ภาวะมีบุตรยาก เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อคู่รักจำนวนมากในปัจจุบัน ซึ่งหากพูดถึงกระบวนการรักษา หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หลาย ๆ คนมักพูดถึงคงหนีไม่พ้นการ “กระตุ้นไข่” เพื่อเก็บไข่มาใช้ในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้วิธีการรักษาแบบเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ของการกระตุ้นไข่มักแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างทางพันธุกรรม โดยเฉพาะยีนที่เกี่ยวข้องกับ FSHR (Follicle Stimulating Hormone Receptor) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำงานของรังไข่
การเข้าใจลักษณะของ FSHR จะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลในผู้ป่วยแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ และลดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ฮอร์โมนในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก
ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย

รู้จัก FSHR และความเกี่ยวข้องกับรังไข่
FSHR คืออะไร ?
FSHR หรือ Follicle Stimulating Hormone Receptor คือโปรตีนที่อยู่บนผิวของเซลล์ในรังไข่ มีหน้าที่รับสัญญาณจากฮอร์โมน FSH ที่หลั่งจากต่อมใต้สมอง เพื่อกระตุ้นให้ไข่ภายในรังไข่เจริญเติบโตจนพร้อมสำหรับการตกไข่
การทำงานของ FSHR จึงเปรียบเสมือน “ช่องทางสื่อสาร” ระหว่างสมองและรังไข่ ซึ่งหากการทำงานในส่วนนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ไข่ก็จะตอบสนองต่อการกระตุ้นได้อย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกันหากมีส่วนที่ทำงานบกพร่อง การกระตุ้นไข่อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก
บทบาทของ FSHR ต่อการเจริญของไข่
FSHR มีผลโดยตรงต่อจำนวนและคุณภาพของไข่ในแต่ละรอบของการกระตุ้น หากตัวรับ FSHR ตอบสนองได้ดี จะทำให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพดีจำนวนมาก พร้อมต่อการปฏิสนธิ แต่หากตอบสนองได้น้อย แม้เพิ่มขนาดยากระตุ้นก็อาจได้ไข่ในจำนวนไม่มากหรือมีคุณภาพที่ไม่เหมาะสม ส่งผลต่ออัตราความสำเร็จของการทำ IVF และ ICSI
พันธุกรรม FSHR ที่มีผลต่อโอกาสการตั้งครรภ์อย่างไร ?
ผลการตอบสนองของรังไข่ต่อฮอร์โมน FSH จะแตกต่างกันในแต่ละคน ส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรมของ FSHR โดยเฉพาะตำแหน่ง N680S (rs6166) ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่กำหนด “ความไว” ของตัวรับต่อฮอร์โมนนี้
- ผู้ที่มียีนบางแบบอาจจะตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ได้ดี ทำให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพสูงและจำนวนมากขึ้น
- ในขณะที่ยีนในบางลักษณะอาจตอบสนองได้น้อย ต้องใช้ฮอร์โมนในปริมาณมากขึ้น หรือปรับเปลี่ยนชนิดของยาเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด
ดังนั้น การตรวจวิเคราะห์ยีน FSHR จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้แพทย์ออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการใช้ฮอร์โมนเกินจำเป็น และเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จในรอบการรักษา

การรักษาเฉพาะบุคคลด้วยข้อมูลจาก FSHR
การนำข้อมูลทางพันธุกรรมของ FSHR มาประยุกต์ใช้ในเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นไข่ และลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
เลือกยากระตุ้นไข่ให้ตรงกับร่างกาย
จากข้อมูลตำแหน่งพันธุกรรม N680S แพทย์สามารถเลือกฮอร์โมนกระตุ้นไข่ให้ตรงกับความต้องการของร่างกายแต่ละคนได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มียีนแปรผันแบบ S-allele (Ser/Ser หรือ Ser/Asn) : ผู้ป่วยมักตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ที่สกัดจากปัสสาวะ (Urinary FSH หรือ uFSH) ได้ดีกว่า
- ผู้ที่มียีนแปรผันแบบ NN (Asn/Asn) : ผู้ป่วยมักตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ชนิดสังเคราะห์ (Recombinant FSH หรือ rFSH) ได้ดีกว่า
การเลือกใช้ฮอร์โมนให้เหมาะกับพันธุกรรม จะทำให้การกระตุ้นไข่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
ลดความเสี่ยงจากการใช้ฮอร์โมนเกินหรือน้อยไป
เมื่อรู้ว่ารังไข่ตอบสนองต่อ FSH ได้มากหรือน้อย การกำหนดขนาดยาจึงแม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยงจากการใช้ฮอร์โมนเกินจำเป็น (ที่อาจทำให้เกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกินไป หรือ Ovarian Hyperstimulation Syndrome – OHSS) หรือการให้ยาน้อยเกินจนได้ไข่ไม่มากพอในกระบวนการรักษา
เพิ่มโอกาสสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว
เมื่อการเลือกยาและขนาดยามีความเหมาะสมกับพันธุกรรม ผลลัพธ์ของการกระตุ้นไข่ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพพร้อมสำหรับการปฏิสนธิ ซึ่งส่งผลให้โอกาสตั้งครรภ์และการคลอดประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นตามรอบการรักษาด้วยวิธี ICSI
อีกทั้งจากผลงานวิจัยของ Hjelmér และคณะ (2025) ยังพบว่า จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างเพศหญิง โดยก่อนเข้ารับการกระตุ้นไข่ครั้งแรก ต้องผ่านการตรวจยีน FSHR N680S (rs6166) เพื่อเลือกชนิดของฮอร์โมน (recombinant FSH หรือ urinary FSH) ให้ตรงกับจีโนไทป์ของแต่ละคน พบว่าผู้ที่ได้รับฮอร์โมน “ตรงตามจีโนไทป์” มีผลลัพธ์การตั้งครรภ์สะสมและอัตราการคลอดแบบมีชีวิต (CLBR) สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ตรวจจีโนไทป์
- อัตราการตั้งครรภ์สูงขึ้น : กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนที่เหมาะสมกับพันธุกรรมมีอัตราการตั้งครรภ์สะสมสูงถึง 51% เทียบกับ 40% ในกลุ่มควบคุมที่ใช้ยาตามมาตรฐาน (งานวิจัย)
- อัตราการคลอดที่ประสบความสำเร็จ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด : การใช้แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยยีน FSHR นี้ แสดงให้เห็นว่าสามารถช่วยเพิ่มอัตราการคลอดมีชีพ (Live Birth Rate) สะสมได้สูงถึง 40% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เน้นย้ำถึงประสิทธิภาพของการรักษา (งานวิจัย)
นอกจากนี้ ผลการทดลองในห้องปฏิบัติการยังพบว่าผู้รับ FSHR ที่มี S-allele สามารถตอบสนองได้ดีกับฮอร์โมน urinary FSH ในขณะที่ผู้ที่มียีน NN-allele จะเหมาะกับ recombinant FSH ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ว่าแนวทาง “genotype-guided stimulation” สามารถช่วยให้การกระตุ้นไข่แบบรายบุคคล (Personalised Ovarian Stimulation) มีประสิทธิผลสูงขึ้น ทั้งในแง่คุณภาพของไข่และอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์
ปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อวางแผนเลือกการรักษาเฉพาะบุคคลที่เหมาะสม
ยกระดับโอกาสสำเร็จด้วย FSHR และการรักษาเฉพาะบุคคล
การทำความเข้าใจเรื่อง FSHR และการใช้ข้อมูลนี้เพื่อออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เป็นหนึ่งในวิธีการแพทย์ที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีประวัติการตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ไม่ดีนักในรอบการรักษาที่ผ่านมา
หากคุณและคู่รักกำลังวางแผนมีลูก การเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ คือก้าวแรกที่สำคัญ โดยสามารถมาตรวจสุขภาพเตรียมตั้งครรภ์ และปรึกษาผู้ชำนาญการด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เราพร้อมดูแลในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรม การวางแผนการกระตุ้นไข่ ไปจนถึงการรักษาที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อเพิ่มโอกาสให้คุณได้เป็นพ่อแม่อย่างสมบูรณ์แบบ
บทความโดย แพทย์วนากานต์ สิงหเสนา
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q : การตรวจ FSHR คืออะไร และต้องตรวจอย่างไร ?
A: การตรวจ FSHR เป็นการวิเคราะห์พันธุกรรมเพื่อดูความแปรผันของยีนที่ควบคุมตัวรับฮอร์โมน FSH ซึ่งมีผลต่อการตอบสนองของรังไข่ต่อการกระตุ้นไข่ โดยมักตรวจจากตัวอย่างเลือดหรือสารพันธุกรรม (DNA) จากเยื่อบุกระพุ้งแก้ม เพื่อนำข้อมูลไปใช้วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
Q : ทำไมบางคนกระตุ้นไข่ได้ผลน้อย ทั้งที่ใช้ยาปริมาณเท่ากัน ?
A: อาจเกิดจากความแตกต่างทางพันธุกรรมในยีน FSHR ที่ทำให้รังไข่ตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH ได้ไม่ดี การทราบรูปแบบของยีน FSHR จึงจะช่วยให้แพทย์เลือกยาและปรับขนาดฮอร์โมนให้เหมาะสมมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นไข่และลดความเสี่ยงจากการใช้ยามากเกินไป
Q : สามารถตรวจ FSHR และวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลได้ที่ไหน ?
A: สามารถเข้ารับการตรวจและปรึกษาได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) ซึ่งมีทีมแพทย์เฉพาะทางและห้องปฏิบัติการพันธุกรรมพร้อมเทคโนโลยีวิเคราะห์ระดับโมเลกุล เพื่อออกแบบแนวทางกระตุ้นไข่และการรักษาที่เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคนโดยเฉพาะ
Q : จำเป็นต้องตรวจ FSHR ทุกคนหรือไม่ ?
A: การตรวจ FSHR ไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่ตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ได้ปกติ แต่จะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่เคยทำ IVF แล้วยังไม่ได้ผล หรืออยู่ในกลุ่ม Poor Responder ซึ่งรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย การตรวจ FSHR จะช่วยให้แพทย์สามารถปรับวิธีการรักษาให้ตรงกับร่างกายได้มากขึ้น
Q : ใครเหมาะกับการรักษาเฉพาะบุคคลแบบนี้ ?
A:
- ผู้ที่วางแผนทำ IVF/ICSI และต้องการเพิ่มโอกาสสำเร็จสูงสุด
- ผู้ที่เคยทำ IVF หลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ (Recurrent Implantation Failure – RIF)
- ผู้ที่ตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ได้น้อย (Poor Responders)

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.