โรคซึมเศร้ามีลูกได้ไหม ถ้าอยากมีลูกต้องเตรียมตัวอย่างไร?
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของผู้หญิงทุกคน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า อาจเกิดความกังวลว่า "หากเป็นโรคซึมเศร้าแล้วจะมีลูกได้ไหม ?" หรือจะเกิดผลกระทบใดต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกที่เกิดมาบ้าง หากคุณกำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้าและต้องการมีบุตร บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้ากับการตั้งครรภ์ รวมถึงวิธีการเตรียมตัวเพื่อให้คุณแม่และลูกน้อยปลอดภัย โรคซึมเศร้าคืออะไร? เข้าใจความรุนแรงของโรค โรคซึมเศร้าเป็นภาวะผิดปกติทางอารมณ์ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของผู้ป่วย อาการของโรคอาจรวมถึงความเศร้าอย่างต่อเนื่อง ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ รู้สึกหมดหวัง และในบางรายอาจมีความคิดหรือพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเอง อาการที่เสี่ยงโรคซึมเศร้า รู้สึกเศร้าหมองอย่างต่อเนื่อง เกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน หมดความสนใจ หรือไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ นอนหลับผิดปกติ เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป เบื่ออาหารหรือกินมากผิดปกติ น้ำหนักเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง แม้ว่าจะไม่ได้ออกแรงมาก รู้สึกไร้ค่า โทษตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวซ้ำ ๆ มีปัญหาด้านสมาธิ เช่น คิดอะไรไม่ออก ตัดสินใจช้า มีความคิดทำร้ายตัวเอง หรืออยากจบชีวิต รู้สึกกระวนกระวาย หรือเฉื่อยชา มากกว่าปกติ เป็นโรคซึมเศร้ามีลูกได้ไหม? ผลกระทบของโรคต่อการตั้งครรภ์ ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าสามารถมีลูกได้ แต่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เฉพาะทางตลอดกระบวนการตั้งครรภ์ (ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการตั้งครรภ์) โรคซึมเศร้าส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์อย่างไร? โรคซึมเศร้าอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในหลายด้านดังนี้ ผลต่อฮอร์โมน : ภาวะซึมเศร้าอาจส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนไม่สมดุล ในผู้หญิง : รอบเดือนอาจผิดปกติ หรือมีปัญหาในการตกไข่ ในผู้ชาย : คุณภาพของอสุจิลดลง ผลต่อพฤติกรรม : ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าอาจมีพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล หรือขาดการออกกำลังกาย ผลจากยารักษา : ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าอาจมีผลต่อทารกในครรภ์...
วางแผนมีบุตร อย่าละเลยการตรวจอสุจิ เพื่อประเมินคุณภาพ
ปัญหาการมีบุตรยาก สาเหตุของปัญหาสามารถเกิดได้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย โดยในกรณีของฝ่ายชาย หนึ่งในการตรวจเพื่อให้รู้ถึงสาเหตุที่ชัดเจนคือ การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ หรือที่หลายคนเรียกว่าการตรวจสเปิร์ม เพื่อประเมินคุณภาพและปริมาณของอสุจิ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการตั้งครรภ์และการเจริญพันธุ์ การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิคืออะไร? การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ (Semen Analysis) เป็นการตรวจสเปิร์มในห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินคุณสมบัติของน้ำอสุจิที่ได้จากการหลั่ง ซึ่งจะตรวจสอบในหลายปัจจัย เช่น ปริมาณ ความหนืด การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ รูปร่างของอสุจิ และค่า pH เพื่อให้ทราบถึงภาวะเจริญพันธุ์ว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ โดยผลตรวจสามารถใช้วางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยากได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ 1. การเตรียมตัวก่อนตรวจ การเตรียมตัวก่อนการตรวจอสุจิคือขั้นตอนแรก เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำและเป็นประโยชน์ที่สุด ซึ่งการเตรียมตัวที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการหลั่งน้ำอสุจิในระยะเวลาอย่างน้อย 2-3 วัน ก่อนการเก็บตัวอย่าง แต่ไม่ควรเกิน 7 วัน เพื่อให้ปริมาณน้ำอสุจิที่เก็บได้มีความเข้มข้นสูง ซึ่งจะทำให้การตรวจคัดกรองน้ำอสุจิมีความแม่นยำมากขึ้น 2. การเก็บตัวอย่าง การเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิมักทำในห้องปฏิบัติการที่มีความเป็นส่วนตัวและเหมาะสมสำหรับการเก็บตัวอย่างในสภาวะแวดล้อมที่ควบคุมได้ เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่ถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งหากฝ่ายชายไม่สามารถเก็บอสุจิได้ด้วยวิธีธรรมชาติ แพทย์จะพิจารณาการเก็บอสุจิจากลูกอัณฑะด้วยการผ่าตัด (Surgical Sperm Retrieval : SSR) ซึ่งเป็นการใช้เข็มดูดที่บริเวณท่อนำอสุจิส่วนต้นหรืออัณฑะ โดยอาจมีการเปิดแผลขนาดเล็ก ร่วมกับการใช้กล้องจุลทรรศน์ซึ่งแล้วแต่กรณี 3. การวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ หลังจากเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิแล้ว ตัวอย่างจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการตรวจวิเคราะห์ เพื่อประเมินคุณภาพของน้ำอสุจิและวินิจฉัยภาวะการมีบุตรยากในผู้ชาย การแปลผลการตรวจอสุจิ การแปลผลจากการตรวจอสุจิ มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยจะพิจารณาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิสนธิและความสามารถในการตั้งครรภ์ ดังนี้ ปริมาณน้ำอสุจิ (Volume): เป็นการประเมินปริมาณของน้ำอสุจิที่หลั่งออกมา โดยปริมาณอสุจิปกติที่เหมาะสม คือประมาณ 1.5 มิลลิลิตรขึ้นไป ความเข้มข้นของอสุจิ (Concentration): เป็นการตรวจวัดจำนวนตัวอสุจิที่มีอยู่ในน้ำอสุจิ ซึ่งควรมีอัตราที่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านตัวอสุจิต่อมิลลิลิตร การเคลื่อนไหวของอสุจิ (Motility): อสุจิที่เคลื่อนไหวได้ดีจะสามารถเข้าไปถึงไข่และปฏิสนธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องการตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวได้ดีอย่างน้อย 40% ของทั้งหมด ...
ก่อนท้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง? 8 วัคซีนจำเป็นของหญิงตั้งครรภ์
การวางแผนตั้งครรภ์อย่างรอบคอบ ไม่ได้มีแค่การดูแลเรื่องอาหารการกินหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ “การฉีดวัคซีน” เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันให้คุณแม่และลูกน้อยห่างไกลจากโรคร้าย อีกทั้งวัคซีนบางชนิดยังสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในระหว่างการตั้งครรภ์ รวมถึงลดความเสี่ยงที่ทารกจะมีความผิดปกติแต่กำเนิดได้อีกด้วย การเตรียมความพร้อมด้วยการฉีดวัคซีนก่อนหรือระหว่างตั้งครรภ์ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยส่งต่อสุขภาพดีจากแม่สู่ลูก วัคซีนที่ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์ ก่อนท้องต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ? ถือเป็นคำถามยอดนิยมที่คู่สามีภรรยาส่วนใหญ่สงสัย เพราะการเตรียมร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ คือหัวใจสำคัญในการเตรียมพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ อีกทั้งคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง ย่อมมีโอกาสให้กำเนิดทารกที่สมบูรณ์ตามไปด้วย ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้น ก่อนตั้งครรภ์ ฝ่ายหญิงควรฉีดวัคซีนเหล่านี้ให้ครบ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา 1. วัคซีนป้องกันหัด คางทูม หัดเยอรมัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัคซีน MMR ฉีดเพียง 1 เข็ม แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้ถึง 3 ชนิด ได้แก่ หัด (Measles), คางทูม (Mumps) และหัดเยอรมัน (Rubella) ซึ่งการติดเชื้อหัดเยอรมันในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสแรก มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ทารกเกิดภาวะพิการแต่กำเนิด เช่น ความผิดปกติของหัวใจ สมอง ตา และหู รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะแท้ง จึงควรได้รับวัคซีนชนิดนี้ก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน 2. วัคซีนโรคอีสุกอีใส วัคซีนโรคอีสุกอีใสต้องฉีด 2 เข็มและฉีดห่างกัน 1 เดือน ถือเป็นอีกหนึ่งวัคซีนที่สำคัญสำหรับผู้ที่เตรียมตัวตั้งครรภ์ เพราะการติดเชื้ออีสุกอีใสระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้าย มีความเสี่ยงทำให้ทารกเกิดกลุ่มอาการ Congenital Varicella Syndrome ซึ่งอาจก่อให้เกิดความพิการ เช่น แขนขาหดสั้น ผิวหนังเป็นแผลผิดปกติ จอประสาทตาอักเสบ ตาบอดสี และปัญหาพัฒนาการทางสมอง...
เคล็ดลับวางแผนตั้งครรภ์ทันปีมะเมีย พร้อมฤกษ์คลอดเสริมดวง
สำหรับคู่แต่งงานที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการทำ ICSI โดยต้องการตั้งครรภ์ให้สำเร็จ และมีฤกษ์คลอดภายในปี 2569 เรามีกรอบระยะเวลา เพื่อช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนในขั้นตอนต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม พร้อมกำหนดการคลอดที่ช่วยเสริมดวงและสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ลูกน้อยมาแนะนำกัน กรอบระยะเวลาที่ควรรู้ หากต้องการคลอดลูกในปีมะเมีย 2569 การตั้งครรภ์โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 38-40 สัปดาห์ หรือราว 9 เดือน ดังนั้นการวางแผนล่วงหน้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคู่สมรสที่เลือกใช้เทคนิค ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ต้องผ่านหลายขั้นตอน ซึ่งมีกรอบเวลาแนะนำ ดังนี้ มี.ค. - ก.ค. 2568 เริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ โดยจะเป็นขั้นตอนการตรวจสุขภาพทั่วไปและประเมินภาวะการเจริญพันธุ์ รวมทั้งดูถึงฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อวางแผนการทำ ICSI หรือ IVF ที่เหมาะสม ก.ค. - ก.ย. 2568 ในช่วงเวลานี้จะเริ่มกระบวนการกระตุ้นไข่ เพื่อให้ได้ไข่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ และมีจำนวนพอเพียง หลังจากนั้นจะทำการเก็บไข่ในช่วงเวลาที่ร่างกายของฝ่ายหญิงมีความพร้อมที่สุด รวมถึงเก็บอสุจิจากฝ่ายชาย เพื่อใช้ในกระบวนการทำ IVF หรือ ICSI ต่อไป ก.ย. - พ.ย. 2568 เมื่อตัวอ่อนที่ได้จากการผสมไข่และอสุจิในห้องปฏิบัติการ เจริญเติบโตตามระยะเวลาที่เหมาะสม จะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก (Embryo Transfer) โดยจะตั้งเป้าหมายให้การตั้งครรภ์เกิดขึ้นภายในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งจะทำให้คลอดทันฤกษ์ดีในปี 2569 สำหรับผู้ที่ต้องการให้ลูกเกิดใน ปีมะเมีย (ตามปฏิทินจีน โดยประมาณช่วง 17 กุมภาพันธ์ 2569 – กุมภาพันธ์...
เป็นโรคพุ่มพวง (SLE) ส่งผลต่อโอกาสการตั้งครรภ์ไหม?
โรคพุ่มพวง (SLE) คือโรคภูมิแพ้ตัวเองที่ส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย ซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพุ่มพวง อาจกังวลว่าโรคนี้จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์และอาจทำให้ลูกน้อยที่เกิดมาไม่แข็งแรงไปด้วย แต่ความจริงแล้ว แม้โรคพุ่มพวงจะเพิ่มความเสี่ยงบางประการระหว่างการตั้งครรภ์ แต่หากมีการวางแผนที่ดี ควบคู่ไปกับการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยโรคพุ่มพวงส่วนใหญ่ก็สามารถตั้งครรภ์และมีบุตรที่แข็งแรงได้ โรคพุ่มพวงคืออะไร? โรคพุ่มพวง หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Systemic Lupus Erythematosus (SLE) เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองชนิดหนึ่ง ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันปกติจะทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้กลับโจมตีเนื้อเยื่อของตนเอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบและความเสียหายในระบบอวัยวะ อาทิ ผิวหนัง ข้อต่อ ไต หัวใจ และระบบประสาท สาเหตุของการเกิดโรคพุ่มพวง ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีการคาดการณ์กันว่า เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมน (โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง) และสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดดหรือการติดเชื้อบางชนิด ที่อาจมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นทำให้เกิดโรค สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่พบได้บ่อย ได้แก่ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์อายุระหว่าง 15-45 ปี ซึ่งพบโรคนี้ได้บ่อยกว่าผู้ชายหลายเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดอื่น เช่น โรครูมาตอยด์ หรือโรคสะเก็ดเงิน โรคพุ่มพวงมีลักษณะเฉพาะ คือสามารถส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกายพร้อมกัน และมีรูปแบบของอาการที่หลากหลาย ทำให้การวินิจฉัยต้องอาศัยการประเมินทางคลินิกและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกัน โรคพุ่มพวง มีอาการอย่างไร? อาการทางผิวหนัง เช่น มีผื่นแดงรูปปีกผีเสื้อบริเวณแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของโรคนี้ อาการทางระบบข้อและกล้ามเนื้อ เช่น ปวดข้อ ข้อบวม หรือข้อติดขัดโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายถาวรที่ข้อ อาการที่เกิดจากผลกระทบต่อระบบอวัยวะภายใน ได้แก่ ไตอักเสบ (Lupus Nephritis) ที่อาจนำไปสู่ภาวะไตวาย หัวใจอักเสบ และปอดอักเสบ อาการทางระบบเลือดและภูมิคุ้มกัน เช่น ภาวะโลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด เนื้อเยื่อหรือเส้นเลือดเกิดการหดตัวเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็น ปัจจัยกระตุ้นการกำเริบของโรค ...
ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 13, 18 และ 21 เกิดจากอะไร?
แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนล้วนปรารถนาให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่น ภาวะโครโมโซมผิดปกติ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ รวมถึงอาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กในอนาคต การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครโมโซมและการตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจและเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มารู้จักกันก่อน โครโมโซมคืออะไร? โครโมโซม (Chromosome) คือ หน่วยพันธุกรรมที่ประกอบไปด้วย DNA และโปรตีน ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยปกติจะมีโครโมโซม 46 แท่งหรือ 23 คู่ โดยได้รับมาจากพ่อและแม่อย่างละครึ่ง บทบาทของโครโมโซมที่ส่งผลต่อมนุษย์ ลักษณะทางพันธุกรรม ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก เช่น สีผม สีผิว สีตา ไปจนถึงความสูงและเพศ การควบคุมการทำงานของเซลล์ ไปจนถึงการควบคุมการแบ่งเซลล์ในร่างกายของเรา กำหนดเพศ โดยจะกำหนดว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง โดยผู้หญิงจะมีโครโมโซม XX แต่ผู้ชายมีโครโมโซม XY ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยจะอยู่ในทุก ๆ เซลล์ของร่างกาย โครโมโซมมีความสำคัญอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ เพราะเป็นหน่วยที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรม และช่วยให้เติบโตและมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ แต่ถ้าหากโครโมโซมผิดปกติ เช่น มีโครโมโซมเกิน (Trisomy) หรือขาดหายไป (Monosomy) อาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครโมโซมคู่ที่ 13, 18 และ 21 ซึ่งความผิดปกติของโครโมโซมเหล่านี้มักส่งผลให้เกิดกลุ่มอาการที่รุนแรงและอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ ภาวะผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 13, 18 และ 21 โครโมโซมที่เกินหรือขาดไปแม้แต่เพียง 1 แท่งก็ส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 13, 18 และ 21 ทำให้มีการเจริญเติบโตที่ไม่สมบูรณ์หรือผิดปกติ...
กรดโฟลิกกับการตั้งครรภ์ : ประโยชน์ที่คุณแม่ต้องรู้
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ ซึ่งหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทต่อสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของทารกในครรภ์ก็คือ กรดโฟลิก (Folic Acid) อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า กรดโฟลิกคืออะไร และมีความจำเป็นต่อการตั้งครรภ์เพียงใด เพื่อช่วยให้คุณแม่ดูแลสุขภาพของตนเองและลูกน้อย เราจะพาไปทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของสารอาหารชนิดนี้ ว่าหากได้รับอย่างเพียงพอจะส่งผลต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง กรดโฟลิกคืออะไร? กรดโฟลิก (Folic Acid) คือสารอาหารในกลุ่มวิตามินบี หรือที่เรียกว่า วิตามินบี 9 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์ระบบประสาท กรดโฟลิกจำเป็นต่อการทำงานของ DNA และ RNA รวมถึงมีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์และการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย กรดโฟลิกมีประโยชน์ต่อคุณแม่และทารกในครรภ์อย่างไร ? ประโยชน์ต่อทารกในครรภ์ กรดโฟลิกเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทและสมองของทารก โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นระยะที่เซลล์ต่าง ๆ กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การได้รับกรดโฟลิกในปริมาณที่เพียงพอจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะผิดปกติแต่กำเนิดได้ เช่น ป้องกันและลดความผิดปกติของระบบประสาท ทั้งภาวะไม่มีเนื้อสมอง ภาวะไขสันหลังไม่ปิดจากการขาดโฟลิก ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดของทารก ลดโอกาสเกิดความผิดปกติของแขนขา ทำให้พัฒนาการด้านโครงสร้างร่างกายเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ป้องกันการเกิดปากแหว่งเพดานโหว่ได้ประมาณ 1 ใน 3 ของกรณีที่เกิดขึ้น ช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ และโรคไม่มีรูทวารหนัก (Imperforate Anus) ประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากประโยชน์ต่อทารกแล้ว กรดโฟลิกยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วย ลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจาง โดยทำงานร่วมกับธาตุเหล็กในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะแท้งบุตร และภาวะครรภ์เป็นพิษ ช่วยให้รกทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งเสริมการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปสู่ทารก สนับสนุนการเจริญเติบโตของมดลูก ให้สามารถขยายตัวรองรับทารกที่กำลังเติบโต ปริมาณวิตามินโฟลิกแบบเม็ดที่ควรรับประทาน เพื่อประโยชน์ต่อการตั้งครรภ์ การได้รับกรดโฟลิกในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยคำแนะนำในการรับประทานกรดโฟลิกมีดังนี้ หญิงตั้งครรภ์ทั่วไป : ควรได้รับกรดโฟลิกอย่างน้อย 0.4 มิลลิกรัม (400...