ในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก “รังไข่” ถือเป็นอวัยวะหลักที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะการตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอ หรือไข่มีคุณภาพต่ำ อาจทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง การกระตุ้นรังไข่จึงเป็นเทคนิคที่แพทย์ใช้เพื่อช่วยให้รังไข่ผลิตไข่ที่มีคุณภาพและได้จำนวนที่เพียงพอต่อการทำ ICSI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้การกระตุ้นรังไข่จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ แต่ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่าภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome หรือ OHSS) ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้เข้ารับการรักษาควรทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน
การกระตุ้นรังไข่คืออะไร ทำไมถึงเป็นหัวใจสำคัญของการมีบุตร ?
การกระตุ้นรังไข่คือการใช้ยาฮอร์โมนสังเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น Follicle Stimulating Hormone และ Luteinizing Hormone เพื่อทำให้รังไข่ผลิตฟองไข่ (Follicles) ได้หลายฟองพร้อมกันในรอบเดือนเดียว ซึ่งแตกต่างจากการตกไข่ตามธรรมชาติที่รังไข่มักจะปล่อยไข่เพียงใบเดียวเท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ร่างกายพร้อมต่อการรักษาภาวะมีบุตรยาก
- เพิ่มโอกาสได้ตัวอ่อน โดยการได้ไข่หลายใบจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเกิดตัวอ่อนหลายตัว ทำให้มีทางเลือกในการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดสำหรับการฝังตัว
- ควบคุมรอบเดือน ทำให้แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์สามารถควบคุมช่วงเวลาของการเจริญเติบโตของไข่และกำหนดวันเก็บไข่ได้อย่างแม่นยำ
กระบวนการกระตุ้นรังไข่
ยากระตุ้นรังไข่แบ่งเป็นแบบทานและแบบฉีด ซึ่งทั้งสองแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ได้หลายใบ โดยเฉพาะในขั้นตอนของการทำ ICSI
ยากระตุ้นไข่แบบทาน (Oral Medications)
ส่วนมากได้แก่ Clomiphene Citrate ซึ่งมักถูกใช้ในการรักษาที่มีความซับซ้อนน้อย เช่น การกระตุ้นไข่ร่วมกับการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ หรือการทำ IUI (ฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก) เพื่อให้ได้ไข่จำนวน 1-3 ใบ ซึ่งทำงานโดยการหลอกร่างกายว่ามีฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ เพื่อให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) ออกมากระตุ้นรังไข่ให้สร้างไข่
ยากระตุ้นไข่แบบฉีด (Injectable Gonadotropins)
ที่พบได้บ่อย ๆ คือ Gonodotropin ซึ่งเป็นยาฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีความเข้มข้นสูง ประกอบด้วยฮอร์โมน FSH หรือ LH (Luteinizing Hormone) ยากลุ่มนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งและเป็นหัวใจหลักในการรักษาด้วยกระบวนการทำ ICSI โดยจะออกฤทธิ์โดยตรงต่อรังไข่ เพื่อกระตุ้นให้ฟองไข่จำนวนมากเจริญเติบโตพร้อมกัน ทำให้แพทย์สามารถเก็บไข่ได้จำนวนสำหรับการสร้างตัวอ่อน
การใช้ยากระตุ้นไข่ทั้งสองชนิดนี้มีความสำคัญในการเพิ่มจำนวนไข่ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
ปรึกษาสูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
เข้าใจและรับมือภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (OHSS)
แม้การกระตุ้นรังไข่จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ แต่ก็อาจนำไปสู่ภาวะ OHSS เมื่อรังไข่ตอบสนองเกินความเหมาะสม ทำให้รังไข่บวม ท้องบวมน้ำ หรืออาจเกิดอันตรายได้ ในกรณีที่อาการ OHSS รุนแรงมาก แพทย์ต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือภาวะน้ำในช่องท้อง ช่องอก มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมารดา โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- อึดอัด ปวดแน่นท้อง ท้องอืด โดยอาการอาจรุนแรงมากจนถึงขั้นทานอาหารไม่ได้
- เส้นรอบเอวและน้ำหนักเพิ่มขึ้น โดยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร วิงเวียนหน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว
- อาการทางระบบหายใจ หายใจลำบาก หรือ ติดขัด เหนื่อยง่าย
- หากมีอาการรุนแรง เช่น มีอาการปวดแน่นท้องมากจนรับประทานอาหารไม่ได้ หายใจลำบาก ติดขัด หรือปริมาณปัสสาวะลดลงอย่างรวดเร็ว ควรรีบมาพบแพทย์ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทันที
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป
ภาวะ OHSS เกิดจากการตอบสนองที่มากเกินไปของรังไข่จากยากระตุ้นรังไข่ แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีแนวโน้มว่าเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้น โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่
- ผู้หญิงอายุน้อย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย หรือรูปร่างผอม จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ
- ผู้ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) เนื่องจากผู้ป่วย PCOS มีจำนวนถุงไข่เล็ก (Antral Follicles) ในรังไข่จำนวนมาก ทำให้รังไข่ตอบสนองต่อยาฮอร์โมนได้ไวและรุนแรง
- ผู้ที่มีค่า AMH สูง ซึ่งบ่งชี้ถึงปริมาณไข่สำรองที่เยอะ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะได้ไข่จำนวนมากเกินไป
- ผู้ที่เคยมีประวัติเป็น OHSS มาก่อน ในรอบการกระตุ้นไข่ครั้งก่อน
- ผู้ที่ได้ไข่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ไข่มากกว่า 15 – 20 ใบในการเก็บไข่แต่ละครั้ง
- ผู้ที่ตรวจยีน FSHR แล้วพบว่าเป็น Genotype แบบ NN ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ได้มากกว่าปกติ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไปสูงขึ้น
ป้องกันความเสี่ยงของภาวะ OHSS โดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ที่ VFC Center

เคล็ดลับการดูแลตนเองทั้งก่อนและหลังการกระตุ้นรังไข่
การเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อยาได้ดีที่สุด อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ซึ่งการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้การเดินทางสู่การมีบุตรเป็นไปอย่างราบรื่นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ช่วงเตรียมตัวและระหว่างกระตุ้นรังไข่
การเตรียมความพร้อมในช่วงนี้จะช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อยาได้ดีที่สุด ทั้งยังช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ
- ตรวจสุขภาพเบื้องต้น เพื่อประเมินภาวะการทำงานของรังไข่และตรวจหาภาวะสุขภาพอื่น ที่อาจส่งผลต่อการรักษา เช่น โรคทางต่อมไร้ท่อ ภาวะที่มีความเสี่ยงสูงต่อ OHSS หรือผู้ที่ต้องการการรักษาแบบปรับเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment) สามารถเลือกตรวจยีน FSHR Genotyping ได้ เพื่อประเมินความไวของรังไข่ต่อยา ซึ่งจะช่วยให้แพทย์วางแผนการให้ยากระตุ้นได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำยิ่งขึ้น
- โภชนาการและการพักผ่อน ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง รวมถึงผักผลไม้ เนื่องจากโปรตีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเซลล์ไข่และฮอร์โมนต่าง ๆ อีกทั้งการทานสารอาหารที่ครบถ้วนจะช่วยบำรุงคุณภาพไข่ นอกจากนี้ ยังควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
- การจัดการความเครียดและกิจกรรมทางกาย เนื่องจากความเครียดส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบฮอร์โมน การหาเวลานั่งสมาธิ ฝึกโยคะ หรือทำกิจกรรมผ่อนคลายจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- ติดตามนัดแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากแพทย์ต้องติดตามขนาดของฟองไข่และระดับฮอร์โมนอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับยาและกำหนดวันเก็บไข่ที่เหมาะสมที่สุด
ช่วงหลังการเก็บไข่
ช่วงหลังการเก็บไข่เป็นช่วงที่ความเสี่ยงต่อการเกิด OHSS สูงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการตั้งครรภ์ในรอบนั้น การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องจึงจำเป็นอย่างมาก
- ดูแลตนเองและเฝ้าระวังอาการ โดยแนะนำให้ดื่มน้ำในปริมาณที่พอเพียง ไม่ควรดื่มในปริมาณที่มากกว่าปกติ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เพื่อช่วยรักษาสมดุลของแรงดันออสโมซิสในเลือด ลดการรั่วของของเหลว หากมีอาการที่บ่งบอกถึง OHSS เช่น ปวดท้องรุนแรง ท้องอืดมาก หรือปัสสาวะลดลง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยง เช่น การออกกำลังกายและควรงดมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการแตก หรือบิดขั้วของรังไข่ได้
- บันทึกเพื่อเฝ้าระวัง เช่น บันทึกน้ำหนักตัว วัดรอบเอวทุกวัน รวมถึงบันทึกปริมาณน้ำที่ดื่มและปริมาณปัสสาวะใน 1 วัน
การกระตุ้นรังไข่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่มีปัญหารังไข่จนเกิดภาวะมีบุตรยาก แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและวางแผนโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อป้องกันภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (OHSS) หากกำลังมองหาคำปรึกษาเกี่ยวกับการกระตุ้นรังไข่ หรือต้องการวางแผนรักษาภาวะมีบุตรอย่างรอบด้าน ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) มีทีมสูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล โดยดูแลทุกขั้นตอนจนถึงความสำเร็จในการมีบุตร
บทความโดย แพทย์ศรมน ทรงวีรธรรม
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
Q : ยาฉีดกระตุ้นไข่มีผลต่อคุณภาพไข่หรือไม่ ?
A : โดยทั่วไปยาฉีดกระตุ้นไข่ (Gonadotropins) ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มจำนวนไข่ แต่ไม่มีผลทำให้คุณภาพของเซลล์ไข่ลดลงหรือด้อยลง อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้โปรโตคอลและขนาดยาที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อการได้ไข่ที่มีคุณภาพ แต่ควรได้รับการดูแลและวางแผนโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์เพื่อผลลัพธ์ของการรักษาตามที่คาดหวัง
Q : หากมีภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไปแล้วต้องยกเลิกการใส่ตัวอ่อนทันทีหรือไม่ ?
A: หากแพทย์ประเมินว่าอาการอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรง มักจะแนะนำให้แช่แข็งตัวอ่อนทั้งหมด (Freeze All) ไว้ก่อน แล้วทำการย้ายตัวอ่อนในรอบเดือนถัดไป เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไปเสียก่อน
Q : ภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป แบ่งเป็นความรุนแรงระดับไหนบ้าง ?
A : ภาวะ OHSS มีหลายระดับ ตั้งแต่มีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ท้องอืด ไปจนถึงอาการรุนแรงมากจนถึงขั้นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งระดับความรุนแรงจะถูกประเมินจากการตรวจอัลตราซาวนด์และการวัดปริมาณของเหลวในช่องท้อง
Q : ภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไปสามารถหายเองได้หรือไม่ ?
A: อาการของ OHSS มักจะดีขึ้น หรือหายเองได้เมื่อมีประจำเดือนมา แต่ถ้าหากมีการตั้งครรภ์ อาการจะนานขึ้นอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.