ทำ ICSI แต่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์ การย้ายตัวอ่อน FET คือคำตอบ
เมื่อพูดถึงกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก อย่างการทำ ICSI หรือ IVF หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ คือการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง โดยทั่วไปจะมีการย้ายตัวอ่อนสด (Fresh Transfer) ในรอบเดียวกับที่มีการกระตุ้นไข่ แต่ในปัจจุบันมีอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ การย้ายตัวอ่อนแช่แข็ง หรือ Frozen Embryo Transfer (FET) ซึ่งการเลือกแช่แข็งตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีไว้ก่อน แล้วค่อยทำการย้ายในเวลาที่เหมาะสม สามารถช่วยลดภาวะความเสี่ยงบางประการ และยังเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ทำความรู้จักกับกระบวนการ Frozen Embryo Transfer (FET) Frozen Embryo Transfer หรือ FET คือ กระบวนการย้ายตัวอ่อนที่ได้จากการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการและนำไปแช่แข็งไว้ด้วยวิธีการแช่แข็งแบบผลึกแก้วหรือ Vitrification โดยนำตัวอ่อนแช่แข็งที่อยู่ในระยะ Blastocyst มาผ่านกระบวนการละลาย (Thawing) แล้วย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง กระบวนการนี้แตกต่างจากการย้ายตัวอ่อนรอบสดตรงที่ไม่จำเป็นต้องทำในรอบเดียวกับการกระตุ้นไข่และเก็บไข่ สามารถเลือกทำในช่วงเวลาที่ร่างกายพร้อมหรือคู่สมรสสะดวกได้ และมีอัตราประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูงกว่าการย้ายตัวอ่อนในรอบสด ขั้นตอนการย้ายตัวอ่อนแช่แข็ง การตรวจร่างกายและเยื่อบุโพรงมดลูก : ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนของฝ่ายหญิง รวมทั้งตรวจความหนาและความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกด้วยการอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด การละลายตัวอ่อน : ตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งด้วยวิธี Vitrification จะถูกนำมาละลายด้วยการดึงสารป้องกันการแช่แข็งออกแล้วใส่น้ำกลับไปแทนที่ เพื่อป้องกันเซลล์ได้รับความเสียหาย โดยอุณหภูมิจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดจากอุณหภูมิห้องไปถึงอุณหภูมิร่างกาย (37 องศาเซลเซียส) ใช้เวลา 20-30 นาที การย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก : ตัวอ่อนที่ละลายแล้วจะถูกนำไปประเมินคุณภาพอีกครั้ง จากนั้นแพทย์จะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกโดยการใช้เครื่องมือเฉพาะ เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวกับผนังมดลูกและเกิดการตั้งครรภ์ การพักฟื้นหลังย้ายตัวอ่อน : หลังย้ายตัวอ่อนเสร็จ ฝ่ายหญิงควรพักฟื้นที่สถานพยาบาล 1-2...
วางแผนมีบุตรด้วยการตรวจพันธุกรรม ก้าวแรกสู่ครอบครัวสุขภาพดี
การวางแผนมีบุตรในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องสุขภาพร่างกายหรือช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกต่อไป หากแต่ยังครอบคลุมถึง “การตรวจพันธุกรรม” หรือที่เรียกกันว่า “การตรวจยีน” ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่คู่รักควรให้ความสำคัญก่อนเริ่มต้นตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในยุคที่โรคทางพันธุกรรมสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายของพ่อแม่โดยไม่แสดงอาการใด ๆ การตรวจยีนจึงเป็นการวางแผนล่วงหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกน้อยเกิดมาด้วยสุขภาพที่แข็งแรงและสมบูรณ์ การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์คืออะไร? การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์ คือการตรวจหาความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซมที่อาจแฝงอยู่ในร่างกายของพ่อแม่ แม้จะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป้าหมายหลักคือการประเมินความเสี่ยงในการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมสู่ลูก และช่วยให้สามารถวางแผนหรือเลือกแนวทางการตั้งครรภ์ที่เหมาะสมได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตัวอย่างโรคที่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจยีน หรือโครโมโซม ยีนผิดปกติที่ก่อให้เกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย, โรคซิสติกไฟโบรซิส, โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ความผิดปกติของโครโมโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม หรือ เอ็ดเวิร์ดซินโดรม ความเสี่ยงโรคหายากที่พ่อแม่ไม่มีอาการแต่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ทำไมการตรวจยีนก่อนตั้งครรภ์ถึงสำคัญสำหรับคู่รัก? สำหรับคู่รักที่วางแผนมีลูก การตรวจยีนให้มากกว่าการ “รู้ความเสี่ยง” เพราะยังเป็นการเปิดโอกาสให้ครอบครัวได้เริ่มต้นอย่างมั่นใจ พร้อมข้อดีที่หลากหลาย เช่น ป้องกันการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม : หากพบยีนผิดปกติทั้งพ่อและแม่ แพทย์สามารถให้คำแนะนำและเสนอทางเลือก เช่น การทำ IVF ร่วมกับการคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อน (PGT-A)และ การตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมแบบยีนเดี่ยวในตัวอ่อน (PGT-M) เพื่อหลีกเลี่ยงตัวอ่อนที่มียีนผิดปกติ วางแผนครอบครัวได้อย่างรอบคอบ : การรู้ล่วงหน้าจะช่วยให้มีเวลาเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ลดความกังวลใจของคู่รัก : คู่รักจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนเริ่มตั้งครรภ์ เป็นประโยชน์สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก : โดยเฉพาะคู่รักที่ต้องพึ่งเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์เพื่อช่วยให้มีบุตร เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และ อิ๊กซี่ (ICSI) ใครควรเข้ารับการตรวจยีนและตรวจก่อนตั้งครรภ์? แม้การตรวจพันธุกรรมก่อนตั้งครรภ์จะเหมาะกับทุกคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร แต่กลุ่มดังนี้ควรพิจารณาเป็นพิเศษ กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจยีน คู่รักที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคพันธุกรรม ผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี หรือผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี เคยแท้งบุตรโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเคยมีลูกที่มีความผิดปกติ ...
อยากมีบุตรต้องเลี่ยง! แอลกอฮอล์มีผลต่ออสุจิอย่างไร?
ปัจจุบันภาวะมีบุตรยากได้กลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากขึ้น ทำให้คู่รักต่างหาคำตอบว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้มีลูกยาก โดยหนึ่งในปัจจัยที่หลายคนอาจไม่รู้และมักถูกมองข้ามไปก็คือ ‘การดื่มแอลกอฮอล์’ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการมีบุตรของผู้ชายได้อย่างมาก แอลกอฮอล์มีผลต่ออสุจิอย่างไร? “ดื่มเหล้า มีผลกับอสุจิไหม ?” อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า “มี” และอาจมีผลกระทบมากกว่าที่หลายคนคาดคิด เนื่องจากการดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการสร้างอสุจิใหม่ที่เกิดขึ้นในอัณฑะ โดยเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาประมาณ 74 วัน และแอลกอฮอล์สามารถส่งผลกระทบได้ในทุกขั้นตอนของการสร้างอสุจิ ทำให้อสุจิที่ผลิตออกมาใหม่มีคุณภาพลดลง ดังนี้ 1. จำนวนอสุจิลดลง (Oligospermia) แอลกอฮอล์จะเข้าไปขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ช่วยในการผลิตอสุจิ หากระดับฮอร์โมนนี้ลดลง กระบวนการสร้างอสุจิก็จะถูกหยุดชะงักหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้จำนวนอสุจิที่ผลิตออกมาไม่เพียงพอต่อการตั้งครรภ์ 2. ความเคลื่อนไหวของอสุจิลดลง (Asthenospermia) เพื่อให้การตั้งครรภ์เกิดขึ้น อสุจิต้องสามารถเคลื่อนที่ไปถึงไข่และปฏิสนธิกันได้ แต่หากอสุจิเคลื่อนไหวได้ช้าลง หรือเคลื่อนที่ไม่ตรงทิศทาง โอกาสที่อสุจิจะไปถึงไข่และทำการปฏิสนธิก็จะลดลงอย่างมาก ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้ระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของอสุจิถูกขัดขวาง ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของอสุจิไม่ราบรื่น หรือไม่สามารถวิ่งไปยังไข่ได้ตามปกติ 3. รูปร่างอสุจิผิดปกติ (Teratospermia) การดื่มแอลกอฮอล์สามารถส่งผลต่อรูปร่าง ทำให้อสุจิไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยอสุจิที่มีรูปร่างผิดปกติ เช่น หัวอสุจิที่มีขนาดใหญ่เกินไป หรือปลายหางที่สั้นเกินไป จะไม่สามารถฝ่ากลไกของไข่ในการปฏิสนธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ แอลกอฮอล์มีผลต่อสมรรถภาพอย่างไร? ผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชายไม่ได้จำกัดเพียงแค่คุณภาพอสุจิ แต่ยังรวมถึงสมรรถภาพทางเพศและความสามารถในการมีบุตร ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อฮอร์โมน ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้ระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดลดลง ซึ่งเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมการสร้างอสุจิและรักษาสมรรถภาพทางเพศ เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ลดลง จึงส่งผลโดยตรงต่อการสร้างอสุจิและสมรรถภาพทางเพศ ฮอร์โมน LH และ FSH แอลกอฮอล์จะเข้าไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) และ Follicle Stimulating Hormone (FSH) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองประเภทมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของอัณฑะและกระบวนการสร้างอสุจิ ฮอร์โมนเอสโตรเจน การดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มระดับเอสโตรเจนในผู้ชาย ซึ่งเมื่อระดับเอสโตรเจนในผู้ชายสูงขึ้น อาจทำให้การผลิตอสุจิลดลงและยังส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศได้ 2. ผลกระทบต่อประสิทธิภาพทางเพศ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ แอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดและระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งจะทำให้อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวได้อย่างเต็มที่ (Erectile...
สูบบุหรี่ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง ส่งผลต่อการมีลูกจริงหรือไม่?
สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าการสูบบุหรี่จะทำให้อสุจิไม่แข็งแรง และส่งผลให้มีลูกยาก เป็นเรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อผิด ๆ เพื่อเป็นการไขข้อสงสัย เราจะมาสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของการสูบบุหรี่ เพื่อช่วยให้คุณและคู่รักสามารถวางแผนป้องกัน พร้อมกับดูแลสุขภาพ เพื่อเตรียมตัวมีบุตรได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ผู้ชายสูบบุหรี่มีลูกยากจริงหรือไม่ เพราะอะไร? การสูบบุหรี่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของอสุจิ และอาจนำไปสู่ภาวะการมีบุตรยาก ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ สารพิษในบุหรี่ นอกจากสารนิโคตินแล้ว ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากกว่า 4,000 กว่าชนิด ซึ่งจะเข้าไปทำลายเซลล์อสุจิ รวมถึงลดจำนวนและความสามารถในการเคลื่อนไหวของอสุจิ เพิ่มระดับอนุมูลอิสระ (Oxidative Stress) ในร่างกาย การสูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน จะทำให้สารเคมีเกิดการสะสมในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้ DNA ของอสุจิเสียหาย จนอสุจิไม่แข็งแรง ส่งผลให้โอกาสในการปฏิสนธิน้อยลง กระทบต่อฮอร์โมนเพศชาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อการผลิตอสุจิและสมรรถภาพทางเพศ เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศลดลง ส่งผลต่อการทำงานของอัณฑะในการผลิตอสุจิ รู้ได้อย่างไรว่าอสุจิของคนที่สูบบุหรี่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้มีลูกยาก? หากต้องการรู้ว่าอสุจิของคนที่สูบบุหรี่ไม่มีคุณภาพ และส่งผลให้เกิดภาวะการมีบุตรยากจริงหรือไม่ สามารถทำได้ด้วยการตรวจวิเคราะห์น้ำเชื้ออย่างละเอียด ซึ่งเรียกว่า Semen Analysis (SA) โดยจะเป็นการตรวจวัดปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณของอสุจิ การตรวจนับจำนวนอสุจิในน้ำเชื้อ เป็นตัวชี้วัดคุณภาพพื้นฐานของอสุจิ โดยปกติแล้วในน้ำเชื้อ 1 มิลลิลิตร ควรมีอสุจิอย่างน้อย 15 ล้านตัว หากพบว่าจำนวนอสุจิต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการผลิตอสุจิ ที่จะส่งผลกระทบต่อการมีบุตรได้ ปริมาตรของอสุจิ ในส่วนของปริมาตรอสุจิที่มีคุณภาพนั้น ต้องมีประมาณ 2-6 มิลลิลิตร ต่อการหลั่งอสุจิหนึ่งครั้ง แต่ถ้าน้อยกว่า 1.5 มิลลิลิตร อาจเป็นสัญญาณของภาวะมีบุตรยาก อันเนื่องมาจากความบกพร่องของอัณฑะหรือท่อนำอสุจิ การเคลื่อนไหวของอสุจิ ลักษณะการเคลื่อนไหวของอสุจิ เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดคุณภาพที่สำคัญ โดยอสุจิที่แข็งแรงจะต้องเคลื่อนที่ได้รวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถเดินทางผ่านระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงและไปถึงไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปร่างของอสุจิ สำหรับรูปร่างของอสุจิที่มีคุณภาพ...
วิตามินดีช่วยอะไร? สำคัญอย่างไรกับการตั้งครรภ์?
วิตามินดีเป็นวิตามินที่หลายคนมักมองข้ามไป แม้ว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ ทั้งในการช่วยดูดซับแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหาร ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง อีกทั้งยังมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ทั้งในเรื่องของการปรับปรุงคุณภาพไข่และสเปิร์ม จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ที่สำคัญการได้รับวิตามินดีของหญิงตั้งครรภ์ ยังจะช่วยสนับสนุนระบบสืบพันธุ์และช่วยให้สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างสมบูรณ์ วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยอะไรบ้าง ประโยชน์ที่คุณควรรู้ วิตามินดีมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน ซึ่งแต่ละด้านล้วนมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและการเตรียมความพร้อมสำหรับการมีบุตร ไม่ว่าจะเป็น สำหรับกระดูกและฟัน วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันภาวะกระดูกพรุน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินดีทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบป้องกันโรค ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ไม่ให้มีปฏิกิริยาแพ้มากเกินไป ระบบสืบพันธุ์ เป็นด้านที่หลายคนยังไม่รู้จักประโยชน์ของวิตามินดี โดยวิตามินดีสามารถปรับปรุงคุณภาพไข่และสเปิร์ม ช่วยในการรักษาสมดุลฮอร์โมนทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ส่งผลให้เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้สำเร็จ เสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด วิตามินดีช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดช่วงการตั้งครรภ์ อารมณ์และจิตใจ การขาดวิตามินดีมีความเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรือในผู้ที่ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ การมีระดับวิตามินดีที่เพียงพอจะช่วยปรับปรุงอารมณ์และสุขภาพจิตได้ วิตามินดีได้จากอะไรบ้าง ? แหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติใกล้ตัว การหาแหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติไม่ใช่เรื่องยาก หากเรารู้จักแหล่งที่ถูกต้องและวิธีการรับประทานที่เหมาะสม แสงแดด ถือเป็นแหล่งวิตามินดีที่สำคัญที่สุดและเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยร่างกายจะสร้างวิตามินดีขึ้นเองเมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด แต่ไม่ควรตากแดดนานเกินไป เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากรังสียูวีได้ อาหารทะเล โดยเฉพาะปลาน้ำลึกอย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีมาก และนอกจากจะได้วิตามินดีแล้ว ยังได้โอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อสมองและหัวใจอีกด้วย เห็ด โดยเฉพาะเห็ดชิตาเกะและเห็ดที่ได้รับแสงแดดในระหว่างการเพาะปลูก จะมีปริมาณวิตามินดีสูง และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติอีกด้วย ไข่แดง เป็นแหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติที่หาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะไข่จากไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยให้ได้รับแสงแดดตามธรรมชาติ จะมีปริมาณวิตามินดีสูงกว่าไข่จากไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือน รู้ครบเรื่องวิตามินดี สำหรับหญิงตั้งครรภ์ วิตามินดีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในการสร้างกระดูกและฟันของทารก หากแม่ขาดวิตามินดี ทารกอาจเกิดปัญหากระดูกอ่อนหรือมีความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตในภายหลังได้ นอกจากนี้ การได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอยังจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ...
CoQ10 กับประโยชน์ด้านการฟื้นฟูคุณภาพอสุจิ
การวางแผนมีบุตรในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่สุขภาพของผู้หญิงที่ต้องสมบูรณ์พร้อมเท่านั้น แต่สุขภาพของฝ่ายชายก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะคุณภาพของอสุจิซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ สำหรับคุณผู้ชายที่กำลังเตรียมตัวเก็บอสุจิเพื่อวางแผนครอบครัวในอนาคต หรือกำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย และหนึ่งในสารอาหารที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากที่ต้องพูดถึงก็คือ Coenzyme Q10 (CoQ10) ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์อสุจิ ทั้งยังมีส่วนช่วยปกป้องอสุจิจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระอีกด้วย ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Coenzyme Q10 (CoQ10) Coenzyme Q10 (CoQ10) หรือโคเอนไซม์คิวเท็น เป็นสารคล้ายวิตามินที่ละลายในไขมัน พบได้ในไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเป็นแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์ที่สำคัญทั่วร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายภายในร่างกาย บทบาทของ CoQ10 ในร่างกาย มีหน้าที่ช่วยเรื่องอะไร? อย่างที่กล่าวไปว่า CoQ10 มีหน้าที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ โดยเฉพาะในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ ไต และกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังมีหน้าที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ที่สำคัญทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) พร้อมช่วยลดผลกระทบที่อาจเข้าไปทำลายเซลล์ที่จะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม ความสำคัญของ CoQ10 ต่อสุขภาพเพศชาย สำหรับคุณผู้ชายที่มีข้อสงสัยว่า CoQ10 ช่วยอะไรบ้าง สามารถตอบได้ว่า สารสำคัญตัวนี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของระบบสืบพันธุ์เพศชาย โดยเฉพาะในกระบวนการสร้างอสุจิ (Spermatogenesis) ในอัณฑะ ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง การมีระดับ CoQ10 ที่เหมาะสม จะช่วยสนับสนุนการทำงานของเซลล์สืบพันธุ์ ช่วยลดการทำลายเซลล์จากภาวะเครียดออกซิเดชัน และส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิ CoQ10 กับประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของอสุจิ จากบทบาทสำคัญของ CoQ10 ในการสร้างพลังงานและปกป้องเซลล์จากความเสียหายด้วยอนุมูลอิสระ ซึ่งครอบคลุมถึงระบบสืบพันธุ์เพศชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการสร้างและพัฒนาคุณภาพของอสุจิ การรักษาระดับ CoQ10 ให้สมดุลจะช่วยส่งเสริมให้อสุจิมีคุณภาพยิ่งขึ้น 1. การเพิ่มจำนวนและความเคลื่อนไหวของอสุจิ มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่า CoQ10 มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มจำนวนของอสุจิได้ รวมถึงช่วยให้การเคลื่อนไหวของอสุจิมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทางไปยังไข่เพื่อทำการปฏิสนธิ โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยาก การเสริม CoQ10...
รู้จัก ‘เดอร์มอยด์ซีสต์’ ผู้หญิงมีอาการปวดท้องผิดปกติต้องระวัง
ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ การพบซีสต์ในรังไข่ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะซีสต์บางประเภทอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านการเจริญพันธุ์โดยตรง หนึ่งในนั้นคือ "เดอร์มอยด์ซีสต์" ที่แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้องอกชนิดที่ไม่ร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจรบกวนระบบสืบพันธุ์หรือทำให้การตั้งครรภ์เป็นเรื่องยากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีลูกหรือมีอาการผิดปกติในช่องท้องที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ เดอร์มอยด์ซีสต์คืออะไร? เดอร์มอยด์ซีสต์ (Dermoid Cyst) หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Mature Cystic Teratoma เป็นถุงน้ำในรังไข่ที่เกิดจากเซลล์ไข่ที่เจริญเติบโตผิดปกติ ลักษณะของเดอร์มอยด์ซีสต์ คือมักเป็นก้อนกลม ผนังถุงหนา ภายในมักประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อหลายชนิด เช่น ผิวหนัง เส้นผม ฟัน กระดูก หรือไขมัน เนื่องจากเดอร์มอยด์ซีสต์มีสาเหตุมาจากเซลล์ต้นกำเนิด (Totipotent cells) ที่มีความสามารถพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ มักอยู่ผิดตำแหน่งโดยกำเนิด และหากได้รับการกระตุ้นบางอย่าง จะเจริญเติบโตกลายเป็นเดอร์มอยด์ซีสต์ในเวลาต่อมา แต่นอกจากจะพบในรังไข่แล้ว ซีสต์ชนิดนี้ยังสามารถพบได้ที่ตำแหน่งอื่น ๆ ของร่างกายด้วย เช่น หางคิ้ว จมูก ช่องท้อง หนังศีรษะ สามารถตรวจพบได้โดยการตรวจภายใน การอัลตราซาวนด์ การทำ MRI และการทำ CT Scan แต่หากซีสต์มีขนาดใหญ่มาก ก็สามารถคลำพบได้เช่นกัน อาการของเดอร์มอยด์ซีสต์ โดยทั่วไป เดอร์มอยด์ซีสต์มักไม่แสดงอาการและถูกตรวจพบโดยบังเอิญในระหว่างการตรวจสุขภาพหรืออัลตราซาวนด์ แต่หากมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนใหญ่จะก่อให้เกิดอาการเหล่านี้ ปวดหน่วงหรือรู้สึกอึดอัดบริเวณท้องน้อย โดยเฉพาะข้างที่มีซีสต์ มักเป็นอาการแรก ๆ ที่พบในผู้ป่วยเดอร์มอยด์ซีสต์ รู้สึกแน่นท้อง ท้องอืด หรือคล้ายมีก้อนในท้อง เป็นผลมาจากซีสต์ที่ดันเบียดอวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อย หรือถ่ายอุจจาระลำบาก ประจำเดือนมาไม่ปกติ...