4 แนวทางแก้ปัญหาน้ำหนักตัวเยอะ กลัวมีลูกยากเพื่อคนอยากท้อง
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2566 ระบุว่า ผู้ใหญ่กว่า 1.9 พันล้านคน หรือประมาณ 39% ของประชากรโลก มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งภาวะน้ำหนักเกินไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคหัวใจ แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของทั้งเพศหญิงและเพศชาย เพราะการมีน้ำหนักตัวเยอะ มีความเกี่ยวข้องกับภาวะมีลูกยากโดยตรง ดังนั้น การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตรและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในระยะยาว ภาวะอ้วนที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ในเพศชาย ทุกครั้งที่มีคำถามว่า “คนอ้วนมีลูกยากไหม ?” คนส่วนใหญ่มักพุ่งเป้าไปที่ปัญหาการมีน้ำหนักเกินของฝ่ายหญิงก่อนเสมอ แต่รู้หรือไม่ว่าภาวะอ้วนในฝ่ายชาย ก็ส่งผลต่ออัตราความสำเร็จในการปฏิสนธิและตั้งครรภ์เช่นกัน โดยหลัก ๆ เกิดจากสาเหตุเหล่านี้ คุณภาพของอสุจิลดลง ผู้ชายที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมีแนวโน้มที่คุณภาพของอสุจิจะลดลง ทั้งในแง่ของความเข้มข้นและจำนวนของอสุจิ การเคลื่อนไหวของอสุจิ รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไม่พบอสุจิในน้ำเชื้อ นอกจากนี้ ภาวะอ้วนยังส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลงและทำให้ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการสร้างอสุจิของเพศชาย ความร้อนสะสมในถุงอัณฑะ ภาวะอ้วนยังจะทำให้เกิดไขมันสะสมบริเวณขาหนีบและรอบถุงอัณฑะ ส่งผลให้อุณหภูมิในถุงอัณฑะสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลเสียต่อกระบวนการสร้างอสุจิ ทำให้ประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ลดลง และอสุจิมีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร ภาวะอักเสบและออกซิเดชันของอสุจิ สุดท้าย การมีน้ำหนักตัวเยอะจะส่งผลต่อการอักเสบในร่างกายและปฏิกิริยาออกซิเดชัน จึงเป็นการทำลายเซลล์อสุจิ หรือทำให้ DNA ในอสุจิเสียหาย และลดความสามารถในการเคลื่อนที่และการเจาะเซลล์ไข่ นำไปสู่โอกาสในการปฏิสนธิที่น้อยลง ภาวะอ้วนที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ในเพศหญิง สำหรับฝ่ายหญิงที่กังวลว่าคนอ้วนท้องได้ไหม นี่คือ 4 ความเกี่ยวข้องระหว่างความอ้วนและระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ การทำงานของฮอร์โมนผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งผลิตจากเนื้อเยื่อไขมัน อาจก่อให้เกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ สิวขึ้น ขนดก และมีบุตรยาก การตกไข่ผิดปกติและรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ การทำงานผิดปกติของฮอร์โมนจากภาวะอ้วนส่งผลให้เกิด ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง (Anovulatory Infertility) รวมทั้งประจำเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนเว้นช่วงนาน มาห่างกันมากกว่า 35 วัน หรือมาไม่เกิน 6–8 ครั้งต่อปี ภาวะอักเสบเรื้อรังที่มีผลต่อมดลูก ภาวะอ้วนสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้สภาพแวดล้อมในมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ตลอดจนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น...
รู้จักตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) ที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์
สำหรับคู่แต่งงานที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์โดยใช้เทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์ อย่างการทำเด็กหลอดแก้ว ด้วยกระบวนการ ICSI หากในขั้นตอนการทำ เกิดตรวจพบภาวะตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) อาจส่งผลต่อโอกาสความสำเร็จของการตั้งครรภ์และสุขภาพของทารกในอนาคตได้ ตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) คืออะไร? ตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism) คือ ภาวะตัวอ่อนมีเซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกันภายในตัวอ่อนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า บางเซลล์มีโครโมโซมปกติ ในขณะที่บางเซลล์มีความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งเกิดจากการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติในระหว่างการพัฒนาของตัวอ่อน โดยตัวอ่อนที่ผ่านการตรวจโครโมโซม มีโอกาสตรวจพบภาวะโมเซอิกประมาณ 10-20% แม้ภาวะนี้จะดูมีความผิดปกติ แต่ตามหลักฐานทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่า ตัวอ่อนที่มีภาวะ Mosaicism สามารถพัฒนาไปเป็นทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ เนื่องจากกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติของร่างกาย ที่ทำให้เซลล์ที่มีโครโมโซมปกติ (Euploid) เติบโตต่อไป ในขณะที่เซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ (Aneuploid) จะหยุดการเจริญเติบโต และถูกจำกัดให้อยู่ในส่วนของรกเท่านั้น ภาวะตัวอ่อนโมเซอิก เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ภาวะตัวอ่อนโมเซอิก เกิดจากความผิดพลาดในการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนในระยะเริ่มต้นหลังจากการปฏิสนธิ เมื่อเซลล์แบ่งตัวในระหว่างการพัฒนา ตัวอ่อนอาจเกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการแบ่งเซลล์ จนทำให้เกิดเซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกันออกมาในตัวอ่อนบางส่วน ในระหว่างการพัฒนาของตัวอ่อน เซลล์ที่มีโครโมโซมผิดปกติอาจมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความผิดปกติของกระบวนการแบ่งเซลล์ในช่วงเวลานั้น หรืออาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการแบ่งเซลล์ เป็นต้น ระดับของตัวอ่อนโมเซอิก (Mosaicism Levels) Low Mosaic (โมเซอิกระดับต่ำ) ตัวอ่อนมีเซลล์ที่ผิดปกติน้อยกว่า 30% ของเซลล์ทั้งหมด ซึ่งมีโอกาสฝังตัวและพัฒนาต่อเป็นทารกที่แข็งแรงได้สูง Medium Mosaic (โมเซอิกระดับปานกลาง) ตัวอ่อนมีเซลล์ผิดปกติระหว่าง 30-50% ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการฝังตัวและพัฒนาการของตัวอ่อน แต่ยังมีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จ High Mosaic (โมเซอิกระดับสูง) ตัวอ่อนมีเซลล์ผิดปกติมากกว่า 50% ซึ่งโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวสำเร็จจะมีลดลง หรือหากตั้งครรภ์สำเร็จก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารก ควรเลือกย้ายฝังตัวอ่อนที่มีภาวะโมเซอิกหรือไม่ ? ในบางกรณี เมื่อตรวจตัวอ่อนแล้วพบว่า...
ท่อนำไข่บวมน้ำ ภาวะที่ควรรู้จักสำหรับผู้วางแผนมีบุตร
หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า สาเหตุหนึ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความล้มเหลวในการตั้งครรภ์ คือภาวะ "ท่อนำไข่บวมน้ำ" หรือ Hydrosalpinx ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยแต่มักถูกมองข้าม ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการวินิจฉัยและรักษาที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้มีภาวะนี้สามารถมีบุตรได้ ท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx) คืออะไร ? ท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx) คือภาวะที่ท่อนำไข่เกิดการอุดตันและบวมพอง มีของเหลวใสสะสมอยู่ภายใน ส่งผลให้ปลายท่อนำไข่ปิดและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ทำให้เกิดปัญหาในการตั้งครรภ์ เนื่องจากท่อนำไข่เป็นอวัยวะสำคัญในกระบวนการสืบพันธุ์ของเพศหญิง ในภาวะปกติ ท่อนำไข่ทำหน้าที่เป็นเส้นทางให้ไข่เดินทางจากรังไข่ไปยังมดลูก และเป็นสถานที่สำหรับการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิ แต่เมื่อท่อนำไข่บวมน้ำ จะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์หลายประการ ได้แก่ ไข่ไม่สามารถเดินทางจากรังไข่ไปยังมดลูกได้ อสุจิไม่สามารถเข้าถึงไข่เพื่อปฏิสนธิได้ สารจากของเหลวที่สะสมอยู่ในท่อนำไข่ อาจมีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนในโพรงมดลูก สาเหตุของภาวะท่อนำไข่บวมน้ำ ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำเกิดจากการอักเสบและการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (PID) จากเชื้อแบคทีเรียหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน หรือคลามิเดีย การผ่าตัดในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจทำให้เกิดพังผืดที่มาเกาะรอบท่อนำไข่ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ที่ทำให้เกิดการอักเสบและเกิดพังผืดรอบ ๆ ท่อนำไข่ การติดเชื้อวัณโรคในระบบสืบพันธุ์ ซึ่งพบได้ในบางบริเวณ ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก ที่อาจทำให้ท่อนำไข่เกิดความเสียหาย ได้รับอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บบริเวณอุ้งเชิงกราน ที่ส่งผลต่อโครงสร้างของท่อนำไข่ อาการและสัญญาณของท่อนำไข่บวมน้ำ ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำอาจไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้หลายคนไม่รู้ตัว จนกระทั่งพบปัญหาในการตั้งครรภ์ สำหรับอาการที่พบได้และอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะนี้ ได้แก่ ปวดท้องน้อยเรื้อรังหรือเป็นพัก ๆ โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างของท้องน้อย ปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ซึ่งอาจเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองในบริเวณอุ้งเชิงกราน ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือมีเลือดออกผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นผลจากความผิดปกติในระบบฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง มีตกขาวผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ มีไข้หรืออาการปวดท้องรุนแรงในกรณีที่มีการติดเชื้อเฉียบพลัน พยายามมีบุตรไม่สำเร็จเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการที่ท่อนำไข่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ท่อนำไข่บวมน้ำมีลูกได้หรือไม่ ? แม้ว่าภาวะท่อนำไข่บวมน้ำจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตั้งครรภ์ แต่ด้วยการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่เหมาะสม ผู้หญิงที่มีภาวะนี้ยังมีโอกาสมีบุตรได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ความรุนแรงของภาวะ ท่อนำไข่บวมน้ำทั้งสองข้างหรือข้างเดียว...
มดลูกไม่แข็งแรงมีลูกได้ไหม ? เส้นทางสู่การมีบุตร
"ทำไมยังไม่ท้องสักที…?" "แท้งซ้ำอีกแล้ว...
เปิดสาเหตุที่ทำให้ IUI ไม่ติด และเทคนิคเพิ่มโอกาสความสำเร็จ
สำหรับคู่รักที่กำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก การมองหาวิธีในการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การทำ IUI ซึ่งเป็นวิธีที่ใกล้เคียงกับการตั้งครรภ์ธรรมชาติ มีค่าใช้จ่ายต่ำเมื่อเทียบกับวิธีอื่น แต่อัตราความสำเร็จก็ต่ำกว่าวิธีอื่นด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้การทำ IUI ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง ดังนั้น การศึกษาและทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำ IUI ไม่ติด จะช่วยให้สามารถหาแนวทางเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น สาเหตุที่ทำให้ IUI ไม่ติดเกิดจากอะไร ? การทำ IUI ไม่สำเร็จสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งเป็น 3 สาเหตุหลัก ดังนี้ 1. ปัจจัยจากฝ่ายหญิง สาเหตุแรกที่ทำให้การทำ IUI ไม่ติด มักเกิดจากร่างกายของฝ่ายหญิงเอง ไม่ว่าจะเป็นอายุ ฮอร์โมน หรือความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ดังต่อไปนี้ อายุ ส่งผลต่อคุณภาพของไข่โดยตรง ซึ่งผู้หญิงที่อายุ 35 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยลงกว่าผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 35 ปี ภาวะไข่ไม่ตก หรือฮอร์โมนผิดปกติ การที่ฝ่ายหญิงมีไข่ตกไม่สม่ำเสมอ กลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (PCOS) หรือว่ามีปัญหาเรื่องฮอร์โมนอาจส่งผลทำให้ไข่มีคุณภาพต่ำ และไม่เกิดการปฏิสนธิได้ ความผิดปกติของมดลูกและท่อนำไข่ เช่น ภาวะของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ รวมถึงท่อนำไข่อุดตัน ทำให้อสุจิไม่สามารถเข้าไปถึงไข่และไปปฏิสนธิได้ 2. ปัจจัยจากฝ่ายชาย หากว่าฝ่ายหญิงไม่มีความผิดปกติดังกล่าว อาจเป็นไปได้ว่า ปัจจัยที่ทำ IUI ไม่ติด เกิดจากฝ่ายชาย ซึ่งมักมีสาเหตุหลักดังต่อไปนี้ คุณภาพของอสุจิไม่ดีพอ ทั้งเรื่องจำนวนที่น้อยกว่าปกติ เคลื่อนที่ช้า มีรูปร่างที่ผิดปกติ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้การปฏิสนธิไม่สำเร็จ ภาวะภูมิคุ้มกันที่ทำให้ความสามารถในการปฏิสนธิลดลง เป็นภาวะที่ร่างกายของฝ่ายหญิงสร้างแอนติบอดีต่อต้านอสุจิ ทำให้โอกาสในการปฏิสนธิลดน้อยลงไป 3....
มีลูกคนที่สองยาก มีวิธีเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้อย่างไร?
หลายครอบครัวเมื่อมีลูกคนแรกแล้ว ย่อมคาดหวังว่าจะสามารถมีลูกคนต่อไปได้ง่ายกว่าการตั้งท้องครั้งแรก แต่กลับพบว่าการมีลูกคนที่สองยากกว่าที่คิด ซึ่งสาเหตุของปัญหานี้มีหลายประการ หากทำความเข้าใจ และหาแนวทางเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์อย่างถูกวิธี การมีลูกคนที่สองก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ทำไมบางคนถึงมีลูกคนที่สองยาก ? อายุเพิ่มขึ้น อายุเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะในผู้หญิง เมื่ออายุมากขึ้น คุณภาพและปริมาณของไข่จะลดลงตามธรรมชาติ แต่ถ้าถามว่า หากมีอายุมากแล้ว ลูกคนที่ 2 จะติดง่ายไหม ก็ตอบได้เลยว่าผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสตั้งครรภ์ลดลงประมาณ 50% เมื่อเทียบกับช่วงอายุ 20 ปี ดังนั้น อายุที่เพิ่มขึ้นหลังจากการมีบุตรคนแรกอาจทำให้การมีลูกคนที่สองยากขึ้น คุณภาพของสเปิร์มลดลง ไม่เพียงแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้น ฝ่ายชายเองก็มีความเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเมื่ออายุมากขึ้นเช่นกัน กล่าวคือ คุณภาพของสเปิร์มอาจลดลงเนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ความเครียด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการได้รับสารเคมีบางชนิด เมื่อจำนวนและคุณภาพของสเปิร์มลดลง โอกาสในการปฏิสนธิก็จะลดลงด้วย ฮอร์โมนและภาวะไข่ตกผิดปกติ ความผิดปกติของฮอร์โมนสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการตั้งครรภ์ครั้งแรก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ หรือภาวะที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนโพรแลกตินมากเกินไป ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลอาจทำให้เกิดภาวะไข่ตกผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้การตั้งครรภ์เป็นไปได้ยากขึ้น รังไข่เสื่อม ภาวะรังไข่เสื่อมสภาพก่อนวัย (Premature Ovarian Failure) เป็นภาวะที่รังไข่หยุดทำงานก่อนที่ผู้หญิงจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากการมีบุตรคนแรก ทำให้การตั้งครรภ์ครั้งที่สองเป็นไปได้ยาก ท่อนำไข่ตีบหรือตัน ท่อนำไข่ที่ตีบหรือตันเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากทุติยภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่เคยผ่านการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน การผ่าตัดช่องท้อง หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดพังผืดที่ท่อนำไข่และขัดขวางการปฏิสนธิได้ ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นหลังจากมีลูกคนแรก หลังจากการมีบุตรคนแรก หลายคนอาจตั้งคำถามต่อว่าลูกคนที่ 2 ติดง่ายไหม แต่ร่างกายของบางคนอาจเกิดปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ซึ่งเป็นภาวะที่เนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญนอกโพรงมดลูก หรือ เนื้องอกมดลูก (Uterine Fibroids) ที่อาจเกิดขึ้นและขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน น้ำหนักตัวและพฤติกรรมการใช้ชีวิต น้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังการมีบุตรคนแรก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมากเกินไป อาจทำให้มีลูกคนที่สองยากขึ้นได้ นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การอดนอน...
เมนส์มาแบบไหนถึงท้อง ? รู้ครบ เพื่อการวางแผนตั้งครรภ์
หลายคนทราบดีว่าการมีประจำเดือนและการตั้งครรภ์เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกันโดยตรง เพราะเป็นผลมาจากการทำงานของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองกระบวนการนี้มีรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่าที่คิด และไม่ใช่แค่การมีประจำเดือนสม่ำเสมอเท่านั้นที่บ่งบอกถึงภาวะเจริญพันธุ์ที่สมบูรณ์ หากคุณกำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือมีคำถามว่าเมนส์มาแบบไหนถึงท้อง จำเป็นต้องเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์เสียก่อน ทั้งในช่วงไข่ตก ภาวะฮอร์โมน และสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ เพื่อให้สามารถเตรียมร่างกายให้พร้อมและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรได้สูงสุด ความสัมพันธ์ระหว่างการมีประจำเดือนและการตั้งครรภ์ อยากรู้ว่าหากผู้หญิงมีประจำเดือนมาปกติสามารถตั้งครรภ์ได้ไหม สิ่งแรกที่ควรเข้าใจ คือความสัมพันธ์ระหว่างการมีประจำเดือนและการตั้งครรภ์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญด้วยกัน ดังนี้ การมีประจำเดือนเป็นสัญญาณของการตกไข่และรังไข่ที่ทำงานปกติ ประจำเดือน หรือเมนส์ (Menstrual) คือ การหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกที่ถูกขับออกทางช่องคลอดเมื่อไม่มีการปฏิสนธิของไข่ในรอบเดือนนั้น ๆ โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นทุก 21-35 วัน และมีระยะเวลาประมาณ 2-7 วัน การมีประจำเดือนเป็นส่วนหนึ่งของรอบไข่ตกในแต่ละเดือน ซึ่งถูกควบคุมโดยฮอร์โมน และเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าระบบสืบพันธุ์ทำงานปกติ สำหรับผู้ที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอทุก 28 วัน บ่งชี้ว่ามีการตกไข่เกิดขึ้นอย่างปกติ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันในช่วงระยะเวลาที่ไข่ตก จึงช่วยเพิ่มอัตราประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้ ประจำเดือนไม่มาหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจเป็นสัญญาณแรกว่าเกิดการตั้งครรภ์ เมื่อไข่ได้รับการผสม ก็จะฝังตัวเข้าไปที่โพรงมดลูกและพัฒนาเป็นตัวอ่อนต่อไป ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน ดังนั้น หากประจำเดือนขาดหายไปหลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน อาจเป็นสัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือปัสสาวะบ่อย ซึ่งสามารถยืนยันผลเบื้องต้นได้ด้วยการตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบปัสสาวะ ประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจบ่งบอกถึงภาวะมีบุตรยาก ประจำเดือนที่มาไม่สม่ำเสมอ เช่น รอบเดือนสั้นกว่า 24 วัน หรือยาวกว่า 35 วัน อาจบ่งบอกถึงปัญหาการตกไข่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยาก การมีประจำเดือนขาด ๆ หาย ๆ หรือมาไม่ปกติ อาจเกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุลหรือปัญหาอื่น...



