Inositol คืออะไร? ประโยชน์ต่อสุขภาพและการมีบุตรยาก
หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อของสาร Inositol (อิโนซิทอล) มากนัก แต่สารธรรมชาติชนิดนี้กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) หรือกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ ที่ทำให้ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก และด้วยคุณสมบัติของสาร Inositol ที่มีบทบาทสำคัญต่อการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน การทำงานของรังไข่ และการเผาผลาญพลังงาน เมื่อระบบภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นก็ย่อมส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วยเช่นกัน สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังเตรียมความพร้อมร่างกายสำหรับการมีบุตร การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารสำคัญชนิดนี้ จะช่วยให้เห็นถึงศักยภาพในการนำไปดูแลสุขภาพ และการเพิ่มโอกาสให้กับการตั้งครรภ์ Inositol คืออะไร? Inositol หรืออิโนซิทอล เป็นสารคล้ายวิตามินชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นน้ำตาลวงแหวน พบได้ทั้งในร่างกายและอาหารธรรมชาติ โดยร่างกายจะสามารถสังเคราะห์ Inositol จากกลูโคสได้เอง แต่บางครั้งปริมาณที่ได้อาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีปัญหาฮอร์โมนหรือภาวะมีบุตรยาก Inositol มีหลายรูปแบบ แต่ที่พบมากที่สุดคือ Myo-Inositol (MI) และ D-Chiro-Inositol (DCI) โดยแต่ละรูปแบบมีหน้าที่เฉพาะตัว Myo-Inositol ช่วยเรื่องการส่งสัญญาณอินซูลินและการเจริญของไข่ ส่วน D-Chiro-Inositol ช่วยกระบวนการนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานและการสร้างไกลโคเจน สารนี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึม การทำงานของรังไข่ การสื่อสารของเซลล์ และสุขภาพโดยรวม จึงถูกนำมาใช้ในการปรับสมดุลฮอร์โมนและสนับสนุนการรักษาภาวะมีบุตรยาก ปรึกษาแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยาก เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับการตั้งครรภ์จาก VFC Center ได้ที่นี่ ประโยชน์ของ Inositol ต่อสุขภาพ Inositol มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลหรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพองค์รวม ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและภาวะ PCOS หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ Inositol คือ การช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มี PCOS ซึ่งมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศไม่สมดุลและรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ การรับประทานอิโนซิทอลจะช่วยกระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้รอบเดือนกลับมาปกติและเพิ่มโอกาสการตกไข่ เสริมสุขภาพจิตและลดความวิตกกังวล Inositol มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและสมอง เป็นส่วนประกอบในการส่งสัญญาณของสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน...
ฝากไข่ได้ถึงอายุเท่าไหร่ ? วางแผนก่อน เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
ผู้หญิงหลายคนกำลังให้ความสนใจกับบริการฝากไข่ (Egg Freezing) เพื่อเตรียมพร้อมเรื่องการมีบุตรในอนาคต โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมมีลูกในช่วงวัยทำงานหรือมีความจำเป็นต้องเลื่อนการตั้งครรภ์ออกไป การฝากไข่ถือเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยเก็บเซลล์ไข่ในสภาพดีที่สุดเพื่อนำมาปฏิสนธิในอนาคต อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าควรฝากไข่ตอนอายุเท่าไหร่ดีนั้นไม่ควรปล่อยให้อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอาจส่งผลต่อคุณภาพของไข่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่ควรทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน ทั้งด้านชีววิทยา เทคโนโลยี และความเสี่ยงทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้คุณเห็นถึงขั้นตอน และเข้าสู่กระบวนการเก็บไข่ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและวางแผนการฝากไข่ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกระบวนการฝากไข่ การฝากไข่ (Egg Freezing) หรือการแช่แข็งไข่ คือหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อรักษาภาวะเจริญพันธุ์ในผู้หญิง เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ช่วยเก็บรักษาเซลล์ไข่ที่มีคุณภาพไว้ในสภาพแช่แข็งที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยใช้ไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) เพื่อหยุดการทำงานของเซลล์ ทำให้เซลล์ไข่ไม่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา และสามารถนำไปใช้ผสมกับอสุจิเพื่อสร้างตัวอ่อนที่สมบูรณ์ในอนาคตเมื่อพร้อมที่จะตั้งครรภ์ กระบวนการนี้ไม่ใช่การทำเด็กหลอดแก้วโดยตรง แต่เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถ "ซื้อเวลา" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถโฟกัสกับเรื่องงาน การเรียน หรือการสร้างความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาโรค หรือผู้ที่มีปัญหาฮอร์โมนทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ในอนาคตน้อยลง โดยไม่ต้องกังวลว่าคุณภาพของเซลล์ไข่จะลดลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพไข่ คุณภาพของไข่เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการฝากไข่และการตั้งครรภ์ในอนาคต โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อคุณภาพไข่อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ อายุ : เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุด เพราะเมื่อผู้หญิงอายุเพิ่มขึ้น จำนวนและคุณภาพของเซลล์ไข่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจำนวนเซลล์ไข่ที่มีโครโมโซมผิดปกติจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนหลังอายุ 35 ปี พันธุกรรม : ผู้หญิงบางคนมีภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด หรือมีจำนวนเซลล์ไข่ตั้งแต่กำเนิดน้อยกว่าปกติ ซึ่งสามารถตรวจพบได้จากการตรวจระดับฮอร์โมน AMH พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน : การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณสูง ส่งผลเสียต่อคุณภาพของเซลล์ไข่โดยตรง ภาวะทางการแพทย์และโรคประจำตัว : เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) และโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่...
กระตุ้นไข่ไม่ขึ้น รู้สาเหตุ วิธีแก้ไข เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
การกระตุ้นไข่เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการทำเด็กหลอดแก้ว ทั้งกระบวนการทำ IVF และ ICSI โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ที่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ แต่บางครั้งรังไข่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น หรือไข่ที่ได้ยังไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ ซึ่งหากเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหากระตุ้นไข่ไม่ขึ้น จะช่วยให้คู่แต่งงานสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ รู้จักกระบวนการกระตุ้นไข่ การกระตุ้นไข่คือกระบวนการที่ใช้ยาฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ที่พร้อมสำหรับการทำ IVF หรือ ICSI โดยปกติแล้วผู้หญิงจะมีการตกไข่ในรอบเดือนหนึ่งครั้ง แต่ในกระบวนการทำ IVF หรือ ICSI จะต้องมีการผลิตไข่หลายใบในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยมีวิธีการดังนี้ เริ่มต้นด้วยการให้ยาฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และ LH (Luteinizing Hormone) ผ่านการฉีดหรือรับประทานยา เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ในรังไข่ให้เกิดขึ้นพร้อมกันหลายเซลล์ ในระหว่างนี้แพทย์จะติดตามผลด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจเลือดเป็นระยะ เพื่อดูการตอบสนองของรังไข่และปรับขนาดยาให้เหมาะสม ทำการกระตุ้นไข่อย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 8-12 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคล เมื่อไข่มีขนาดที่เหมาะสมแล้ว แพทย์จะให้ยา hCG (Human Chorionic Gonadotropin) เพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกสมบูรณ์ ก่อนที่จะทำการเก็บไข่ในขั้นตอนถัดไป ภาวะไข่ไม่โตเกิดจากอะไร? การกระตุ้นไข่ไม่ขึ้น หรือรังไข่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการรักษาภาวะมีบุตรยาก สาเหตุหลักมีดังนี้ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ การเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ จำเป็นต้องใช้สารอาหารที่สำคัญ เช่น โปรตีน วิตามิน D โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้าหากร่างกายขาดสารอาหารเหล่านี้ จะส่งผลทำให้ไข่ไม่โตตามที่ควรจะเป็น ดังนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างกระบวนการกระตุ้นไข่ จึงต้องรับประทานอาหารให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ รวมถึงหลีกเลี่ยงการควบคุมน้ำหนักด้วยการอดอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอได้ เซลล์ไข่ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มลภาวะ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียด หรือแม้แต่กระบวนการเมตาบอลิซึม หากมีอนุมูลอิสระสะสมมากเกินไป...
เคล็ดลับนับวันตกไข่ ปฏิทินเจริญพันธุ์เพิ่มโอกาสมีลูกอย่างไร?
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคู่รักพยายามมีบุตรมานานแต่ยังไม่สำเร็จ ทั้งที่ดูแลตัวเองอย่างดี หนึ่งในคำตอบสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้ อาจอยู่ที่การรู้จัก “วันตกไข่” ของตัวเอง เพราะวันตกไข่คือช่วงเวลาที่ร่างกายพร้อมที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ อีกทั้งการนับวันตกไข่อย่างถูกวิธียังเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตร บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับปฏิทินเจริญพันธุ์และวิธีนับวันตกไข่อย่างง่าย เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักสามารถวางแผนมีลูกได้อย่างมั่นใจและเหมาะสมมากขึ้น ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวันตกไข่ วันตกไข่คืออะไร? วันตกไข่หมายถึงช่วงเวลาที่รังไข่ปล่อยไข่ที่สุกแล้วออกมาจากรังไข่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปฏิสนธิ โดยในแต่ละรอบประจำเดือน ผู้หญิงจะมีการตกไข่เพียง 1 ครั้ง และโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วงกลางของรอบเดือน ไข่ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง หากไม่มีการปฏิสนธิจะถูกขจัดออกจากร่างกายในรูปแบบของประจำเดือน รอบประจำเดือนและช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งครรภ์ วงจรประจำเดือนปกติของผู้หญิงจะมีความยาวประมาณ 21-35 วัน โดยเฉลี่ยคือ 28 วัน ซึ่งการตกไข่มักเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 12-16 ของรอบประจำเดือน หรือประมาณ 14 วันก่อนประจำเดือนครั้งต่อไป สำหรับช่วงเวลาที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุดจะอยู่ในช่วง 3 วันก่อนมีประจำเดือน และ 1 วันหลังจากการตกไข่ เนื่องจากสเปิร์มสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายผู้หญิงได้ประมาณ 3-5 วัน สัญญาณและอาการบอกการตกไข่ มีมูกตกขาวใส เหนียวคล้ายไข่ขาวดิบ รู้สึกปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย มีอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อยหลังไข่ตก อารมณ์และความต้องการทางเพศอาจเปลี่ยนแปลง ปฏิทินเจริญพันธุ์ (Fertility Calendar) เครื่องมือสำคัญของคนอยากมีลูก ปฏิทินเจริญพันธุ์คืออะไร และมีข้อดีอย่างไร? ปฏิทินเจริญพันธุ์คือวิธีที่ใช้บันทึกวันแรกของประจำเดือนแต่ละรอบ และช่วยคำนวณช่วงที่มีโอกาสตกไข่ ด้วยการใช้ข้อมูลรอบเดือนย้อนหลัง เพื่อคาดการณ์วันตกไข่ในรอบถัดไป ปฏิทินนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจรูปแบบของรอบประจำเดือนของตัวเอง ทั้งยังช่วยให้วางแผนมีลูกได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลไปปรึกษากับแพทย์เมื่อจำเป็น ข้อดี: นับวันได้ง่าย เหมาะกับทุกคน ควบคุมและวางแผนมีลูกได้อย่างเป็นระบบ รู้จักร่างกายตัวเองมากขึ้น วิธีใช้ปฏิทินเพื่อวางแผนวันตกไข่ การใช้ปฏิทินนับวันไข่ตกเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการบันทึกวันแรกของประจำเดือนเป็นวันที่ 1 ของรอบ จากนั้นติดตามและบันทึกความยาวของรอบประจำเดือนต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อหาความยาวเฉลี่ยของรอบ เมื่อทราบความยาวของรอบแล้ว จะสามารถนับวันไข่ตกได้โดยนับถอยหลัง 14 วันจากวันที่คาดว่าประจำเดือนจะมาครั้งต่อไป เช่น ...
อาหารแปรรูปกับการตั้งครรภ์ ถ้าวางแผนมีลูกควรหลีกเลี่ยงอะไร?
สำหรับคู่แต่งงานที่กำลังวางแผนการมีลูก ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าอาหารการกินมีผลอย่างมากต่อการตั้งครรภ์ จึงพยายามเลือกรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด แต่หลายคนอาจยังมีข้อสงสัยว่าอาหารแปรรูปมีผลทำให้มีลูกยากจริงหรือไม่ แล้วควรเลือกรับประทานอาหารประเภทใดเพื่อช่วยส่งเสริมการตั้งครรภ์ เราจะมาช่วยไขข้อสงสัยกัน อาหารแปรรูปคืออะไร? อาหารแปรรูป (Processed Foods) คืออาหารที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่การแปรรูปขั้นพื้นฐาน เช่น การล้างและตัดรูปร่าง ไปจนถึงการแปรรูปขั้นสูง เช่น การเติมสารเคมีต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงสี กลิ่น รส และอายุการเก็บรักษา ซึ่งอาหารแปรรูปมักมีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และเกลือสูง ซึ่งสามารถส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้ เมื่อเรากินอาหารแปรรูปยังจะทำให้ร่างกายเกิดความไม่สมดุล ทำให้ระบบภายในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะระบบฮอร์โมนซึ่งมีความสำคัญต่อการสืบพันธุ์ อีกทั้งยังจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ต่าง ๆ อาหารแปรรูปกับภาวะตั้งครรภ์ยาก เกี่ยวข้องกันจริงหรือไม่? การมีลูกยากเพราะอาหารแปรรูปนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะอาหารแปรรูปสามารถส่งผลกระทบต่อกลไกของการตั้งครรภ์ได้หลายประการ ดังนี้ ผลต่อฮอร์โมน อาหารแปรรูปมีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ (Trans Fat) และน้ำตาลในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้อาจทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตกไข่ของผู้หญิงและการผลิตอสุจิในผู้ชาย ทำให้การตกไข่ไม่เป็นปกติและคุณภาพของอสุจิลดลง เพิ่มอนุมูลอิสระ อาหารแปรรูปมักมีสารเคมีที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรและสามารถทำลายเซลล์ต่าง ๆ ได้ โดยอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้นมักไปทำลายเซลล์อสุจิหรือไข่ ทำให้โอกาสในการปฏิสนธิและตั้งครรภ์ลดน้อยลง สะสมสารพิษ สารกันบูดและสารเคมีอื่น ๆ ในอาหารแปรรูป มักสะสมในร่างกายเมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงระบบฮอร์โมนของร่างกายเสียสมดุล ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์และการผลิตเซลล์สืบพันธุ์ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง อาหารแปรรูปที่ผู้ต้องการมีลูกควรหลีกเลี่ยง สำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนมีลูก การหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการบริโภคอาหารแปรรูป จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้ เนื้อสัตว์แปรรูป เนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน หมูยอ หมูหย็อง...
9 สารอันตราย สาเหตุภาวะมีบุตรยาก กระทบต่อการตั้งครรภ์
การเผชิญกับสารเคมีที่อยู่รอบตัวเราในชีวิตประจำวันมีผลกระทบที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสารก่อกวนฮอร์โมน (Endocrine Disruptors) ซึ่งมีคุณสมบัติในการรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์และสุขภาพโดยรวม อีกทั้งในหลาย ๆ กรณี สารเหล่านี้ยังอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะมีบุตรยากทั้งในเพศชายและเพศหญิง ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัว สารก่อกวนฮอร์โมน (Endocrine Disruptors) คืออะไร? สารก่อกวนฮอร์โมน หรือ Endocrine Disruptors คือ สารเคมีที่สามารถแทรกแซงการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ซึ่งระบบต่อมไร้ท่อมีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการทำงานของกระบวนการสำคัญต่าง ๆ เช่น การเจริญเติบโต การเผาผลาญอาหาร ระบบสืบพันธุ์ และพฤติกรรมของร่างกาย จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดภาวะมีบุตรยากทั้งในเพศชายและเพศหญิง ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั่วไปได้ในระยะยาว การทำงานของสารก่อกวนฮอร์โมน สารเหล่านี้ทำงานโดยการจับกับตัวรับฮอร์โมน (Hormone Receptors) ทำให้เกิดผลกระทบในร่างกายของผู้ที่ได้รับสาร รวมทั้งอาจส่งผลต่อการสืบทอดในรุ่นถัดไป โดยสารกลุ่มนี้อาจเลียนแบบฮอร์โมนตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดสัญญาณผิดปกติในร่างกายได้ บางกรณี สารก่อกวนอาจยับยั้งการออกฤทธิ์ของฮอร์โมน ทำให้ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนได้ตามปกติ นอกจากนี้ สารบางชนิดยังจะไปรบกวนกระบวนการสังเคราะห์หรือสลายฮอร์โมน ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติอีกด้วย ผลกระทบจากสารก่อกวนฮอร์โมนส่งผลต่อหลายระบบในร่างกาย โดยเฉพาะในระบบสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน และการเผาผลาญ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณ ระยะเวลาที่ได้รับสาร รวมทั้งช่วงวัยที่สัมผัสสาร จึงควรทำความเข้าใจและหลีกเลี่ยงเพื่อลดการเกิดความผิดปกติในร่างกาย สารก่อกวนฮอร์โมนที่ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยาก อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสารก่อกวนฮอร์โมนไม่ได้ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์เท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตทั้งในระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบเผาผลาญด้วย อีกทั้งสารที่มีฤทธิ์รบกวนระบบสืบพันธุ์ยังจะส่งผลทำให้มีบุตรยากได้ โดยเฉพาะสารเหล่านี้ 1. Xenoestrogen สารเคมีสังเคราะห์ที่เลียนแบบฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายมนุษย์ สามารถจับกับตัวรับฮอร์โมนในร่างกายและกระทบกับสมดุลฮอร์โมน พบในพลาสติกบางชนิด เครื่องสำอาง สีทาบ้าน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และยาฆ่าแมลง ทำให้มีบุตรยากได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง เนื่องจากจะไปส่งผลให้คุณภาพไข่และสเปิร์มลดลง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะไข่ไม่ตก โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซีสต์ในรังไข่ และมะเร็งบางชนิด 2. ยาฆ่าแมลงและยาฆ่าวัชพืช สารเคมีที่พบเห็นบ่อยในการทำเกษตรกรรม...
เตรียมพร้อมตั้งครรภ์ด้วยการตรวจฮอร์โมนหญิง AMH และ FSH
การเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ ต้องเริ่มต้นจากการดูแลและการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจฮอร์โมนหญิง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการประเมินความพร้อมของระบบสืบพันธุ์ และช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายถึงความสำคัญของการตรวจฮอร์โมนหญิง รวมถึงวิธีเตรียมตัวที่เหมาะสมก่อนการตั้งครรภ์ การตรวจฮอร์โมนหญิงคืออะไร และทำไมถึงจำเป็น? การตรวจฮอร์โมนหญิง คือ การตรวจระดับฮอร์โมนในร่างกายเพื่อประเมินความสมบูรณ์ของระบบการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะการตรวจค่า FSH และ AMH ซึ่งช่วยประเมินว่ารังไข่และกระบวนการผลิตไข่ทำงานได้ดีหรือไม่ ค่า FSH และ AMH ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความพร้อมในการตั้งครรภ์ อีกทั้งการตรวจฮอร์โมนทั้งสองประเภทนี้ก่อนการตั้งครรภ์ ยังจะช่วยให้คู่รักสามารถทราบถึงสถานะของร่างกาย และช่วยให้สามารถเตรียมตัวให้พร้อมต่อการตั้งได้ดียิ่งขึ้น ค่า FSH (Follicle-Stimulating Hormone) คืออะไร? FSH (Follicle-Stimulating Hormone) คือ ฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Pituitary Gland) มีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิล (Follicle) หรือ ถุงไข่ในรังไข่ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในรอบเดือนของผู้หญิง และจำเป็นต่อการตกไข่ในแต่ละรอบ โดยปกติแล้ว ระดับของ FSH จะเปลี่ยนแปลงตามช่วงของรอบประจำเดือน โดยจะสูงขึ้นในช่วงต้นรอบเดือน (ประมาณวันที่ 2-5) เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ และจะลดลงเมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากพอจากฟอลลิเคิลที่เจริญสมบูรณ์ ความหมายของค่าระดับ FSH ค่า FSH สูงผิดปกติ อาจสะท้อนถึงภาวะที่รังไข่เริ่มเสื่อมสมรรถภาพ หรือเข้าสู่ช่วงใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause) หรือ หมดประจำเดือนก่อนวัย (Premature Ovarian Insufficiency) เพราะร่างกายจะหลั่ง FSH มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ตอบสนอง แต่เมื่อรังไข่ตอบสนองได้น้อย ฮอร์โมน FSH จึงพุ่งสูงขึ้นผิดปกติเพื่อเป็นกลไกชดเชย ตัวอย่างภาวะที่พบค่า FSH สูง ภาวะรังไข่ไม่ทำงาน (Ovarian...



