุ้มบุญต้องได้รับความยินยอมเต็มใจและผ่านการตรวจสุขภาพ  การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในร่างกฎหมายใหม่ (ฉบับปรับปรุง) ปัจจุบันกำลังมีการพิจารณาปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. อุ้มบุญ...

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) คือสารอาหารที่มีส่วนช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ช่วยอะไร? ทำไมคนอยากมีลูกควรทาน

สำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนมีลูก ความพยายามในการดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่อาจยังไม่เพียงพอ หากเซลล์สืบพันธุ์ต้องเผชิญกับ “อนุมูลอิสระ” ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เซลล์อสุจิและไข่เสื่อมคุณภาพลงโดยไม่รู้ตัว ภาวะนี้เรียกว่า “ความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress)” ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยาก ที่เกิดได้ทั้งชายและหญิง หนึ่งในสารอาหารจากธรรมชาติที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยลดความเสียหายของเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ซึ่งคือสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลังที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์สืบพันธุ์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคุณภาพของอสุจิและไข่ พร้อมกับช่วยส่งเสริมให้เกิดการตั้งครรภ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) คืออะไร ? แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) คือ สารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่มีสีส้ม–แดงตามธรรมชาติ พบมากในสัตว์ทะเล เช่น ปลาแซลมอน กุ้ง ปู และในสาหร่ายสีแดงชนิด Haematococcus Pluvialis ซึ่งเป็นแหล่งผลิตหลักของสารชนิดนี้ แอสตาแซนธินมีคุณสมบัติเด่นในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินซีหลายร้อยเท่า อีกทั้งยังช่วยลดการเสื่อมของ DNA ภายในเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความผิดปกติของเซลล์ไข่และอสุจิในผู้มีบุตรยาก ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์สำเร็จได้ที่นี่   แอสตาแซนธินช่วยอะไรต่อสุขภาพ ? แอสตาแซนธินเป็นสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม แต่ไม่เฉพาะด้านการเจริญพันธุ์เท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ในเรื่องต่อไปนี้  ช่วยลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน แอสตาแซนธินช่วยลดกระบวนการอักเสบในร่างกาย พร้อมกับช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุจากความเสื่อมของวัย และโรคเรื้อรัง ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มการไหลเวียนโลหิต บำรุงผิวพรรณและสายตา ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ลดริ้วรอย และลดอาการล้าของดวงตา แอสตาแซนธินกับภาวะเจริญพันธุ์ ในระบบสืบพันธุ์ เซลล์อสุจิและไข่เป็นเซลล์ที่ไวต่ออนุมูลอิสระเป็นพิเศษ เมื่อเซลล์เหล่านี้ถูกทำลาย อาจทำให้คุณภาพลดลงและส่งผลต่อความสามารถในการปฏิสนธิ ในเพศชาย จากการศึกษาพบว่า แอสตาแซนธินช่วยลดภาวะความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ในระบบสืบพันธุ์ ส่งผลให้อสุจิมีการเคลื่อนไหวดีขึ้น รูปร่างสมบูรณ์มากขึ้น และลดการแตกหักของ DNA ในอสุจิ...

อิโนซิทอล (Inositol) คือตัวช่วยของคนอยากตั้งครรภ์

อิโนซิทอล วิตามินบำรุงไข่ให้สมบูรณ์ เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

สำหรับคู่รักที่กำลังพยายามมีบุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การเฟ้นหาสารอาหารหรือวิตามินที่สามารถช่วยเสริมโอกาสให้การตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จ เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยในบรรดาวิตามินและสารอาหารบำรุงต่าง ๆ ชื่อของ "อิโนซิทอล" (Inositol) มักถูกพูดถึงในฐานะวิตามินบำรุงไข่ให้สมบูรณ์ ดังนั้นเราจะพาไปทำความรู้จักกับสารสำคัญชนิดนี้กันให้มากขึ้น พร้อมแนะนำแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารอิโนซิทอล ที่คุณสามารถนำไปดูแลสุขภาพได้    ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) อิโนซิทอล คืออะไร ?  อิโนซิทอล (Inositol) คือสารในกลุ่มที่มีคุณสมบัติคล้ายวิตามินบี (Vitamin-like Substance) ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองจากกลูโคส และยังพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว และผักใบเขียว  อิโนซิทอลมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกาย โดยเฉพาะอินซูลินและฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์โดยตรง จึงทำให้สารชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้มีบุตรยาก เนื่องจากมีผลต่อกระบวนการตกไข่และคุณภาพของไข่ในผู้หญิง  บทบาทของอิโนซิทอลต่อสุขภาพผู้หญิง อิโนซิทอล (Inositol) คือตัวช่วยสำคัญสำหรับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ต้องการมีลูก โดยมีบทบาทสำคัญดังต่อไปนี้  1. ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย อิโนซิทอลทำหน้าที่คล้ายสารสื่อประสาทที่ช่วยให้เซลล์ตอบสนองต่อฮอร์โมนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เช่น FSH (Follicle Stimulating Hormone) และ LH (Luteinizing Hormone) ซึ่งเมื่อฮอร์โมนอยู่ในภาวะสมดุล ร่างกายจึงสามารถตกไข่ได้เป็นปกติ 2. ส่งผลดีต่อการตกไข่และคุณภาพของไข่ อีกหนึ่งบทบาทของอิโนซิทอล คือช่วยให้กระบวนการสร้างและพัฒนาของเซลล์ไข่เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ทำให้ไข่มีคุณภาพดีขึ้น มีโอกาสปฏิสนธิและฝังตัวสำเร็จมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การตกไข่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 3. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด อิโนซิทอลมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) อีกทั้งการทำงานที่ดีขึ้นของอินซูลินยังจะส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การเผาผลาญไขมัน...

คู่รักปรึกษาแพทย์เรื่องการมีลูกอย่างปลอดภัย

แนวทางการมีลูกอย่างปลอดภัย สำหรับคู่รักที่ฝ่ายผู้ชายติด HIV

ผู้ชายที่ติดเชื้อ HIV ยังสามารถมีลูกได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ภรรยาหรือทารก หากอยู่ภายใต้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง และควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) ร่วมกับการวางแผนอย่างรอบคอบและใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์หรือวิธีทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ลดความเสี่ยง เช่น ยา PrEP, การล้างอสุจิ, หรือการทำ IUI และ ICSI โดยทั้งหมดควรดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย เข้าใจพื้นฐานของการติดเชื้อ HIV HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด และน้ำนมแม่  ปัจจุบันนี้ การติดเชื้อ HIV ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการมีลูกอีกต่อไป หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายได้ดี ผู้ชายติด HIV มีลูกได้ไหม ? คำตอบคือ : ได้ ผู้ชายที่ติดเชื้อ HIV ยังสามารถมีลูกได้ โดยไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ภรรยาหรือทารก หากดำเนินการภายใต้แนวทางทางการแพทย์ที่เหมาะสม วิธีลดความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อ HIV ขณะวางแผนมีลูก การวางแผนมีบุตรสำหรับคู่สมรสที่ฝ่ายผู้ชายติดเชื้อ HIV นั้นสามารถทำได้อย่างปลอดภัย หากมีการดูแลและใช้วิธีทางการแพทย์ที่เหมาะสม โดยแนวทางหลักในการลดความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อจากผู้ชายไปยังคู่สมรสและบุตร คือการควบคุมระดับไวรัสในร่างกายให้ต่ำจนตรวจไม่พบ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์หรือยาเพื่อป้องกันล่วงหน้า ควบคุม Viral Load ด้วยการรับยาต้านไวรัส (ART) หนึ่งในวิธีที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงการถ่ายทอดเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การรับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ (ART: Antiretroviral Therapy) โดยเฉพาะในผู้ชายที่ติดเชื้อ หากรักษาต่อเนื่องและวินิจฉัยพบว่า ระดับไวรัสต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable Viral Load)...