เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

คู่รักปรึกษาแพทย์เรื่องการมีลูกอย่างปลอดภัย

แนวทางการมีลูกอย่างปลอดภัย สำหรับคู่รักที่ฝ่ายผู้ชายติด HIV

ผู้ชายที่ติดเชื้อ HIV ยังสามารถมีลูกได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ภรรยาหรือทารก หากอยู่ภายใต้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง และควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) ร่วมกับการวางแผนอย่างรอบคอบและใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์หรือวิธีทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ลดความเสี่ยง เช่น ยา PrEP, การล้างอสุจิ, หรือการทำ IUI และ ICSI โดยทั้งหมดควรดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย เข้าใจพื้นฐานของการติดเชื้อ HIV HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด และน้ำนมแม่  ปัจจุบันนี้ การติดเชื้อ HIV ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการมีลูกอีกต่อไป หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายได้ดี ผู้ชายติด HIV มีลูกได้ไหม ? คำตอบคือ : ได้ ผู้ชายที่ติดเชื้อ HIV ยังสามารถมีลูกได้ โดยไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ภรรยาหรือทารก หากดำเนินการภายใต้แนวทางทางการแพทย์ที่เหมาะสม วิธีลดความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อ HIV ขณะวางแผนมีลูก การวางแผนมีบุตรสำหรับคู่สมรสที่ฝ่ายผู้ชายติดเชื้อ HIV นั้นสามารถทำได้อย่างปลอดภัย หากมีการดูแลและใช้วิธีทางการแพทย์ที่เหมาะสม โดยแนวทางหลักในการลดความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อจากผู้ชายไปยังคู่สมรสและบุตร คือการควบคุมระดับไวรัสในร่างกายให้ต่ำจนตรวจไม่พบ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์หรือยาเพื่อป้องกันล่วงหน้า ควบคุม Viral Load ด้วยการรับยาต้านไวรัส (ART) หนึ่งในวิธีที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงการถ่ายทอดเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การรับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ (ART: Antiretroviral Therapy) โดยเฉพาะในผู้ชายที่ติดเชื้อ หากรักษาต่อเนื่องและวินิจฉัยพบว่า ระดับไวรัสต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable Viral Load)...

การวางแผนเรื่องการป้องกันสาร PFAS

PFAS สารเคมีที่รบกวนฮอร์โมน ส่งผลให้เกิดภาวะมีลูกยาก

PFAS หรือ “สารเคมีตลอดกาล” เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะมีลูกยากโดยที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน สารนี้สามารถรบกวนระบบฮอร์โมนเพศทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้เกิดปัญหาการตกไข่ การฝังตัวของตัวอ่อน รวมถึงลดคุณภาพของเซลล์ไข่และอสุจิ แม้ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติชัดเจน แต่การสะสม PFAS ในร่างกายอย่างต่อเนื่องจากสิ่งของรอบตัว เช่น กระทะเคลือบสารกันติด หรือบรรจุภัณฑ์อาหาร ก็อาจเป็นตัวการเงียบที่ลดโอกาสการมีบุตรโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังสามารถสะสมในร่างกายของเราได้ยาวนาน มาทำความรู้จักกับสารชนิดนี้ให้มากขึ้น ทั้งแหล่งที่มา ผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อมโยงกับภาวะมีบุตรยาก รวมถึงแนวทางในการป้องกันตนเองจากสารเคมีอันตรายชนิดนี้ เพื่อช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพเชิงรุกและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรได้อย่างถูกวิธี นัดหมายปรึกษาและตรวจสาเหตุการมีลูกยากกับ VFC ได้ที่นี่   PFAS คืออะไร ? PFAS คือสารเคมีสังเคราะห์ในกลุ่ม Per- and Polyfluoroalkyl Substances ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อความร้อน น้ำ และน้ำมัน ทำให้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1940 และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราโดยไม่รู้ตัว ด้วยคุณสมบัติที่ทนทานและไม่ย่อยสลายง่ายนี้ PFAS จึงได้รับฉายาว่า "สารเคมีตลอดกาล" เนื่องจากสามารถคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมและร่างกายมนุษย์ได้เป็นเวลานานหลายปี บางชนิดอาจสะสมในเลือด ตับ และไต ได้นานถึง 5-7 ปี เลยทีเดียว แหล่งที่มาของ PFAS ในชีวิตประจำวัน PFAS แทรกซึมเข้ามาในชีวิตของเราผ่านหลากหลายช่องทาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เราใช้กันทุกวัน ยกตัวอย่างเช่น  เครื่องครัว เช่น สารเคลือบกระทะกันติด (Teflon) ที่นิยมใช้ในครัวเรือน เมื่อความร้อนสูงจะทำให้สารนี้หลุดออกมาปนเปื้อนในอาหาร เสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะเสื้อผ้ากันน้ำ พรม และโซฟา มักมีส่วนประกอบของสารเคลือบกันน้ำ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทนทานต่อความเปียกชื้นและสิ่งเปรอะเปื้อน บรรจุภัณฑ์อาหาร เช่น กล่องพิซซ่า...

คู่รักที่มีเชื้อ HIV มีลูกที่ปลอดเชื้อได้เมื่อควบคุมเชื้อให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบร่วมกับการทำ ICSI

คู่รัก HIV ตั้งครรภ์ปลอดภัยด้วยการควบคุม Viral Load และ ICSI

คู่รักที่ติดเชื้อ HIV สามารถตั้งครรภ์และมีลูกที่ปลอดเชื้อได้อย่างปลอดภัย หากควบคุมค่า Viral Load ให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบ (Undetectable) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์อย่าง ICSI ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อจากพ่อแม่สู่ลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีทีมแพทย์ดูแลตลอดกระบวนการตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอด การมีเชื้อ HIV เคยถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการสร้างครอบครัว อีกทั้งหลายคนยังกังวลว่าหากมีการตั้งครรภ์อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อทั้งตัวคุณแม่และลูก แต่ด้วยการรักษาที่ก้าวหน้าควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคู่รักที่มีเชื้อ HIV มีโอกาสสูงที่ลูกน้อยจะปลอดเชื้อและมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งทางเลือกทางการแพทย์อย่างการทำ ICSI (อิ๊กซี่) เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  คู่รักที่มีเชื้อ HIV ก็มีโอกาสมีลูกที่ปลอดเชื้อและสุขภาพแข็งแรงได้ การมีบุตรของคู่รักที่ติดเชื้อ HIV ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หากทั้งคู่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและควบคุมค่า Viral Load ให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบ ผสานกับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการใช้ทางเลือกทางการแพทย์ด้านการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสม โอกาสการถ่ายทอดเชื้อสู่ทารกจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรจึงสามารถเกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อย  ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์สำเร็จได้ที่นี่   1. ความสำคัญของการควบคุมไวรัสและค่า Viral Load ก่อนเริ่มต้น แม้เชื้อ HIV จะไม่กระทบต่อคุณภาพของอสุจิหรือไข่โดยตรง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนการตั้งครรภ์สำหรับคู่รักที่มีเชื้อ HIV คือการควบคุมค่า Viral Load ให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบ (Undetectable) ค่า Viral Load คืออะไร? ค่า Viral Load หมายถึง ปริมาณไวรัส HIV ที่ตรวจพบในเลือดของผู้ติดเชื้อ  ยิ่งมีค่า Viral Load สูง ก็ยิ่งบ่งบอกว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกายมาก และมีโอกาสถ่ายทอดเชื้อได้ง่ายขึ้น ในทางกลับกัน หากใช้ยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอจนค่า Viral Load ลดลงจนต่ำกว่าระดับที่เครื่องมือตรวจพบได้ เราจะเรียกว่า ตรวจไม่พบ (Undetectable) ทำไมค่า...

สูตินรีแพทย์ใช้โมเดลรังไข่อธิบายความสำคัญของการตรวจ FSHR Genotype Test

การตรวจ FSHR Genotype Test ตัวช่วยวางแผนตั้งครรภ์เฉพาะบุคคล

การตรวจ FSHR Genotype Test คือการประเมินศักยภาพของรังไข่ผ่านการตรวจยีนตัวรับฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone Receptor) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเจริญของไข่ในรังไข่ การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์เข้าใจว่ารังไข่ของผู้หญิงตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ได้ดีมากน้อยเพียงใด เพื่อวางแผนการกระตุ้นไข่และการตั้งครรภ์อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในกระบวนการทำ ICSI (เด็กหลอดแก้ว) การรู้ข้อมูลพันธุกรรมของ FSHR ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ยาฮอร์โมนเกินความจำเป็น และเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น การวางแผนตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นจากการเข้าใจ 'ศักยภาพของรังไข่' ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดโอกาสการตั้งครรภ์ทั้งแบบธรรมชาติและผ่านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI ฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) เป็นฮอร์โมนหลักที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ในรังไข่ และระดับการตอบสนองต่อ FSH ในผู้หญิงแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความหลากหลายทางพันธุกรรมของตัวรับฮอร์โมน FSH (FSHR) เป็นหลัก การทำ FSHR Genotype Test จึงเป็นวิธีการตรวจยีนที่ช่วยประเมินความไวของรังไข่ต่อฮอร์โมน FSH ได้อย่างแม่นยำ ทำให้สูตินรีแพทย์สามารถวางแผนการกระตุ้นไข่และตั้งครรภ์แบบเฉพาะบุคคล เพิ่มโอกาสสำเร็จตั้งแต่ก้าวแรก ความหมายของ FSHR Genotype Test FSHR หรือ Follicle Stimulating Hormone Receptor คือ ตัวรับสัญญาณที่อยู่บนเซลล์รังไข่ ทำหน้าที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ที่หลั่งจากต่อมใต้สมอง เมื่อ FSH มาจับกับ FSHR ที่รังไข่ จะส่งสัญญาณให้เซลล์รังไข่แบ่งตัวและเจริญเติบโตเป็นไข่ พร้อมสำหรับการตกไข่และปฏิสนธิ ซึ่งแต่ละคนมีพันธุกรรม FSHR แตกต่างกัน...

คู่รักตัดสินใจปรึกษาเรื่องการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

PGT-SR คือทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ ลดความเสี่ยง

การตรวจคัดเลือกตัวอ่อนด้วย PGT-SR (Preimplantation Genetic Testing for Structural Rearrangement) เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ล้มเหลวในคู่รักที่มีปัญหาความผิดปกติของโครโมโซม โดยเฉพาะผู้ที่เป็น พาหะของ Balanced Translocation ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นมีการจัดเรียงโครโมโซมผิดพลาด ส่งผลให้แท้งซ้ำหรือเกิดภาวะผิดปกติทางพันธุกรรมได้ การตรวจ PGT-SR จึงมีบทบาทสำคัญในการคัดกรองและเลือกเฉพาะตัวอ่อนที่มีโครโมโซมปกติ เพื่อเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์สำเร็จ และลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดความผิดปกติสู่ลูกน้อยในอนาคต ในยุคที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเติมเต็มความฝันของคู่รักที่ต้องการมีบุตร การตรวจคัดเลือกตัวอ่อนด้วยวิธี PGT-SR ถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จและมีบุตรที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ โดยเฉพาะกับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะของ Balanced Translocation (โครโมโซมสลับที่แบบสมดุล) ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนเกิดการจัดเรียงโครโมโซมผิดพลาด ส่งผลให้เกิดตัวอ่อนที่ไม่สมบูรณ์ (Unbalanced Translocation) ทำให้มีโอกาสแท้งเองได้ง่าย หรือในบางกรณีอาจส่งผลให้เด็กที่เกิดมามีความผิดปกติทางพันธุกรรม ปูพื้นฐานสู่ภาวะมีบุตรยากจากพันธุกรรม ทำความรู้จักพาหะ Balanced Translocation สำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก หรือมีประวัติการแท้งซ้ำ การทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่มักถูกมองข้าม คือความผิดปกติทางโครโมโซมที่อาจเกิดขึ้นในตัวอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น พาหะของ Balanced Translocation Balanced Translocation หรือ การสลับตำแหน่งของโครโมโซม คือภาวะที่โครโมโซมเกิดการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนกันระหว่างโครโมโซมสองแท่ง หรือเกิดการพลิกกลับด้านภายในโครโมโซมแท่งเดียว โดยไม่มีการขาดหรือเกินของสารพันธุกรรม (DNA) ดังนั้น ผู้ที่เป็นพาหะมักจะไม่มีอาการผิดปกติ และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงขั้นตอนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (ไข่หรืออสุจิ) โครโมโซมที่สลับตำแหน่งอาจเกิดการจัดเรียงผิดพลาด ทำให้ได้ตัวอ่อนที่มีโครโมโซมเกินหรือขาด (Unbalanced Translocation) ตัวอ่อนกลุ่มนี้มักไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ ส่งผลให้เกิด ภาวะแท้ง หรือในบางกรณีอาจทำให้ทารกที่เกิดมามี ความผิดปกติทางพัฒนาการหรือสุขภาพ  นัดหมายปรึกษาและตรวจสาเหตุการมีลูกยากได้ที่นี่    PGT-SR คืออะไร ? ทางเลือกสำหรับคู่รักที่มีภาวะแท้งซ้ำจากความผิดปกติทางโครโมโซม PGT-SR คือการตรวจคัดเลือกตัวอ่อนก่อนฝังตัวในมดลูก...

การตรวจ Carrier Screening ช่วยคัดกรองโรคทางพันธุกรรมก่อนมีบุตร

Carrier Screening การตรวจพาหะโรคพันธุกรรมก่อนมีบุตร

การตรวจพาหะโรคพันธุกรรม (Carrier Screening) คือการตรวจยีนของพ่อแม่ก่อนมีบุตรเพื่อดูว่ามียีนผิดปกติแฝงอยู่และเสี่ยงถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมให้ลูกหรือไม่ เหมาะกับคู่รักทุกคู่ หากไม่มีประวัติครอบครัว เพราะผู้เป็นพาหะมักไม่แสดงอาการ การทราบความเสี่ยงล่วงหน้าช่วยวางแผนการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย (เช่น ICSI ร่วมกับการคัดกรองตัวอ่อน PGT หรือการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด) ลดโอกาสเกิดโรครุนแรงในลูก และเพิ่มความมั่นใจในการเริ่มต้นครอบครัวอย่างรอบคอบมากขึ้น การมีบุตรคือความสุขของหลายคู่รัก แต่ใช่ว่าทุกคู่จะมั่นใจได้ว่า ลูกน้อยที่เกิดมาจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายของคุณพ่อคุณแม่อาจแฝงยีนผิดปกติที่ไม่เคยรู้มาก่อน ความเสี่ยงในการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมจึงกลายเป็นเรื่องที่หลายคนเป็นกังวล การตรวจ Carrier Screening หรือการตรวจคัดกรองพาหะของโรคทางพันธุกรรม จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจก่อนการตั้งครรภ์ และช่วยให้การวางแผนครอบครัวมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การตรวจพาหะโรคพันธุกรรม (Carrier Screening) คืออะไร ? การตรวจพาหะโรคพันธุกรรม (Carrier Screening) คือการตรวจทางพันธุศาสตร์เพื่อหาว่าบุคคลนั้นเป็น "พาหะ" ที่มียีนผิดปกติและอาจถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมไปสู่ลูกได้หรือไม่ แม้ว่าคนที่เป็นพาหะจะไม่แสดงอาการของโรคนั้นก็ตาม โดยการตรวจนี้จะช่วยให้คู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร สามารถทราบถึงความเสี่ยง ตลอดจนความเป็นไปได้ในการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (ICSI) ที่ทำควบคู่กับการคัดกรองตัวอ่อน (PGT) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของลูกในอนาคต  ความแตกต่างของ Carrier Screening กับการตรวจสุขภาพทั่วไป โดยทั่วไป การตรวจสุขภาพอาจครอบคลุมเพียงการตรวจโรคบางชนิด เช่น ตรวจพาหะโรคพันธุกรรม อย่างธาลัสซีเมียที่พบมากในประเทศไทย แต่มีข้อจำกัดคือ สามารถตรวจพบได้เพียงไม่กี่โรคในแต่ละครั้ง ขณะที่เทคโนโลยีการถอดรหัสยีนนวัตกรรมใหม่อย่างการตรวจ Next-Generation Sequencing (NGS) จะสามารถตรวจครอบคลุมได้หลายร้อยยีนพร้อมกันในครั้งเดียว ซึ่งความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีนี้ จะทำให้การตรวจแบบ Carrier Screening มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังได้ข้อมูลที่ชัดเจน ครอบคลุม และแม่นยำมากกว่าเดิม นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  นัดหมายปรึกษาและตรวจพาหะโรคพันธุกรรมกับ VFC ได้ที่นี่  ความสำคัญของการตรวจ Carrier Screening...

ไมโครพลาสติกคือเศษพลาสติกขนาดเล็กที่พบได้ในอาหาร น้ำ และอากาศรอบตัว

ไมโครพลาสติกคืออะไร และส่งผลต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์อย่างไร?

ไมโครพลาสติกคือเศษพลาสติกขนาดเล็กที่พบได้ในอาหาร น้ำ และอากาศรอบตัวเรา และด้วยความที่มีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายและสะสมในอวัยวะต่าง ๆ จนส่งผลกระทบต่อระบบร่างกาย รวมถึงสุขภาพการเจริญพันธุ์ของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง การเข้าใจว่าไมโครพลาสติกมาจากแหล่งใด เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร จะช่วยให้เราป้องกันและลดความเสี่ยงที่เกิดกับสุขภาพได้ บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับไมโครพลาสติกและแนวทางดูแลตัวเองเพื่อเพิ่มโอกาสการมีบุตรให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น  นัดหมายพูดคุยกับสูตินรีแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการตั้งครรภ์ ไมโครพลาสติกคืออะไร? ไมโครพลาสติก (Microplastic) คือเศษพลาสติกขนาดเล็กมากที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 5 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กจนบางครั้งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พลาสติกเหล่านี้อาจเกิดจากการแตกตัวของขยะพลาสติกชิ้นใหญ่ หรือถูกผลิตขึ้นมาโดยตรงเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยความที่มีขนาดเล็ก ทำให้ไมโครพลาสติกสามารถปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่เราดื่ม อากาศที่เราหายใจ รวมถึงอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในทุกวัน แหล่งที่มาของไมโครพลาสติก ปัจจุบัน ไมโครพลาสติกเกิดได้จากหลายทาง โดยสามารถแยกแหล่งที่มาได้ดังนี้  การแตกสลายของขยะพลาสติก พลาสติกที่เราทิ้งสู่สิ่งแวดล้อม เช่น ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก อวนจับปลา หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อโดนแสงแดด ความร้อน และแรงเสียดสี จะค่อย ๆ แตกตัวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนกลายเป็นไมโครพลาสติก การเสื่อมสลายนี้ทำให้พลาสติกที่เคยมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลายเป็นชิ้นที่เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ อีกทั้งเมื่อถูกน้ำหรืออากาศพัดกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ก็สามารถซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเราได้  ผลิตภัณฑ์ที่มีไมโครพลาสติกโดยตรง ผลิตภัณฑ์บางชนิดถูกผลิตให้มีชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็ก เช่น เม็ดสครับ (Microbeads) ในสบู่ ยาสีฟัน หรือเครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ เส้นใยสังเคราะห์จากเสื้อผ้า เช่น โพลีเอสเตอร์ ไนลอน หรืออะคริลิก ก็เป็นแหล่งที่ทำให้ไมโครพลาสติกหลุดออกระหว่างการซักล้างได้เช่นเดียวกัน  ไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายของเราได้อย่างไร? ไมโครพลาสติกคือเศษพลาสติกขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้หลายช่องทาง แต่วิธีหลัก ๆ ที่ร่างกายได้รับไมโครพลาสติกมีดังนี้ ผ่านอาหารและน้ำ จากงานวิจัยพบว่า ไมโครพลาสติกสามารถปนเปื้อนอยู่ในสัตว์ทะเล เช่น ปลา กุ้ง หอย จากการที่สัตว์น้ำเหล่านี้กินเข้าไป รวมถึงอาหารและน้ำดื่มที่ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก การบริโภคอาหารเหล่านี้อาจทำให้เราสะสมไมโครพลาสติกเข้าไปในร่างกายโดยไม่รู้ตัว ผ่านทางอากาศ นอกจากอาหารและน้ำแล้ว ไมโครพลาสติกยังสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ...

การฉีดสีท่อนำไข่ในโพรงมดลูกและท่อนำไข่ เพื่อหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก

การฉีดสีท่อนำไข่ ตรวจหาสาเหตุมีบุตรยาก เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

การฉีดสีท่อนำไข่ (HSG) คือการตรวจเอกซเรย์ที่ฉีดสารทึบรังสีผ่านปากมดลูกเพื่อดูโพรงมดลูกและท่อนำไข่อย่างชัดเจน ใช้คัดกรองสาเหตุภาวะมีบุตรยากที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น ท่อนำไข่ตีบตัน พังผืด หรือความผิดปกติในโพรงมดลูก ซึ่งอาจขัดขวางการพบกันของไข่และอสุจิ การตรวจช่วยวินิจฉัยได้ตรงจุดและวางแผนรักษาได้แม่นยำ ส่งผลให้โอกาสตั้งครรภ์ในรอบถัดไปสูงขึ้น โดยอาการปวดหน่วงมักเป็นเพียงชั่วคราวและหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำไมคู่สามีภรรยาบางคู่พยายามมีลูกมานานแต่ยังไม่สำเร็จ ? คำตอบอาจอยู่ที่ “ท่อนำไข่” ซึ่งเป็นปัญหาที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า การฉีดสีท่อนำไข่ (HSG) จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยปัญหาได้อย่างตรงจุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น  บทความนี้ขอชวนมาทำความรู้จักการตรวจนี้อย่างละเอียด เพื่อเตรียมพร้อมสู่ก้าวต่อไปของการสร้างครอบครัวในฝัน การฉีดสีท่อนำไข่ คืออะไร? การฉีดสีท่อนำไข่ หรือการตรวจ HSG (Hysterosalpingography) คือการตรวจโพรงมดลูกและท่อนำไข่ด้วยรังสีเอกซเรย์ โดยแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีที่มีส่วนผสมของไอโอดีนผ่านปากมดลูกเข้าไปในมดลูกและท่อนำไข่ จากนั้นจะถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อดูเส้นทางที่สารสีนี้ไหลผ่าน ซึ่งจะช่วยให้เห็นรูปร่างของมดลูกและท่อนำไข่ได้อย่างชัดเจน ทำให้ตรวจพบความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากได้ นัดหมายสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจภาวะมีบุตรยากและหาสาเหตุอย่างแม่นยำ ทำไมควรฉีดสีท่อนำไข่? การฉีดสีท่อนำไข่ หรือการตรวจ HSG มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากสามารถช่วยค้นหาสาเหตุได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับท่อนำไข่ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการลำเลียงไข่จากรังไข่มาพบกับอสุจิและเป็นเส้นทางให้ตัวอ่อนเคลื่อนตัวกลับไปฝังตัวในโพรงมดลูก การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์สามารถระบุปัญหาสำคัญดังต่อไปนี้ ท่อนำไข่ตีบตัน : เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของภาวะมีบุตรยาก ซึ่งจะทำให้ไข่และอสุจิไม่สามารถเดินทางมาพบกันได้ พังผืดในโพรงมดลูก หรือท่อนำไข่ :  ซึ่งอาจเกิดจากการอักเสบ หรือการผ่าตัดในอดีต ทำให้ท่อนำไข่ทำงานผิดปกติ ความผิดปกติของโพรงมดลูก : เช่น เนื้องอกมดลูก (Fibroids) หรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูก (Polyps) ที่อาจไปขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน นอกจากนี้ ในบางกรณีการใช้สารทึบรังสีแบบน้ำมัน หรือสารทึบรังสีชนิดฉีด (Contrast Medium) ยังสามารถช่วยชะล้างสิ่งอุดตันขนาดเล็กในท่อนำไข่และโพรงมดลูก ทำให้เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ในรอบหลังตรวจ ผลข้างเคียงที่ควรทราบ แม้ว่าการฉีดสีท่อนำไข่ (HSG) จะเป็นการตรวจที่ปลอดภัยและใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็เหมือนกับหัตถการทางการแพทย์ชนิดอื่น ที่อาจมีผลข้างเคียง หรือความเสี่ยงที่ควรทราบล่วงหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่รุนแรงและสามารถจัดการได้หลังจากการตรวจ HSG  ...

ผู้ชายมีความกังวลจากอาการหย่อนสมรรถภาพเพศชาย

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย: อวัยวะเพศไม่แข็งตัวรักษาได้

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (Erectile Dysfunction: ED) หรืออวัยวะเพศไม่แข็งตัวเป็นปัญหาที่พบได้ทุกวัย ไม่ใช่แค่วัยสูงอายุ และส่งผลต่อความมั่นใจ ความสัมพันธ์ และสุขภาพโดยรวม แต่ อวัยวะเพศไม่แข็งตัวรักษาได้ หากหาสาเหตุให้ตรงจุดและรับการดูแลอย่างเหมาะสม แนวทางรักษามีตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้ยา การบำบัดฮอร์โมน ไปจนถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง โดยควรเริ่มจากพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุทั้งด้านร่างกายและจิตใจ แล้ววางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละคน ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชายคืออะไร? ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย คือภาวะที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้เต็มที่ หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ อาการนี้ต่างจากปัญหาชั่วคราวที่เกิดจากความเครียดหรือความเหนื่อยล้า เพราะภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศมักเกิดซ้ำต่อเนื่องและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างชัดเจน อาการนี้พบได้มากในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี แต่ก็ใช่ว่าผู้ชายวัยหนุ่มจะไม่พบกับภาวะนี้ เพราะพฤติกรรมเสี่ยงและโรคประจำตัวบางอย่างก็เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน อาการของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย เมื่อรู้แล้วว่าภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศคืออะไร ขั้นตอนถัดไปคือการสังเกตอาการของตัวเอง เพราะอาการที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและใจได้ สำหรับอาการที่บ่งบอกว่าอาจเข้าข่ายภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ได้แก่ อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้เลยแม้มีสิ่งเร้าทางเพศ : อวัยวะเพศไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศ ซึ่งบ่งชี้ถึงความผิดปกติของหลอดเลือดหรือระบบประสาท แข็งตัวได้แต่ไม่นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ : การแข็งตัวไม่คงตัว ทำให้การมีเพศสัมพันธ์หยุดชะงัก และส่งผลต่อความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย ความต้องการทางเพศลดลง : ฮอร์โมนเพศชายต่ำหรือมีปัญหาทางจิตใจ อาจทำให้ความอยากทางเพศลดลง ร่วมกับการแข็งตัวที่ไม่เต็มที่ เกิดความเครียดและขาดความมั่นใจ : เมื่อเกิดซ้ำ ๆ ผู้ชายที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ จะรู้สึกกดดัน วิตกกังวล และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในอนาคต  มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ? ปรึกษาเพื่อหาแนวทางรักษากับแพทย์จาก VFC Center ได้ที่นี่  สาเหตุของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชายเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแค่อายุที่เพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุดังนี้ 1. ปัจจัยทางร่างกาย เกิดโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ทำให้เส้นเลือดแข็งและตีบตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่เพียงพอ โรคหัวใจและหลอดเลือด...

ผู้หญิงปรึกษาสูตินรีแพทย์ว่าควรฝากไข่อายุเท่าไหร่ดีที่สุด

ฝากไข่อายุเท่าไหร่ ? ชวนเข้าใจเพื่อวางแผนมีบุตรอย่างปลอดภัย

“ฝากไข่อายุเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด?” เป็นคำถามสำคัญของผู้หญิงยุคใหม่ที่ต้องการวางแผนมีบุตรอย่างปลอดภัยในอนาคต การฝากไข่หรือการแช่แข็งไข่ เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ช่วยเก็บรักษาไข่คุณภาพดีไว้ในช่วงวัยที่ร่างกายยังแข็งแรง เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ภายหลัง ช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดในการฝากไข่คือระหว่าง 25–35 ปี เพราะเป็นช่วงที่รังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ดีที่สุด ไข่มีคุณภาพสูง และมีจำนวนเพียงพอสำหรับใช้ในอนาคต ส่วนผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปียังสามารถฝากไข่ได้เช่นกัน แต่ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อประเมินโอกาสและวางแผนอย่างเหมาะสมก่อนตัดสินใจ ในยุคปัจจุบัน ผู้หญิงจำนวนมากเลือกให้ความสำคัญกับการเรียน การงาน หรือเป้าหมายชีวิตส่วนตัว ก่อนเรื่องการสร้างครอบครัว ทำให้แนวโน้มของการแต่งงานและมีลูกเริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ช่วงอายุที่เหมาะสมต่อการมีลูกถูกเลื่อนออกไป ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป คุณภาพของไข่ย่อมลดลงตามธรรมชาติ เทคโนโลยีการ “ฝากไข่” หรือ “แช่แข็งไข่” จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงยังสามารถมีลูกในเวลาที่เหมาะสมกับตนเองได้ โดยไม่ต้องกังวลกับความเสื่อมของร่างกายที่มากับอายุ  สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลว่า ควรฝากไข่ในช่วงอายุเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด ? บทความนี้มีคำตอบ ควรฝากไข่ในช่วงอายุเท่าไหร่ ? ช่วงอายุที่ดีที่สุดสำหรับการฝากไข่ ช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝากไข่ คือ ระหว่าง 25-35 ปี เนื่องจากรังไข่ยังตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ดี ร่างกายยังผลิตไข่ที่มีคุณภาพสูง และสามารถเก็บไข่ได้ในจำนวนมาก ส่งผลให้โอกาสสำเร็จของการตั้งครรภ์ในอนาคตสูงตามไปด้วย หากฝากไข่หลังอายุ 35 ปี จะเป็นอย่างไร ? เมื่ออายุเกิน 35 ปี รังไข่อาจเริ่มเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้โอกาสที่ไข่จะปฏิสนธิและฝังตัวสำเร็จลดลงอย่างต่อเนื่อง ในบางรายอาจต้องเก็บไข่หลายรอบถึงจะได้จำนวนที่เพียงพอ ซึ่งแม้ว่าจะยังสามารถฝากไข่ได้ แต่อาจต้องใช้เวลาและการดูแลที่มากขึ้น สามารถฝากไข่ตอนอายุ 40 ปีขึ้นไปได้ไหม ? แม้ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันจะสามารถเก็บไข่ในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปได้ แต่โอกาสตั้งครรภ์จากไข่ที่เก็บไว้ในช่วงอายุนี้จะต่ำกว่าช่วงวัยหนุ่มสาวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพไข่และความเสี่ยงของความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม อย่างไรก็ตาม หากเป็นทางเลือกสุดท้าย การฝากไข่ในวัยนี้ยังถือว่ามีประโยชน์ โดยเฉพาะหากมีการวางแผนใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพิ่มเติม นัดหมายสูตินรีแพทย์ เพื่อปรึกษาเรื่องการฝากไข่ ความเสื่อมของคุณภาพไข่ตามอายุ ผู้หญิงเกิดมาพร้อมจำนวนไข่ที่มีจำกัด และร่างกายไม่สามารถสร้างไข่ใหม่ได้ตลอดชีวิต เมื่ออายุมากขึ้น ทั้งปริมาณและคุณภาพของไข่จะลดลง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35...