เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความ

ผู้หญิงที่งดแอลกอฮอล์ เพื่อเตรียมตัวตั้งครรภ์ด้วยการทำ IVF

งดแอลกอฮอล์ก่อนทำ IVF มีผลอย่างไรต่อความสำเร็จ?

การวางแผนมีลูกไม่ได้เริ่มต้นเมื่อตรวจพบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อยู่เท่านั้น แต่ต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะมีการปฏิสนธิด้วยซ้ำ โดยเฉพาะพฤติกรรมบางอย่างของคุณแม่ในช่วงก่อนตั้งครรภ์ที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น “การงดแอลกอฮอล์” เพราะเป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของตัวอ่อน และความสำเร็จของการตั้งครรภ์ในอนาคต แม้การดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในสังคม แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีบุตร การละเว้นพฤติกรรมนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่แข็งแรงทั้งตัวคุณแม่เองและลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลก  ทำไมต้องงดแอลกอฮอล์ก่อนตั้งครรภ์? การดื่มแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย แอลกอฮอล์เหล่านั้นจะผ่านไปที่รกและเข้าสู่ทารกได้โดยตรง ซึ่งทารกในครรภ์ยังไม่มีระบบขับสารพิษที่สมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่ จึงทำให้แอลกอฮอล์ตกค้างและส่งผลเสียต่อพัฒนาการในหลายด้าน เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น การคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักแรกคลอดต่ำ ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการสมองของทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความบกพร่องทางสติปัญญาและภาวะปัญญาอ่อนในระยะยาว ไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ปลอดภัยสำหรับการตั้งครรภ์ แม้เพียงเล็กน้อยก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพของทารกได้ สำหรับผู้ที่วางแผนจะทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) การดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงวันละ 1 แก้วในเดือนก่อนเข้าสู่กระบวนการ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความล้มเหลวของการตั้งครรภ์ถึง 3 เท่า และหากดื่มในช่วงเริ่มทำ IVF เมื่อใกล้วันเก็บเชื้อ ความเสี่ยงจะสูงขึ้นอีก แต่ในขณะเดียวกัน การดูแลตนเองด้วยการงดดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยให้ตัวอ่อนมีคุณภาพที่ดี และลดความเสี่ยงของโรคหรือความผิดปกติในระยะยาวได้ เตรียมตั้งครรภ์อย่างไรให้พร้อมที่สุด? การเตรียมตัวมีบุตรอย่างมีคุณภาพ ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมพื้นฐานของชีวิตประจำวัน ซึ่งการงดแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง พร้อมกับเสริมด้วยแนวทางที่ช่วยเสริมการสร้างตัวอ่อนที่สมบูรณ์ โดยมีคำแนะนำดังนี้ วิธีงดแอลกอฮอล์อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปริมาณอย่างค่อยเป็นค่อยไป : หากคุณเคยดื่มเป็นประจำ อาจเริ่มจากการลดความถี่ และเปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มแบบไร้แอลกอฮอล์ เช่น น้ำผลไม้คั้นสด โซดามะนาว หรือชาสมุนไพรแบบไม่มีคาเฟอีน เลี่ยงสถานการณ์กระตุ้นการดื่ม : เช่น ไปงานสังสรรค์ที่มักมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  พฤติกรรมอื่น ๆ ที่ควรปรับก่อนตั้งครรภ์ นอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-9 ชั่วโมง ช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้สมดุล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือว่ายน้ำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังมดลูก งดบุหรี่และลดคาเฟอีน เนื่องจากเป็นสารที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์ อาหารและสารอาหารที่ช่วยให้ตัวอ่อนคุณภาพดี กรดโฟลิก : ช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาทในทารก...

APS (Antiphospholipid Syndrome) คือภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

ภาวะ APS คือหนึ่งในสาเหตุของการมีบุตรยาก พร้อมวิธีการรักษา

คู่สมรสที่พยายามมีบุตรและกำลังเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการ IVF (In Vitro Fertilization) หรือ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ แม้จะผ่านการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ ปฏิสนธิ และย้ายตัวอ่อนมาหลายครั้งแล้วก็ตาม สิ่งหนึ่งที่อาจต้องพิจารณาอย่างจริงจังคือ ภาวะ APS (Antiphospholipid Syndrome) หรือที่เรียกกันว่า "แอนติฟอสโฟลิพิด ซินโดรม" ภาวะนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่อาจส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในระหว่างการตั้งครรภ์ การทำความเข้าใจภาวะ APS อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้คุณและคู่สมรสสามารถตัดสินใจหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้เป็นไปตามที่คาดหวัง ภาวะ APS คืออะไร? ภาวะ APS (Antiphospholipid Syndrome) คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง โดยการสร้างแอนติบอดีที่โจมตีโปรตีนฟอสโฟลิพิดในร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงมดลูก ทำให้การฝังตัวของตัวอ่อนไม่สำเร็จ หรือเสี่ยงเกิดภาวะแท้งคุกคามได้ การตรวจวินิจฉัยเพื่อวิเคราะห์หาภาวะ APS การวินิจฉัยภาวะ APS มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง การตรวจวินิจฉัยภาวะ APS จะดำเนินการโดยแพทย์ ซึ่งจะพิจารณาจากอาการทางคลินิกและผลการตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาค่า Antiphospholipid Antibodies แอนติบอดีเหล่านี้ ได้แก่ Lupus Anticoagulant (LA) Anticardiolipin Antibody (aCL)  Anti-β2-glycoprotein I Antibody (anti-β2GPI)  หากตรวจพบแอนติบอดีเหล่านี้ในปริมาณที่สูงกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเกิดภาวะ APS ได้ อีกทั้งการตรวจเลือดไม่เพียงแต่ช่วยยืนยันการวินิจฉัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้แพทย์รู้ถึงระดับความรุนแรงและความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง...

ผู้หญิงที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงสามารถตั้งครรภ์ได้หากวางแผนอย่างถูกวิธี

อ้วน ไขมันในเลือดสูง สาเหตุคนไทยมีลูกยากไม่รู้ตัว

ทุกคนคงทราบดีว่า 'ภาวะไขมันในเลือดสูง' เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่นอกจากผลกระทบต่อสุขภาพทั่วไปแล้ว ภาวะนี้ยังส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกายและระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงและผู้ชายอีกด้วย หากคุณกำลังวางแผนตั้งครรภ์หรือเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การรู้จักวิธีควบคุมระดับไขมันในเลือดจะช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ และนำไปสู่การเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์และมีบุตรได้อย่างมีนัยสำคัญ ไขมันในเลือดสูงคืออะไร? ไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) คือ ภาวะที่ระดับไขมันในเลือดสูงเกินปกติ โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด สาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง การขาดการออกกำลังกาย การมีน้ำหนักเกิน การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มาก รวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรมหรือโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน โรคไต หรือไทรอยด์ทำงานต่ำ ซึ่งในทางการแพทย์ ไขมันในเลือดถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ LDL (Low-Density Lipoprotein) : คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือไขมันเลว หากมีปริมาณสูงเกินไป จะสะสมอยู่ในหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงทำให้หลอดเลือดตีบ ซึ่งระดับปกติควรอยู่ที่ไม่เกิน 100 mg/dL HDL (High-Density Lipoprotein) : คอเลสเตอรอลชนิดดีหรือไขมันดี ช่วยนำ LDL กลับไปที่ตับเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ผู้ชายควรมากกว่า 50 mg/dL และผู้หญิงควรมากกว่า 40 mg/dL ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) : ไขมันอีกชนิดที่หากสูงเกินไป ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจได้เช่นกัน ระดับปกติควรอยู่ที่ไม่เกิน 150 mg/dL ผลกระทบของภาวะไขมันในเลือดสูงต่อสุขภาพโดยรวม ในระยะแรก ภาวะไขมันในเลือดสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ในระยะยาว ภาวะนี้ก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญต่อสุขภาพหลายประการ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด : ไขมันที่สูงเกินไปจะไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเกิดขึ้นกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ...

ไม่ตั้งครรภ์ เป็นเพราะไข่ตั้งต้นน้อยจริงหรือไม่

“ฟองไข่ตั้งต้นน้อย” น่ากังวลหรือไม่ ต่อการวางแผนมีบุตร?

“ไข่ตั้งต้นน้อย” คำพูดที่เหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อหลุดออกมาจากปากคุณหมอ หลายคนที่กำลังวางแผนการมีบุตร คงจะรู้สึกตกใจ เสียใจ และกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นปมปัญหาที่อาจทำให้ความฝันเรื่องการมีลูก ดูไกลออกไปกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเลขที่บ่งบอกว่ามีฟองไข่ตั้งต้นน้อย อาจยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเส้นทาง เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ และควรเริ่มต้นจากความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อหาแนวทางฟื้นฟูอย่างเหมาะสม “ไข่ตั้งต้น” คืออะไร และเกี่ยวอะไรกับโอกาสในการตั้งครรภ์? ไข่ตั้งต้น หรือ Antral Follicle Count (AFC) คือจำนวนฟองไข่เล็กในรังไข่ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยอัลตราซาวนด์ ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดปริมาณไข่สำรองในรังไข่ของผู้หญิงแต่ละคน การนับจำนวนฟองไข่นี้ช่วยให้แพทย์เข้าใจถึงสภาพความพร้อมของรังไข่สำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคต ทำไมแพทย์ใช้ตัวเลขนี้ประเมินภาวะเจริญพันธุ์? แพทย์มักใช้ AFC ร่วมกับการตรวจฮอร์โมน AMH (Anti-Mullerian Hormone) เพื่อประเมินภาวะเจริญพันธุ์อย่างแม่นยำ ตัวเลข AFC จะบอกปริมาณฟองไข่ตั้งต้น ขณะที่ AMH ช่วยสะท้อนความสามารถของรังไข่ในการตอบสนองต่อฮอร์โมนกระตุ้น การประเมินสองตัวนี้ร่วมกันช่วยให้แพทย์วางแผนการมีบุตร และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการกระตุ้นไข่หรือเก็บไข่ล่วงหน้าได้ ไข่ตั้งต้นน้อย = โอกาสมีลูกน้อยลง จริงไหม? เมื่อได้ยินคำว่าไข่ตั้งต้นน้อย หลายคนอาจกังวลว่าปริมาณไข่ที่ลดลงจะหมายถึงโอกาสตั้งครรภ์ลดลง แต่ความจริงคือ ไข่ตั้งต้นน้อยบ่งบอกเพียงปริมาณไข่ที่มีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพของไข่ลดลงไปทั้งหมด เพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณภาพของไข่จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อโอกาสตั้งครรภ์มากกว่าแค่จำนวนของไข่ที่ตรวจพบ ปัจจัยที่ทำให้มีฟองไข่ตั้งต้นน้อย หรือลดลง การมีไข่ตั้งต้นน้อยหรือมีปริมาณลดลงกว่าที่ควรจะเป็น อาจเกิดได้จากปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อรังไข่และปริมาณไข่ของผู้หญิง ดังนี้ อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหลักที่ควบคุมไม่ได้ และส่งผลอย่างมากต่อจำนวนและคุณภาพของไข่ (Oocyte, Follicle) ในผู้หญิง โดยจะลดลงตามธรรมชาติ ซึ่งจะเริ่มลดเร็วขึ้นหลังอายุ 30 ปี  และลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเกิน 35 ปี   ภาวะทุพโภชนาการ รับสารอาหารไม่ครบหรือไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสร้างและการพัฒนาของฟองไข่ โดยเฉพาะโปรตีนและวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินดี, สังกะสี...

ชื้อ HPV อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์โดยเพิ่มความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และอาจติดต่อถึงทารกขณะทำคลอด

เชื้อ HPV กับการวางแผนตั้งครรภ์ สำคัญต่อสุขภาพแม่-ทารกยังไง

การวางแผนตั้งครรภ์ไม่ได้หมายถึงเพียงการเลือกเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่รวมถึงการเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับการเป็นแม่ด้วย การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าร่างกายพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรอย่างปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในการตรวจที่สำคัญแต่มักถูกมองข้าม คือ การตรวจหาเชื้อ HPV ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพแม่และลูกได้ ดังนั้นการรู้จักและเข้าใจเรื่องเชื้อ HPV จึงเป็นก้าวแรกของการวางแผนตั้งครรภ์อย่างรอบคอบ 1. เชื้อ HPV คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์อย่างไร 1.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเชื้อ HPV Human Papillomavirus หรือ HPV เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสผิวหนังต่อผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะเพศ การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก และอาจเกิดขึ้นได้แม้ไม่มีการสอดใส่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากไวรัสสามารถถ่ายทอดผ่านการสัมผัสผิวหนังในบริเวณอวัยวะเพศได้  และแม้ว่าเชื้อ HPV จะมีมากกว่า 200 ชนิด แต่มีเพียงประมาณ 40 ชนิดเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มความเสี่ยงต่ำ (Low-risk) ที่อาจทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ (Genital Warts) กลุ่มความเสี่ยงสูง (High-risk) ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเซลล์ที่ผิดปกติและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก สถิติจากงานวิจัยของ Pandey และคณะ (2019) หัวข้อ Infectious Diseases in Obstetrics and Gynecology - Human Papillomavirus (HPV) Infection in Early Pregnancy: Prevalence and Implications ในวารสาร Infectious...

ภาพจำลองของเซลล์ไข่ที่มีคุณภาพไข่สมบูรณ์ พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ

ไข่ใบเล็ก ส่งผลต่อคุณภาพไข่ เสี่ยงเกิดภาวะมีบุตรยาก

หลายคนคงเคยได้ยินว่าคุณภาพไข่ส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ แต่รู้หรือไม่ว่าไข่ใบเล็กอาจเป็นสัญญาณของปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ที่ร้ายแรงกว่าที่คิด สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพไข่ การเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการผลิตไข่จะช่วยให้สามารถวางแผนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรในอนาคตด้วย  6 ปัจจัยชี้วัดคุณภาพไข่ที่คนวางแผนมีบุตรต้องรู้ เซลล์ไข่ (Oocyte) เป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ มีหน้าที่สำคัญในการนำสารพันธุกรรมจากเพศหญิงไปรวมกับอสุจิจากเพศชายเพื่อสร้างตัวอ่อน กล่าวได้ว่า การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเซลล์ไข่มีความสมบูรณ์ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพและความพร้อมของเซลล์ไข่จนนำไปสู่ความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เช่น 1. ระดับฮอร์โมน AMH (Anti-Mullerian Hormone) ฮอร์โมน AMH เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณไข่สำรอง หรือความสามารถในการทำงานของรังไข่โดยรวม ใช้ในการประเมินศักยภาพการสืบพันธุ์ของผู้หญิง ระดับ AMH ที่เหมาะสมบ่งบอกว่ามีจำนวนไข่ในรังไข่มากและมีโอกาสสูงที่จะมีไข่ที่มีคุณภาพดี โดยปกติจะอยู่ที่ 1.0-4.0 ng/mL ในทางกลับกัน ระดับ AMH ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็สามารถบ่งชี้ว่าไข่สำรองมีจำนวนน้อยลงได้เช่นกัน ซึ่งสัมพันธ์กับคุณภาพของไข่ที่ลดลงตามธรรมชาติ การตรวจ AMH สามารถทำได้ตลอดรอบเดือน เนื่องจากระดับฮอร์โมนนี้ไม่ผันผวนเหมือนฮอร์โมนอื่น ๆ 2. ระดับฮอร์โมนอื่นที่เกี่ยวข้อง FSH (Follicle Stimulating Hormone) ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของถุงไข่ (Follicles) LH (Luteinizing Hormone) มีบทบาทสำคัญในการทำให้ไข่สุกเต็มที่และกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ Prolactin และ TSH (Thyroid-Stimulating Hormone) ไม่ใช่ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์โดยตรง แต่หากมีปริมาณสูงเกินไป ก็สามารถรบกวนการทำงานของรังไข่และส่งผลกระทบต่อคุณภาพไข่ได้ 3. การเจริญเติบโตของถุงไข่และฮอร์โมน Estradiol การติดตามการเจริญเติบโตของถุงไข่ด้วยอัลตราซาวนด์ หากถุงไข่มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสที่ไข่จะมีคุณภาพดีสูงขึ้น ส่วน Estradiol เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากถุงไข่ที่กำลังเติบโต บ่งบอกถึงการตอบสนองของรังไข่ต่อการกระตุ้นไข่และช่วยประเมินคุณภาพไข่เบื้องต้นได้ 4. ลักษณะทางกายภาพของเซลล์ไข่ เป็นการประเมินคุณภาพโดยพิจารณาจากรูปร่างภายนอกและการทำงานของเซลล์...

เลี่ยงคลื่นความร้อนจากมือถือที่อาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์

ศึกษาปัจจัยจากมือถือที่ส่งผลต่อคุณภาพอสุจิ พร้อมวิธีป้องกัน

จริงหรือไม่ ? ว่าแค่พกมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงทุกวัน อาจกำลังทำร้าย “คุณภาพอสุจิ” โดยไม่รู้ตัว หลายคนอาจคิดว่ามือถือเป็นเพียงอุปกรณ์สื่อสาร แต่ในความเป็นจริง มือถือสามารถปล่อยทั้งความร้อนและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF‑EMF) ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหว จำนวน รวมถึงความสมบูรณ์ของอสุจิ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่นักวิจัยต้องศึกษาเพิ่มเติม แต่การรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้เรารู้วิธีหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพของอสุจิ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ผลกระทบของคลื่นความร้อนจากมือถือ โทรศัพท์มือถือสร้างความร้อนขณะใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเปิดแอปพลิเคชันหนัก หรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งหากอยู่ใกล้ถุงอัณฑะโดยตรงก็อาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชายได้ เนื่องจากอัณฑะต้องการอุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส เพื่อให้กระบวนการสร้างอสุจิทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการสร้างอสุจิทำงานผิดปกติ อัณฑะเป็นอวัยวะที่ไวต่ออุณหภูมิ หากคลื่นความร้อนจากมือถือทำให้อุณหภูมิถุงอัณฑะสูงขึ้น เซลล์เซอร์โตลีและเซลล์ต้นกำเนิดอสุจิ ซึ่งทำหน้าที่สร้างอสุจิ จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้จำนวนอสุจิลดลงและอาจมีรูปร่างผิดปกติ เช่น หัวไม่สมบูรณ์ หรือหางผิดรูป  ความเคลื่อนไหวของอสุจิลดลง อสุจิที่เคลื่อนไหวช้า หรือจำนวนไม่เพียงพอ มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการปฏิสนธิ เนื่องจากอสุจิจำเป็นต้องเคลื่อนตัวไปที่ไข่ของเพศหญิงเพื่อทำการปฏิสนธิ การที่อุณหภูมิถุงอัณฑะสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะทำให้อสุจิเคลื่อนไหวไม่เต็มที่ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง ผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF‑EMF) คลื่น RF‑EMF (Radio Frequency Electromagnetic Field) คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุที่มือถือใช้ในการสื่อสารข้อมูล เช่น การโทรเข้าออก การใช้อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi ซึ่งงานวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าคลื่นนี้อาจกระทบต่อคุณภาพอสุจิ เช่น ลดจำนวนและคุณภาพอสุจิ คลื่น RF‑EMF สามารถรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์อสุจิ ทำให้จำนวนอสุจิลดลง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการปฏิสนธิ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอสุจิ การเคลื่อนไหวของอสุจิที่ลดลงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ต่ำ โดยพบว่าการสัมผัสคลื่น RF‑EMF ติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน อาจส่งผลให้อสุจิเคลื่อนที่ได้ช้าลง  เพิ่มความเสียหายต่อ DNA อสุจิ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจทำให้เกิด DNA fragmentation หรือความเสียหายต่อสารพันธุกรรมของอสุจิ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพอสุจิลดลง อีกทั้งหาก DNA เกิดความเสียหายรุนแรง...