สีน้ำอสุจิกับปัญหาสุขภาพ และโอกาสในการตั้งครรภ์
สีน้ำอสุจิ สามารถบ่งบอกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเพศชาย และบางครั้งยังเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติที่อาจส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิ ซึ่งอาจกระทบต่อการมีบุตรในอนาคต ดังนั้นการหมั่นสังเกตสีน้ำของอสุจิจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร ทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สีของน้ำอสุจิบอกอะไรในเรื่องสุขภาพ ? น้ำอสุจิเป็นของเหลวที่มีบทบาทสำคัญในการสืบพันธุ์ของเพศชาย โดยทั่วไป สีน้ำอสุจิปกติจะเป็นสีขาวขุ่นหรือเทาอมขาว และมีความข้นหนืดพอประมาณ หากพบว่าสีของน้ำอสุจิเปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพหรือภาวะผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สีน้ำอสุจิแตกต่างไปจากเดิม มีดังนี้ อสุจิสีเหลือง น้ำอสุจิสีเหลือง เกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัย คือ 1. น้ำอสุจิเป็นสีเหลืองอ่อน โดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย อาการนี้มักเกิดจากปัจจัยทั่วไปที่ไม่รุนแรง เช่น อายุที่มากขึ้น ทำให้สีน้ำอสุจิค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกทางธรรมชาติ การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น กระเทียม ขมิ้น การรับประทานยาปฏิชีวนะ หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีสารสกัดวิตามินบี การไม่ได้หลั่งอสุจิเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมของของเหลวในถุงน้ำเชื้อ 2. น้ำอสุจิสีเหลืองเข้ม เกิดจากปัญหาสุขภาพ หากน้ำอสุจิมีสีเหลืองเข้มและมีกลิ่นผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อหรือพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่จัด โดยสารนิโคตินจะส่งผลให้สีน้ำอสุจิเป็นสีเหลือง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในแท้ หรือหนองในเทียม ซึ่งล้วนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีอสุจิ การติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ เช่น โรคต่อมลูกหมากอักเสบ ที่จะส่งผลให้อสุจิมีสีเหลืองและขุ่นมากขึ้น ภาวะดีซ่าน เนื่องจากเป็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับตับ จึงส่งผลให้ผิวหนัง ของเหลว ซึ่งรวมถึงอสุจิมีสีเหลืองหรือขุ่นได้ ภาวะอสุจิมีน้ำหนอง เนื่องจากการติดเชื้อ หรือการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ อสุจิสีแดง น้ำอสุจิมีสีแดงหรือสีชมพู มักเกิดจากการมีเลือดปนในน้ำอสุจิ ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ การติดเชื้ออย่างรุนแรง บริเวณต่อมลูกหมาก ถุงน้ำเชื้อ หรือท่อปัสสาวะ ปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก...
สูตรปั้มลูกแบบธรรมชาติ 3 วิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
การมีบุตรเป็นช่วงเวลาพิเศษที่หลายคู่รักรอคอย แต่บางครั้งอาจต้องใช้เวลาและความอดทน บทความนี้จะขอมาแนะนำ "สูตรปั๊มลูก" หรือ "วิธีทำให้ท้อง" ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ 3 วิธีทำให้ท้อง เรียกเจ้าตัวน้อยแบบธรรมชาติ คำนวณวันไข่ตกให้แม่นยำ เพื่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกวัน สำหรับฝ่ายหญิง การทำความเข้าใจเรื่องรอบเดือน คือสิ่งที่จะช่วยให้สามารถคำนวณได้ว่า หลังมีเพศสัมพันธ์กี่วันถึงท้อง โดยทั่วไป ไข่จะตกประมาณ 14 วันก่อนประจำเดือนมาในรอบถัดไป ซึ่งนี่คือช่วงเวลาที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด การคำนวณวันไข่ตกให้แม่นยำ เริ่มจากการจดบันทึกวันแรกของประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ควบคู่ไปกับการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่บ่งบอกถึงการตกไข่ เช่น อาการปวดในส่วนล่างของช่องท้องหรือท้องน้อย การเจ็บหน้าอก หรือ ลักษณะตกขาวที่เปลี่ยนไป ซึ่งในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามรอบเดือน เพื่อให้ฝ่ายหญิงสามารถคำนวณวันตกไข่ได้แม่นยำมากขึ้น ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสม อีกหนึ่งคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์คือ "ปล่อยในกี่วันถึงท้อง" และ "ปล่อยยังไงให้ท้อง" ? ซึ่งคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่คู่สมรสมีเพศสัมพันธ์ โดยช่วงเวลาทองของการมีเพศสัมพันธ์ คือ 2-3 วันก่อนไข่ตก และ วันที่ไข่ตก เนื่องจากไข่มีอายุเพียง 24 ชั่วโมงหลังการตกไข่ แต่อสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายผู้หญิงได้นานถึง 3-5 วัน ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ที่แนะนำคือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องมีทุกวัน เพราะการมีเพศสัมพันธ์ถี่เกินไปอาจส่งผลให้คุณภาพและปริมาณอสุจิลดลง ควรมีการพักระหว่างการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้งประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้ร่างกายสามารถผลิตอสุจิที่มีคุณภาพได้มากขึ้น เพิ่มคุณภาพไข่และอสุจิ การเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญพันธุ์ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงโปรตีนคุณภาพดีจากปลา ไข่ และถั่วต่าง ๆ การออกกำลังกายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสม เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ...
เพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล ลดปัญหา เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
ความผันผวนของฮอร์โมนเพศหญิงสามารถส่งผลต่อสุขภาพและอารมณ์ของผู้หญิงได้อย่างมาก การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของฮอร์โมน เพื่อเรียนรู้วิธีปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล จึงถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี รู้จักฮอร์โมนเพศหญิงและบทบาทสำคัญ ฮอร์โมนเพศหญิงมีหน้าที่ควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งแต่ละฮอร์โมนจะมีบทบาทเฉพาะที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพการใช้ชีวิตในแต่ละด้าน โดยฮอร์โมนที่สำคัญมีดังนี้ เอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง เช่น การพัฒนาอวัยวะเพศ การเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละรอบเดือนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน รวมถึงยังส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูก ผิวพรรณ และอารมณ์ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในระบบสืบพันธุ์และการตั้งครรภ์ ทำหน้าที่ช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาพอสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อป้องกันความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) แม้จะเป็นฮอร์โมนที่พบในเพศชายเป็นหลัก แต่ในผู้หญิง ฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยเพิ่มพลังงาน กระตุ้นความต้องการทางเพศ และเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ สัญญาณเตือนอาการฮอร์โมนไม่สมดุล เมื่อฮอร์โมนเพศหญิงขาดความสมดุล อาจนำไปสู่การเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีสัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น รอบเดือนมาถี่เกินไป ช้ากว่าปกติ หรือขาดหายไป อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลมากกว่าปกติ น้ำหนักเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือลดอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน ผิวแห้งและผมร่วง ร่างกายสูญเสียความชุ่มชื้น มีปัญหาด้านการนอน นอนไม่หลับ หลับยาก แม้จะพยายาม รู้สึกเหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลียตลอดเวลา ความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งอาจเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรนที่ลดลง 5 วิธีปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล 1. นอนหลับอย่างเพียงพอ การนอนหลับมีบทบาทสำคัญต่อการผลิตและควบคุมฮอร์โมน หากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย จนทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ โดยมีวิธีแก้ไขที่ทำได้ดังนี้ นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อปรับนาฬิการ่างกายให้สมดุล หลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าจะรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยให้หลับลึก 2. ทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ฮอร์โมนเพศเกิดความสมดุล การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยลดความผันผวนของฮอร์โมนได้...
เคล็ดลับมีลูก : แนวทางเตรียมพร้อมสู่การมีบุตรที่สมบูรณ์
ภาวะมีบุตรยาก เป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ความเครียดจากการทำงาน รวมถึงการวางแผนมีบุตรในอายุที่มากขึ้น บทความนี้รวบรวมเคล็ดลับมีลูกฉบับสมบูรณ์ โดยมุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้คู่สมรสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ 4 เคล็ดลับมีลูกที่คู่สมรสต้องรู้ เพื่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะการมีบุตรเป็นเรื่องของคนสองคน ทั้งสามีและภรรยาจึงต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายไปพร้อม ๆ กัน สำหรับผู้หญิง สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เริ่มจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยโฟลิก ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายและสร้างตัวอ่อนให้สมบูรณ์ เช่น ผักใบเขียว ไข่ และตับ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน และการพักผ่อนให้เพียงพอ สำหรับฝ่ายชาย ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจส่งผลต่อคุณภาพอสุจิ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และควรรับประทานอาหารที่มีสังกะสีและวิตามินอีสูง เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนเพศชาย และเพิ่มจำนวนสเปิร์ม เช่น หอยนางรม ถั่ว และเมล็ดฟักทอง จับจังหวะให้ถูก เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดลับมีลูกที่สำคัญอย่างยิ่ง คู่สมรสควรทำความเข้าใจเรื่องวันตกไข่ และวงจรการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง โดยสามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หรือ ใช้ชุดตรวจการตกไข่ช่วยคำนวณช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ การจดบันทึกรอบเดือนอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้สามารถคำนวณวันตกไข่ได้แม่นยำขึ้น โดยทั่วไปไข่จะตกประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน นับจากวันแรกของประจำเดือน หรือประมาณ 14 วันก่อนประจำเดือนมาครั้งต่อไป และไข่จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 24 ชั่วโมง ปรับสมดุลชีวิต ลดความเครียด ความเครียด เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่รบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ และส่งผลต่อการตกไข่ในผู้หญิง รวมถึงคุณภาพอสุจิในผู้ชาย ดังนั้น การจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคู่สมรสที่วางแผนมีบุตร ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตรเท่านั้น...
รู้ครบเรื่องที่ตรวจไข่ตก ตัวช่วยสำหรับการวางแผนมีบุตร
การตรวจไข่ตกถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนการมีบุตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ขั้นตอนการใช้ที่ตรวจไข่ตก การแปลผล รวมถึงการดูแลสุขภาพ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จได้ ที่ตรวจไข่ตก ตัวช่วยสำหรับคู่รักที่ต้องการวางแผนการมีบุตร ที่ตรวจไข่ตกเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจวัดระดับฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) ในปัสสาวะ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาในปริมาณมากก่อนการตกไข่ประมาณ 24-36 ชั่วโมง เมื่อระดับฮอร์โมน LH เพิ่มสูงขึ้น โดยที่ตรวจไข่ตกจะแสดงผลเป็น 2 ขีด เพื่อบ่งบอกว่าร่างกายกำลังเข้าสู่ช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุดในรอบเดือน ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์เพื่อการตั้งครรภ์ โดยทั่วไปแล้ว ที่ตรวจไข่ตกจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ แผ่นตรวจไข่ตกแบบแถบ ใช้งานง่าย ราคาไม่สูง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ที่ตรวจไข่ตกแบบดิจิทัล ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและแม่นยำ โดยแสดงผลผ่านหน้าจอ ขั้นตอนการใช้งานที่ตรวจไข่ตกและการอ่านผล เตรียมปัสสาวะ โดยเก็บปัสสาวะในภาชนะที่สะอาด แต่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากเกินไปก่อนการตรวจ เพราะอาจทำให้ระดับฮอร์โมน LH เจือจาง จุ่มที่ตรวจจนถึงขีดที่กำหนด และรอผลตามเวลาที่ระบุไว้ในคู่มือ การอ่านผล หากที่ตรวจไข่ตกแสดงผล 1 ขีด แสดงว่าไม่มีสัญญาณของไข่ตก แต่ถ้าเป็น 2 ขีด จะหมายถึงฮอร์โมน LH อยู่ในระดับสูง แสดงว่าใกล้ถึงช่วงไข่ตก เวลาที่เหมาะสมในการตรวจเพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ สำหรับคำถามที่ว่า ควรตรวจไข่ตกตอนไหนดี ? ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ...
เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ด้วยการเสริมกรดโฟลิกอย่างถูกวิธี
การเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการได้รับสารอาหารที่จำเป็น ยิ่งถ้าพูดถึงกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 ถือว่ามีความสำคัญกับการเตรียมตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างและพัฒนาเซลล์สืบพันธุ์ของทั้งว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ การรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกอย่างเพียงพอจึงควรเริ่มตั้งแต่ช่วงวางแผนการมีบุตร กรดโฟลิกคืออะไร และสำคัญอย่างไรต่อการมีบุตร ? กรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างเซลล์และการแบ่งตัวของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ อย่างที่บอกไปว่า การได้รับกรดโฟลิกในช่วงเตรียมตั้งครรภ์ มีบทบาทสำคัญในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไข่และอสุจิ จึงส่งผลดีต่อทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เนื่องจากจะช่วยเพิ่มคุณภาพของเซลล์สืบพันธุ์ ส่งผลให้การปฏิสนธิมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติในโครโมโซมที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาของทารก ที่สำคัญ การได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอก่อนการตั้งครรภ์ ยังจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการแท้งบุตรได้อีกด้วย ความสำคัญของกรดโฟลิกในช่วงตั้งครรภ์ การพัฒนาระบบประสาทของทารก ประโยชน์ของกรดโฟลิกที่ส่งผลดีกับคนท้อง คือการมีส่วนช่วยต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพัฒนาระบบประสาทและไขสันหลังของทารก การป้องกันความผิดปกติของหลอดประสาท การได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติของหลอดประสาท (Neural Tube Defects) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะสมองและไขสันหลังไม่ปิด ซึ่งภาวะนี้อาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคไขสันหลังโหว่ (Spina Bifida) หรือภาวะสมองและกะโหลกศีรษะไม่ปิด (Anencephaly) การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ กรดโฟลิกยังมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ทั้งยังช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางในมารดา และส่งเสริมการเจริญเติบโตของรก ปริมาณกรดโฟลิกที่เหมาะสม ปริมาณที่แนะนำสำหรับช่วงเตรียมตั้งครรภ์ ปริมาณกรดโฟลิกที่แนะนำสำหรับผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์คือ 400-800 ไมโครกรัมต่อวัน โดยควรเริ่มรับประทานอย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำสำหรับฝ่ายชาย สำหรับผู้ชายที่วางแผนมีบุตรควรได้รับกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวันเช่นเดียวกันกับผู้หญิง ปริมาณที่แนะนำระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์แล้ว...
วิธีตรวจครรภ์ แบบเห็นผลชัดเจนและแม่นยำ สำหรับผู้มีบุตรยาก
หลังกระบวนการฝังตัวอ่อนไปแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ว่าที่คุณแม่อยากจะรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์สำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกระบวนการทำอิ๊กซี่เสร็จสิ้น ซึ่งแพทย์จะทำการนัดหมายเพื่อตรวจการตั้งครรภ์ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากนั้น แต่ผู้ที่เข้ารับการฝังตัวอ่อนก็สามารถใช้วิธีตรวจครรภ์เบื้องต้นได้ด้วยตนเองเช่นกัน วิธีตรวจตั้งครรภ์มีกี่แบบ อะไรบ้าง เร็วสุดกี่วัน ? สำหรับคนที่สงสัยว่าหลังจากฝังตัวอ่อนแล้ว กี่วันถึงจะรู้ว่าท้อง สามารถรู้ได้ด้วยวิธีตรวจครรภ์เหล่านี้ การตรวจตั้งครรภ์แบบจุ่ม (Test Strip) การตรวจครรภ์แบบจุ่ม (Test Strip) เป็นวิธีที่ง่ายและราคาประหยัดที่สุด ทั้งยังสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง เพียงแค่ปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วจุ่มแผ่นทดสอบลงในปัสสาวะ แช่ไว้ประมาณ 3-5 วินาที จากนั้นจึงค่อยนำเอาแผ่นทดสอบขึ้นมา วางทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อรออ่านผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้น โดยสามารถตรวจได้หลังจากการฝังตัวอ่อนประมาณ 7-14 วัน การตรวจตั้งครรภ์แบบหยดหรือแบบตลับ (Pregnancy Test Cassette) อีกหนึ่งวิธีที่สามารถตรวจตั้งครรภ์ได้ด้วยตนเอง ด้วยอุปกรณ์ตรวจครรภ์แบบหยดหรือแบบตลับ (Pregnancy Test Cassette) โดยมีขั้นตอนการตรวจที่ทำได้ง่าย ๆ เริ่มจากการปัสสาวะลงในถ้วยตวง จากนั้นนำหลอดดูดน้ำปัสสาวะ แล้วนำไปหยดลงในตลับตรวจครรภ์ประมาณ 3-4 หยด ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อรออ่านผลลัพธ์ สำหรับวิธีนี้สามารถตรวจได้หลังจากการฝังตัวอ่อนประมาณ 7-14 วัน การตรวจตั้งครรภ์แบบปากกาหรือแบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการตรวจตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง คือการใช้อุปกรณ์ชนิดปากกาในแบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) โดยมีวิธีการใช้งานง่าย ๆ เริ่มจากการถอดฝาครอบออก แล้วถือแท่งตรวจครรภ์ขึ้น โดยให้ถอดฝาครอบบริเวณหัวปากกาออก จากนั้นปัสสาวะลงตรงบริเวณที่ต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 30 วินาที แล้วปล่อยทิ้งไว้ในแนวราบ รออ่านผลประมาณ 3-5 นาที สามารถตรวจได้เร็วสุด...