น้ำในโพรงมดลูกเกิดจากอะไร? รักษาก่อน เพิ่มโอกาสท้องสำเร็จ
น้ำในโพรงมดลูก คือภาวะที่มีของเหลวคั่งอยู่ภายในโพรงมดลูก ซึ่งปกติควรแห้งและพร้อมให้ ตัวอ่อนฝังในโพรงมดลูก ได้อย่างสมบูรณ์ ภาวะนี้มักตรวจพบระหว่างการ ตรวจภาวะมีบุตรยาก หรือช่วงเตรียมย้ายตัวอ่อนในการทำ ICSI โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ท่อนำไข่อุดตัน (Hydrosalpinx) การอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ความผิดปกติของโครงสร้างมดลูก และความไม่สมดุลของฮอร์โมน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้ เพิ่มความเสี่ยงแท้ง และลดอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ดังนั้นการวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาให้โพรงมดลูกพร้อมก่อนตั้งครรภ์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญอย่างยิ่ง การวางแผนตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย แต่ยังต้องอาศัย "สภาพแวดล้อมภายในมดลูก" ที่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน โดยหนึ่งในภาวะที่อาจไปขัดขวางกระบวนการนี้ก็คือ ภาวะ “น้ำในโพรงมดลูก” ที่มักตรวจพบระหว่างการประเมินภาวะมีบุตรยากหรือในช่วงเตรียมย้ายตัวอ่อนในรอบทำเด็กหลอดแก้วหรือการทำ ICSI รู้จักภาวะน้ำในโพรงมดลูก น้ำในโพรงมดลูก (Endometrial Cavity Fluid: ECF) คือ ภาวะที่พบของเหลวสะสมอยู่ในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งปกติพื้นที่บริเวณนี้ควรแห้ง สะอาด และปลอดสิ่งรบกวน เพื่อให้ตัวอ่อนสามารถเกาะและฝังตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะนี้อาจพบได้ชั่วคราว เช่น ในช่วงตกไข่ แต่หากพบในปริมาณมาก หรือพบในช่วงเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อย้ายตัวอ่อน จะต้องตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธี เพราะมีผลต่ออัตราการตั้งครรภ์โดยตรง อาการที่พบ ผู้ที่มีภาวะนี้อาจมีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการเลย โดยสัญญาณที่พบโดยทั่วไป ได้แก่ ประจำเดือนมาน้อยกว่าปกติ หรือมาผิดปกติ ปวดท้องน้อยหรือหน่วงท้องน้อยเรื้อรัง มีตกขาวปริมาณมากผิดปกติ หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งบ่งชี้การติดเชื้อในโพรงมดลูกหรือปากมดลูก แนวทางการวินิจฉัย อัลตราซาวนด์ช่องคลอด (TVS) : ใช้ตรวจดูปริมาณของเหลว ลักษณะเยื่อบุโพรงมดลูก และความผิดปกติที่อาจเกี่ยวข้อง การฉีดสีท่อนำไข่ (HSG) : ใช้ประเมินว่าท่อนำไข่ตีบตันหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีต้องสงสัยว่าเกิดภาวะ Hydrosalpinx หรือท่อนำไข่บวมน้ำ การส่องกล้องโพรงมดลูก (Hysteroscopy) :...
มีติ่งเนื้อที่ปากมดลูก ตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ควรทำอย่างไร?
“มีติ่งเนื้อที่ปากมดลูก อันตรายหรือไม่ ?” “มีติ่งเนื้อที่ปากมดลูก ตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ?” มีติ่งเนื้อที่ปากมดลูก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ และส่วนใหญ่เป็นเนื้อไม่ร้ายแรง จึงมักไม่อันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงกังวลว่า มีติ่งเนื้อที่ปากมดลูก อันตรายไหม และจะส่งผลต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ ในบางกรณีติ่งเนื้อที่มีขนาดใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งที่กีดขวาง อาจรบกวนการเดินทางของอสุจิ การฝังตัวของตัวอ่อน หรือเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกผิดปกติได้ ดังนั้นผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรควรเข้ารับการตรวจภายในและ ตรวจความพร้อมมีบุตร อย่างละเอียด เพื่อประเมินว่าจำเป็นต้องรักษาก่อนตั้งครรภ์หรือไม่ และช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย คำถามเหล่านี้มักสร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงหลาย ๆ คนที่ตรวจพบติ่งเนื้อที่ปากมดลูก โดยเฉพาะกับคู่สมรสที่กำลังวางแผนการมีบุตร ซึ่งการเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาจะช่วยให้สามารถวางแผนการมีบุตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจยิ่งขึ้น ตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อมในการตั้งครรภ์ ที่ VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร ติ่งเนื้อที่ปากมดลูกคืออะไร ? ติ่งเนื้อที่ปากมดลูกหรือติ่งเนื้อปากมดลูก คือการเติบโตของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกที่ผิดปกติ ซึ่งมักอยู่ในรูปของก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ที่เรียกว่า Cervical Polyps ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะช่วงอายุ 30-50 ปี ปกติติ่งเนื้อปากมดลูกมักไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือผิดปกติชัดเจน ผู้หญิงหลายคนจะรับรู้ว่าตนเองมีติ่งเนื้อก็ต่อเมื่อเข้ารับการตรวจภายใน หรือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap smear) ลักษณะของติ่งเนื้ออาจมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ บางรายอาจมีติ่งเดียวหรือหลายติ่ง และส่วนใหญ่เป็นชนิดที่ไม่ร้ายแรง (Non-cancerous) จึงไม่ต้องกังวลว่าจะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง แต่หากมีขนาดใหญ่หรือมีเลือดออกผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมโดยสูตินรีแพทย์ สาเหตุของการเกิดติ่งเนื้อที่ปากมดลูกคืออะไร ? ภาวะติ่งเนื้อที่ปากมดลูกยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระตุ้นการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเนื้อเยื่อในบริเวณช่องคลอดและปากมดลูก จนกลายเป็นติ่งเนื้อในที่สุด ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์หรือหญิงตั้งครรภ์ การติดเชื้อ หากเกิดการอักเสบของปากมดลูก หรือติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด อาจทำให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกเกิดการซ่อมแซมผิดปกติ จนนำไปสู่การก่อตัวของติ่งเนื้อ การบาดเจ็บจากการคลอดบุตร การคลอดบุตร รวมถึงการขูดมดลูก อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณปากมดลูก ทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดติ่งเนื้อ เนื่องจากมีการซ่อมแซมบาดแผลหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก อันตรายของติ่งเนื้อที่ปากมดลูก แม้ว่าติ่งเนื้อที่ปากมดลูกส่วนใหญ่จะไม่ร้ายแรง แต่การปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ ดังนี้ ภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการคลอด ติ่งเนื้อที่มีขนาดใหญ่ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติ...
ฮีโมฟีเลียเกิดจากอะไร? เข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางป้องกัน
ฮีโมฟีเลีย คือ โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ เพราะร่างกายขาดโปรตีนช่วยการแข็งตัวของเลือด (clotting factor) จึงมีอาการเด่นอย่าง เลือดออกง่าย หยุดยาก ฟกช้ำง่าย และอาจมีเลือดออกในข้อได้ โรคนี้มักเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดผ่าน โครโมโซม X ทำให้พบในเพศชายมากกว่า และผู้หญิงหลายคนอาจเป็น “พาหะ” โดยไม่รู้ตัว หากครอบครัวมีประวัติฮีโมฟีเลีย หรือกังวลว่า ฮีโมฟีเลียเกิดจาก ยีนที่ถ่ายทอดไปสู่ลูกได้ ปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการทำ ICSI ร่วมกับ การตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน (PGT-M) เพื่อคัดเลือกตัวอ่อนที่ไม่มียีนผิดปกติก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก สำหรับคู่รักที่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมในครอบครัว ความปรารถนาที่จะมีลูกที่แข็งแรงสมบูรณ์ย่อมมาพร้อมกับความกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต อย่าง โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือ โรคเลือดออกไม่หยุด แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันจะมาช่วยคลายความกังวลเหล่านี้ลงไปได้ บทความนี้จะชวนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฮีโมฟีเลียอย่างละเอียด ว่าฮีโมฟีเลียเกิดจากอะไร มีอาการเป็นอย่างไร พร้อมนำเสนอทางออกในการป้องกันการถ่ายทอดโรคสู่รุ่นลูก ฮีโมฟีเลียคืออะไร ทำไมจึงถูกเรียกว่าโรคเลือดออกไม่หยุด ? โรคฮีโมฟีเลีย คือ ภาวะความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด โดยเกิดจากการขาดโปรตีนที่จำเป็นต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือด (Clotting Factor) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ ฮีโมฟีเลีย ชนิด A (Hemophilia A) : ขาดโปรตีน Factor VIII (แฟกเตอร์แปด) ฮีโมฟีเลีย ชนิด B (Hemophilia B) : ขาดโปรตีน Factor IX (แฟกเตอร์เก้า) เมื่อร่างกายขาดโปรตีนเหล่านี้ หากเกิดบาดแผลจนเลือดออกขึ้นมา เลือดจะหยุดไหลได้ช้ากว่าปกติมาก...
นวัตกรรม SNP-based PGT-A ช่วยคัดกรองโครโมโซมก่อนใส่ตัวอ่อน
SNP-based PGT-A คือการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนด้วยเทคโนโลยี NGS ที่อ่าน “รหัสพันธุกรรมรายจุด (SNP)” และวิเคราะห์รูปแบบการถ่ายทอดโครโมโซมจากพ่อและแม่ จึงช่วยคัดเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมสมบูรณ์ (euploid) ได้แม่นยำกว่า PGT-A แบบเดิม (CNV-based) ซึ่งวัดปริมาณ DNA เพื่อดูโครโมโซมขาดหรือเกินเท่านั้น โดย SNP-based PGT-A มีจุดเด่นคือช่วยตรวจพบความผิดปกติที่มักพลาดได้ เช่น Haploidy / Triploidy / Polyploidy และยังช่วยเพิ่มโอกาสนำตัวอ่อนกลุ่ม 0PN หรือ 1PN มาประเมินใหม่ได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ “จำนวนตัวอ่อนที่เลือกได้” เพิ่มขึ้น และสนับสนุน การแบ่งเกรดโครโมโซมตัวอ่อน เพื่อวางแผนย้ายตัวอ่อนอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงแท้งและความผิดปกติแต่กำเนิด ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมมีความปรารถนาเดียวกัน คือขอให้กระบวนการตั้งครรภ์และการคลอดราบรื่น เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงตั้งแต่แรกคลอด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเจอกับภาวะมีบุตรยาก ทำให้ต้องมีการวางแผนการตั้งครรภ์ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว อย่างการทำ ICSI ที่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ แต่นอกเหนือจากการเตรียมร่างกายให้พร้อมแล้ว หนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ และช่วยให้ทารกไม่มีความผิดปกติโดยกำเนิด คือการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนด้วยวิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะการตรวจ SNP-based PGT-A ที่มีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ การตรวจ SNP-based PGT-A คืออะไร ? การตรวจ SNP-based PGT-A คือการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีชุดโครโมโซมสมบูรณ์ ก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแท้งหรือทำให้ทารกมีความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมในระดับที่ลึกกว่า เพื่อเลือกตัวอ่อนที่ “เหมาะสมที่สุด”...
หยุดกินยาคุมแล้วท้องได้เมื่อไร ? คำตอบสำหรับผู้วางแผนมีบุตร
หลัง หยุดกินยาคุม ร่างกายของผู้หญิงส่วนใหญ่จะเริ่มกลับมาตกไข่อีกครั้งภายใน 2–6 สัปดาห์ และมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ภายใน 1–3 เดือนแรก หากฮอร์โมนและรอบเดือนฟื้นตัวเป็นปกติ ดังนั้นคำถามที่พบบ่อยอย่าง หยุดยาคุมกี่วันไข่ตก หรือ หยุดยาคุมกี่เดือนท้อง จึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เคยใช้ยาคุม สุขภาพฮอร์โมน และไลฟ์สไตล์โดยรวม การเข้าใจสัญญาณตกไข่และเตรียมร่างกายให้พร้อมอย่างเหมาะสม จะช่วยตอบโจทย์ว่า ทำยังไงให้ท้อง และเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในผู้ที่กังวลเรื่องภาวะมีบุตรยาก หลายคนที่หยุดกินยาคุมแล้วเริ่มวางแผนมีบุตร มักสงสัยว่าต้องรอนานแค่ไหนถึงจะตั้งครรภ์ได้ตามธรรมชาติ ซึ่งความจริงแล้วร่างกายแต่ละคนฟื้นตัวไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เคยใช้ยาคุม ชนิดของยา และสุขภาพโดยรวมของระบบสืบพันธุ์ การทำความเข้าใจว่าหลังหยุดยาคุมกี่วันไข่จะตก หรือต้องรอกี่เดือนถึงจะมีโอกาสตั้งครรภ์ เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมให้ดี เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้อย่างมั่นใจ ปรึกษาเรื่องการวางแผนมีบุตรที่ VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร หยุดยาคุมแล้วต้องรอกี่เดือนท้องได้ ? หลายคนอาจคิดว่าหยุดยาคุมแล้วสามารถตั้งครรภ์ได้ทันที แต่ความจริงขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของร่างกาย ซึ่งหลังจากหยุดยาคุม ฮอร์โมนเพศหญิงจะกลับมาสมดุลอีกครั้ง แต่ก็ต้องใช้เวลาเพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ ซึ่งกระบวนการนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โอกาสตั้งครรภ์ทันทีหลังหยุดยาคุมเป็นไปได้หรือไม่ ? ผู้ที่ใช้ยาคุมระยะสั้น (ไม่เกิน 6 เดือน) หรือผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ย่อมมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ทันทีสูงกว่าคนที่มีร่างกายอ่อนแอ ช่วงเวลาที่มักตั้งครรภ์ได้สำเร็จโดยเฉลี่ย โดยทั่วไป ผู้หญิงที่สุขภาพแข็งแรงมักตั้งครรภ์ได้ภายใน 1-3 เดือนหลังหยุดยา และส่วนใหญ่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายใน 1 ปี หากมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอโดยไม่คุมกำเนิด ระยะเวลาฟื้นตัวของฮอร์โมนหลังหยุดยา ด้วยคุณสมบัติของยาคุมกำเนิดที่จะไปยับยั้งการตกไข่ ดังนั้นเมื่อหยุดยา ร่างกายจะต้องฟื้นฟูการทำงานของฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen และ Progesterone) รวมถึงฮอร์โมนควบคุมการตกไข่ (LH และ FSH) ให้กลับมาปกติ ซึ่งโดยเฉลี่ยจะใช้เวลา 2-3 เดือนเพื่อให้รอบเดือนกลับมาสม่ำเสมอและมีการตกไข่ตามปกติ ข้อควรรู้: การใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดหรือยาแบบฝัง อาจใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่ายาเม็ด ที่อาจต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน–1 ปี...
iDAScore เทคโนโลยี AI คัดเลือกตัวอ่อน โอกาสสำเร็จการทำ ICSI
เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญหลายด้านในวงการแพทย์ โดยเฉพาะสาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ที่เน้นช่วยเหลือคู่รักที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก โดยหนึ่งในกระบวนการสำคัญที่ถูกนำมาใช้รักษาภาวะนี้ คือการทำเด็กหลอดแก้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำ IVF และ ICSI ซึ่งจะต้องอาศัยการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์และตัวอ่อนสามารถฝังตัวในมดลูกได้สำเร็จ เทคโนโลยี iDAScore คือหนึ่งในนวัตกรรม AI ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้คะแนนเกรดตัวอ่อน โดยระบบจะวิเคราะห์การเจริญเติบโตของตัวอ่อนแบบอัตโนมัติและให้คะแนนตามความสมบูรณ์ เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถเลือกตัวอ่อนที่มีศักยภาพสูงสุดสำหรับการตั้งครรภ์ วางแผนการตั้งครรภ์กับทีมแพทย์ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เทคโนโลยี iDAScore คืออะไร ? iDAScore คือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อช่วยในการให้คะแนนเกรดตัวอ่อนอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ โดยใช้การวิเคราะห์ภาพจากระบบ Time-Lapse Embryoscope ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยและมีความสามารถพิเศษในการถ่ายภาพตัวอ่อนในทุก ๆ ช่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องนำตัวอ่อนออกมาจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในตู้เพาะเลี้ยง ความพิเศษของระบบ Time-Lapse Embryoscope คือสามารถบันทึกภาพการเจริญเติบโตของตัวอ่อนได้อย่างละเอียดทุก ๆ 10-15 นาที ทำให้เราสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวอ่อนได้อย่างครบถ้วนและแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการประเมินคุณภาพของตัวอ่อน โดยข้อมูลภาพเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์โดยระบบ AI ของ iDAScore เพื่อให้คะแนนและจัดอันดับตัวอ่อนที่มีศักยภาพสูงสุดในการฝังตัวและพัฒนาเป็นทารกที่สมบูรณ์ หลักการทำงานของ iDAScore เมื่อระบบ iDAScore ได้รับข้อมูลจากการถ่ายภาพตัวอ่อนอย่างต่อเนื่อง ระบบจะทำการประมวลผลภาพทั้งหมดผ่านอัลกอริทึม AI ที่ได้รับการฝึกจากฐานข้อมูลตัวอ่อนนับแสนชุดทั่วโลก เพื่อให้สามารถวิเคราะห์คุณภาพตัวอ่อนได้อย่างแม่นยำ โดยพิจารณาจากปัจจัยหลักดังต่อไปนี้ ความเร็วในการแบ่งตัวของเซลล์ ตัวอ่อนที่มีอัตราการแบ่งเซลล์ตรงตามระยะเวลาการแบ่งเซลล์ (Milestones) มีศักยภาพในการฝังตัวและโครโมโซมปกติในอัตราที่สูงกว่า โดยระบบ AI...
เทคนิคส่องเส้นใยสปินเดิลในไข่ เพิ่มความสำเร็จในการทำ ICSI
เทคโนโลยี ส่องเส้นใยสปินเดิลในไข่ (Spindle Fiber) คือหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วย คัดกรองคุณภาพไข่ ได้อย่างแม่นยำก่อนเข้าสู่กระบวนการ ICSI โดยใช้กล้อง Microscope และระบบ Oosight Imaging ซึ่งช่วยให้มองเห็นโครงสร้างภายในของไข่ได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ทำลายเซลล์ ช่วย เพิ่มโอกาสปฏิสนธิ ลดความเสี่ยงโครโมโซมผิดปกติ และยกระดับความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เหมาะกับผู้หญิงอายุเกิน 35 ปี หรือผู้ที่เคยทำ ICSI แล้วไม่สำเร็จ การใช้เทคโนโลยีนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญของการรักษาใน คลินิกรักษามีบุตรยาก อย่าง VFC Center คุณภาพของไข่ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ ICSI โดยไข่ที่มีคุณภาพดีจะช่วยให้การปฏิสนธิเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรง แต่หากไข่มีความผิดปกติ แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลให้การปฏิสนธิล้มเหลว ตัวอ่อนไม่พัฒนา หรือแม้แต่อาจทำให้เกิดการแท้งในระยะแรก ส่งผลให้กระบวนการนี้ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง แต่ด้วยเทคโนโลยีการตรวจเส้นใยสปินเดิล (Spindle Fiber) ทำให้การรักษาภาวะมีบุตรยากมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยคัดเลือกคุณภาพไข่ที่มีความพร้อมสำหรับการปฏิสนธิ จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อวางแผนการทำ ICSI ที่ VFC Center เส้นใยสปินเดิล (Spindle Fiber) คืออะไร และมีหน้าที่อย่างไรในกระบวนการปฏิสนธิ ? “เส้นใยสปินเดิล” หรือ Spindle Fiber เป็นโครงสร้างขนาดเล็กภายในเซลล์ไข่ มีลักษณะเป็นเส้นใยไมโครทูบูล (Microtubule) ทำหน้าที่จัดเรียงและแยกโครโมโซมในระหว่างที่ไข่กำลังแบ่งตัว (Meiosis II) ก่อนเข้าสู่การปฏิสนธิ ดังนั้น การตรวจเส้นใยสปินเดิลจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินความพร้อมของไข่ ซึ่งถ้าหากพบว่าเส้นใยอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็จะหมายความว่าไข่มีความพร้อมเข้าสู่กระบวนการทำ ICSI และสามารถช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิได้ ลักษณะของเส้นใยสปินเดิลที่ผิดปกติ หากเส้นใยสปินเดิลเกิดความผิดปกติขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากอายุของผู้หญิง...



