เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความ

ผู้หญิงมีอาการปวดศีรษะเนื่องจากมีเนื้องอกต่อมใต้สมอง

เนื้องอกต่อมใต้สมอง สาเหตุมีบุตรยากที่คู่สมรสควรรู้

เนื้องอกต่อมใต้สมอง ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนและกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ เพิ่มความเสี่ยงภาวะมีบุตรยาก แต่ยังสามารถมีบุตรได้ด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ที่เหมาะสม...

ผู้ชายรู้สึกเครียดกลัวว่าเป็นภาวะทองแดงแล้วจะมีบุตรไม่ได้

รู้จักภาวะทองแดงอย่างรอบด้าน คุณผู้ชายที่คิดมีบุตรควรอ่าน

เข้าใจภาวะทองแดง ซึ่งเป็นความผิดปกติของอัณฑะที่อาจนำไปสู่ภาวะอสุจิผิดปกติและทำให้มีบุตรยาก พร้อมแนวทางรักษาและเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ในปัจจุบัน...

ผู้หญิงรู้ว่าเตรียมตั้งครรภ์ห้ามกินอะไร จึงเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์

เตรียมตั้งครรภ์ห้ามกินอะไร ? แนะนำอาหารที่ควรงดก่อนมีลูก

การเตรียมตัวมีลูกเริ่มต้นจาก “สิ่งที่กินทุกวัน” เพราะโภชนาการก่อนตั้งครรภ์มีผลโดยตรงต่อคุณภาพไข่ การตกไข่ ฮอร์โมน และการฝังตัวของตัวอ่อน อาหารบางชนิดแม้จะดูปลอดภัย แต่สามารถเพิ่มความเสี่ยงภาวะมีบุตรยาก ลดคุณภาพไข่ หรือรบกวนสมดุลฮอร์โมนโดยไม่รู้ตัว การเข้าใจว่าในช่วงเตรียมตั้งครรภ์ควรงดอาหารอะไร และควรกินอะไรแทน จะช่วยให้ร่างกายพร้อมต่อการปฏิสนธิและตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยมากขึ้น ทั้งในการตั้งครรภ์ธรรมชาติและการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น IUI หรือ ICSI เมื่อเริ่มวางแผนมีลูก การดูแลร่างกายไม่ได้หมายถึงแค่การพักผ่อนหรือออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่อง “โภชนาการก่อนตั้งครรภ์” ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง อาหารบางชนิดอาจดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่กลับส่งผลต่อการตกไข่ ฮอร์โมน หรือแม้แต่การฝังตัวของตัวอ่อนโดยไม่รู้ตัว สำหรับว่าที่คุณแม่ที่สงสัยว่า ในช่วงที่เตรียมตั้งครรภ์ห้ามกินอะไรบ้าง บทความนี้ได้รวบรวมอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง พร้อมคำแนะนำด้านโภชนาการที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย นัดหมายแพทย์ ปรึกษาการทำ IUI / ICSI ทำไมการเลือกอาหารถึงสำคัญต่อการเตรียมตั้งครรภ์ ? โภชนาการกับภาวะเจริญพันธุ์ การกินอาหารอย่างเหมาะสม ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของไข่ในผู้หญิงและอสุจิในผู้ชาย รวมถึงการฝังตัวของตัวอ่อนในเยื่อบุโพรงมดลูกด้วย โดยการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล ฮอร์โมนทำงานได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ ความเสี่ยงจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม อาหารบางชนิดส่งผลให้ฮอร์โมนแปรปรวน เพิ่มความเสี่ยงภาวะมีบุตรยาก เช่น ส่งผลให้ไข่ไม่ตก หรือมูกไข่ไม่เหมาะกับการปฏิสนธิ นอกจากนี้ ในบางกรณีอาจเพิ่มความเสี่ยงแท้งบุตรในระยะเริ่มต้น สำหรับผู้หญิงที่ยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ดังนั้น การควบคุมอาหารตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ รับคำปรึกษาเรื่องการเตรียมตัวมีบุตรอย่างปลอดภัย   เตรียมตั้งครรภ์ห้ามกินอะไร ? แนะนำอาหารและเครื่องดื่มที่ควรงดเมื่อเตรียมตัวมีลูก แอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจลดคุณภาพของไข่และอสุจิ และเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตร หรือทำให้ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด จึงแนะนำให้งดดื่มล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือนก่อนวางแผนตั้งครรภ์ คาเฟอีน คาเฟอีนจากกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง หากร่างกายได้รับเกิน 200 มิลลิกรัม/วัน อาจเพิ่มระดับคอร์ติซอลในร่างกาย ซึ่งกระทบต่อการตกไข่ การฝังตัวของตัวอ่อน และอาจเพิ่มความเสี่ยงแท้ง กรณีที่ตั้งครรภ์ในระยะแรกเริ่ม อาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารดิบ เช่น ซูชิ...

คู่รักจับมือกันเพราะทำ IUI ไม่ติด และกำลังปรึกษาคุณหมอเพื่อหาวิธีอื่น ๆ ในการรักษา

วางแผนมีบุตรแต่ทำ IUI ไม่ติด เกิดจากอะไร ควรทำอย่างไรต่อ?

การทำ IUI แล้วไม่ติดไม่ได้หมายความว่าคู่รักไม่มีโอกาสมีบุตร แต่สะท้อนว่ามีหลายปัจจัยที่ยังต้องประเมินให้ลึกขึ้น ทั้งเรื่องอายุและคุณภาพไข่ของฝ่ายหญิง ปัญหามดลูกหรือท่อนำไข่ ภาวะอสุจิผิดปกติของฝ่ายชาย ตลอดจนไลฟ์สไตล์ ความเครียด และโรคประจำตัว การเข้าใจว่าสาเหตุของการทำ IUI ไม่สำเร็จอาจมาจากทั้งสองฝ่ายและปัจจัยแวดล้อมร่วมกัน จะช่วยให้ปรึกษาแพทย์ วางแผนตรวจเพิ่มเติม และพิจารณาทางเลือกอย่าง ICSI หรือเทคโนโลยีเสริมอื่น ๆ ได้ตรงจุดมากขึ้น แทนที่จะมองว่าเป็นความล้มเหลวของการรักษา หลายคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตรอาจเคยได้ยินว่า การทำ IUI มีโอกาสที่จะไม่ติดตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจสร้างความกังวลใจให้แก่คู่สมรส เพราะถึงแม้ว่าการทำ IUI จะเป็นหนึ่งในวิธีช่วยเจริญพันธุ์ที่ได้รับความนิยม แต่ผลลัพธ์ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในทุกครั้ง การเข้าใจถึงสาเหตุ และปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการวางแผนรักษาภาวะมีบุตรยาก นัดหมายแพทย์เพื่อปรึกษาการทำ IUI / ICSI ทำ IUI ไม่ติด เกิดจากอะไร เข้าใจสาเหตุและปัจจัยสำคัญ การทำ IUI (Intrauterine Insemination) เป็นการผสมเทียมโดยใช้วิธีทางการแพทย์ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ด้วยการฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง สร้างโอกาสให้เชื้ออสุจิเข้าถึงไข่ได้เร็วและตรงจุดมากขึ้น ซึ่งขั้นตอนนี้มักทำร่วมกับการกระตุ้นไข่ และการตรวจติดตามรังไข่ เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ให้เกิดการตั้งครรภ์ เหมาะสำหรับคู่รักที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอสุจิ ช่องทางเดินไข่ไม่มีปัญหา รวมถึงคู่รักที่ต้องการเพิ่มโอกาสให้เชื้ออสุจิเข้าใกล้ไข่มากที่สุด อัตราความสำเร็จของ IUI โดยทั่วไปอัตราความสำเร็จของการทำ IUI จะอยู่ที่ประมาณ 10–20% ต่อรอบ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุของฝ่ายหญิง, สุขภาพโดยรวม, คุณภาพของไข่และอสุจิ รวมถึงปัจจัยภาวะเจริญพันธุ์ของคู่สมรส แต่ทั้งนี้ ข้อจำกัดทางด้านอายุอาจมีผลมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ที่การทำ IUI อาจมีโอกาสไม่ติดสูงกว่าปกติ  สาเหตุที่ทำ...

Microfluidic Chip Sperm Sorting คือการคัดเลือกสเปิร์มคุณภาพ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

Microfluidic Chip นวัตกรรมคัดสเปิร์ม เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

การคัดสเปิร์มด้วย Microfluidic Chip Sperm Sorting เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยยกระดับความสำเร็จของการทำ ICSI โดยใช้แผ่นชิปขนาดเล็กที่จำลองสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติในร่างกาย เพื่อคัดเลือกเฉพาะอสุจิที่แข็งแรง เคลื่อนไหวดี รูปร่างปกติ และมีโอกาสที่ DNA ผิดปกติน้อยลง ทำให้ได้สเปิร์มคุณภาพสูงสำหรับใช้ฉีดเข้ากับไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิ การพัฒนาตัวอ่อน และลดความเสี่ยงของการรักษาที่ล้มเหลว เหมาะกับคู่สมรสที่มีปัญหาคุณภาพสเปิร์ม หรือเคยทำ ICSI แล้วไม่สำเร็จหลายรอบ ในโลกของการรักษาภาวะมีบุตรยาก ทุกขั้นตอนมีความหมายและส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว คือขั้นตอนการฉีดสเปิร์มคุณภาพเข้าไปในไข่ (ICSI) ซึ่งนวัตกรรมใหม่ที่ชื่อว่า Microfluidic Chip Sperm Sorting คือหนึ่งในคำตอบสำคัญที่ช่วยคัดเลือกสเปิร์มที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อส่งต่อโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์  ทำความรู้จัก Microfluidic Chip คืออะไร? Microfluidic Chip มีลักษณะเป็นแผ่นแก้ว หรือพลาสติกขนาดเล็กประมาณเท่าบัตรเครดิต บนแผ่นชิปนี้จะมีช่องทางขนาดจิ๋วที่ออกแบบมาให้สเปิร์มว่ายผ่านได้ โดยอาศัยหลักการทำงานที่เลียนแบบกระบวนการธรรมชาติภายในร่างกายของผู้หญิง เมื่อใส่ตัวอย่างน้ำเชื้อลงในชิป จะมีเพียงเฉพาะสเปิร์มที่มีคุณภาพเท่านั้นที่จะว่ายผ่านไปถึงจุดเก็บสเปิร์มที่ปลายอีกด้านได้ ส่วนสเปิร์มที่อ่อนแอ เคลื่อนที่ช้า หรือรูปร่างไม่ปกติ จะไม่สามารถไปถึงปลายทางได้ จึงสามารถช่วยคัดเลือกเฉพาะสเปิร์มที่แข็งแรงสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการปฏิสนธิ จึงช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น ปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อวางแผนเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์   ทำไมการคัดสเปิร์มด้วย Microfluidic Chip จึงสำคัญ? ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำ ICSI ให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้มีแค่คุณภาพของไข่ แต่คุณภาพของสเปิร์มก็สำคัญไม่แพ้เรื่องใด และนี่คือเหตุผลที่ Microfluidic Chip เข้ามาเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์อย่างมากต่อกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก  เพิ่มคุณภาพสเปิร์มที่ใช้ในการทำ ICSI สเปิร์มที่ถูกคัดเลือกด้วยการทำ Microfluidic Chip จะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าสเปิร์มทั่วไป ทำให้มีโอกาสในการปฏิสนธิและสร้างตัวอ่อนที่แข็งแรงได้สูงขึ้น เคลื่อนไหวดี โดยหลักการทำงานของชิปที่เหมือนสนามแข่งสำหรับสเปิร์ม จะทำให้มีเพียงสเปิร์มที่เคลื่อนไหวได้ดีเท่านั้นที่จะไปถึงปลายทางได้ ซึ่งเป็นสัญญาณของความแข็งแรงและพลังงานที่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ รูปร่างปกติ...

ผู้หญิงมีอาการปวดท้องน้อยเนื่องจากภาวะมดลูกอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

สาเหตุการเกิดมดลูกอักเสบ ป้องกันก่อนเกิดภาวะมีบุตรยาก

ภาวะมดลูกอักเสบ (Endometritis) คือภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกติดเชื้อและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ส่งผลกระทบต่อโอกาสตั้งครรภ์อย่างมาก ทั้งทำให้ไข่ไม่ตกสม่ำเสมอ การฝังตัวอ่อนลดลง หรือเสี่ยงภาวะมีบุตรยากในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่เคยทำ ICSI แล้วไม่สำเร็จหลายครั้ง มดลูกอักเสบอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไปได้ง่าย การรู้เท่าทันอาการ สาเหตุ วิธีตรวจวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพมดลูกให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ทั้งแบบธรรมชาติและด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ มาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาการ การตรวจวินิจฉัย การรักษา และวิธีการป้องกันภาวะมดลูกอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะมีบุตรยากได้ตั้งแต่วันนี้ มดลูกอักเสบคืออะไร ? ภาวะมดลูกอักเสบ หรือ Endometritis คือภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่บุอยู่ด้านในของมดลูกเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ ส่วนใหญ่แล้วมดลูกอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อโรคสามารถเดินทางเข้าสู่โพรงมดลูกได้หลายวิธีและก่อให้เกิดการอักเสบได้ เกิดได้ทั้งแบบกะทันหันและแบบที่เป็น ๆ หาย ๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ปัจจัยเสี่ยง และภูมิคุ้มกันของร่างกาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ มดลูกอักเสบเฉียบพลัน และมดลูกอักเสบเรื้อรัง ความแตกต่างระหว่างมดลูกอักเสบเฉียบพลันและมดลูกอักเสบเรื้อรัง ภาวะมดลูกอักเสบทั้งสองประเภท มีสาเหตุและลักษณะอาการที่แตกต่างกันชัดเจน ซึ่งรายละเอียดที่ผู้หญิงควรทำความเข้าใจเบื้องต้น ได้แก่ มดลูกอักเสบเฉียบพลัน (Acute Endometritis) : มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรงหลังจากการคลอดบุตร การแท้งบุตร หรือการทำหัตถการอื่นที่เกี่ยวข้องกับมดลูก เช่น การขูดมดลูก เนื่องจากเป็นช่วงที่ปากมดลูกเปิดกว้าง ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่โพรงมดลูกได้ง่าย อาการจึงแสดงออกชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอาการไข้สูง ปวดท้องน้อย หรือตกขาวผิดปกติ มดลูกอักเสบเรื้อรัง (Chronic Endometritis) : เป็นภาวะของอาการอักเสบที่สะสมมาเป็นเวลานาน อาการอาจไม่ชัดเจนหรือรุนแรงเท่าแบบเฉียบพลัน แต่มักพบในผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ล้มเหลวจากการทำเด็กหลอดแก้วหรือการทำ ICSI ซ้ำ...

ภาพสื่อถึงการตรวจภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป หรือที่เรียกว่า “อาการเอสโตรเจนเด่น

ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป และอาการที่ส่งผลให้มีบุตรยาก

ปัจจุบันผู้หญิงต้องเผชิญกับความเครียด เนื่องจากการทำงานหนัก และการใช้ชีวิตที่รีบเร่ง ส่งผลให้ปัญหาเรื่องฮอร์โมนไม่สมดุลกลายเป็นเรื่องที่พบบ่อยมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป หรือที่เรียกว่า “อาการเอสโตรเจนเด่น” ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพโดยรวมเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการมีบุตรยากอีกด้วย หากทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้ จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้สำเร็จในอนาคต นัดหมายรับคำปรึกษากับสูตินรีแพทย์เพื่อวางแผนตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จ  ฮอร์โมนเอสโตรเจนคืออะไร? ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนหลักของผู้หญิง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ โดยทำหน้าที่ควบคุมรอบเดือน การตกไข่ การตั้งครรภ์ และสุขภาพของมดลูกและรังไข่ ฮอร์โมนประเภทนี้ถูกผลิตจากรังไข่เป็นหลัก และยังมีการผลิตในปริมาณน้อยจากเซลล์ไขมัน ต่อมหมวกไต และตับ ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่เพียงช่วยในการเตรียมร่างกายสำหรับการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูก การทำงานของหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงความชุ่มชื้นของผิวหนัง อีกทั้งการทำงานอย่างเป็นปกติของฮอร์โมนชนิดนี้ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวมของผู้หญิงทุกคน แต่ในขณะเดียวกันหากเกิดภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นกัน  ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป มีอาการเป็นอย่างไร? ผู้หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป มักมีอาการทั้งทางกายภาพและจิตใจ สำหรับอาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้ อาการทางกายภาพ อาการที่เกี่ยวข้องกับร่างกายมักทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่ รอบเดือนมาผิดปกติ อาจมีเลือดออกมากหรือน้อยเกินไป ระยะห่างระหว่างรอบเดือนสั้นลง หรือนานเกินไป อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย และมาไม่สม่ำเสมอ น้ำหนักขึ้นง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณสะโพกและต้นขา เนื่องจากเอสโตรเจนส่วนเกินจะไปส่งเสริมการสะสมของไขมันในบริเวณเหล่านั้น   เจ็บคัดเต้านม และมีอาการบวมตึง โดยเฉพาะก่อนมีประจำเดือน หรือมีก้อนเนื้อหรือซีสต์ที่เต้านม (Fibrocystic Breasts) อาการทางอารมณ์และจิตใจ ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสารเคมีในสมอง ดังนั้นภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปจะส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยอาการที่มักพบได้บ่อย มีดังนี้ อารมณ์แปรปรวน มีอาการหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลอย่างไม่มีเหตุผล อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา และมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้น หรือสมองล้า (Brain Fog) หากปล่อยให้ภาวะเอสโตรเจนเด่นดำเนินต่อไปในระยะยาว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อเยื่อในระบบสืบพันธุ์ ดังนี้ เสี่ยงต่อการเกิดซีสต์ หรือเนื้องอกในมดลูก (Myoma หรือ Fibroids) ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (Endometrial Hyperplasia)...