เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

ทำความเข้าใจกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุดในประเทศไทย

คู่รักที่ปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุดได้อย่างถูกต้อง

การอุ้มบุญเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคู่สมรสหรือบุคคลที่มีปัญหาเรื่องภาวะเจริญพันธุ์ แต่ในประเทศไทย การอุ้มบุญไม่ได้เปิดให้ทุกคนทำได้อย่างเสรี แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุด ซึ่งกำหนดสิทธิ หน้าที่ และเงื่อนไขอย่างชัดเจน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐาน การดำเนินการ และข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การอุ้มบุญเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อุ้มบุญ คืออะไร ?

การอุ้มบุญ (Surrogacy) คือการที่ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์แทนผู้ว่าจ้าง มักเกิดจากปัญหาการมีบุตรยากของคู่สมรส เช่น มดลูกผิดปกติหรือไม่มีมดลูก ภาวะแท้งซ้ำซาก หรือโรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่อาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

การอุ้มบุญแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักดังนี้

อุ้มบุญแท้ (Full Surrogacy หรือ Traditional Surrogacy)

ในกรณีอุ้มบุญแท้ ผู้ที่ตั้งครรภ์แทน จะใช้เซลล์ไข่ของตนเองผสมกับอสุจิของผู้ว่าจ้าง ทำให้ผู้ตั้งครรภ์แทนมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับเด็กที่เกิดมา ตามหลักกฎหมาย ผู้หญิงที่ให้ไข่ถือเป็นมารดาตามกำเนิด ดังนั้นการอุ้มบุญประเภทนี้จะต้องดำเนินการด้วยความยินยอมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด

อุ้มบุญเทียม (Partial Surrogacy หรือ Gestational Carrier)

ในกรณีอุ้มบุญเทียม ผู้ตั้งครรภ์แทน จะไม่ใช้เซลล์ไข่ของตนเอง แต่จะใช้ไข่และอสุจิของผู้ว่าจ้าง ผสมกันภายนอกร่างกายด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำ IVF หรือ ICSI จากนั้นจึงนำตัวอ่อนไปฝังในมดลูกของผู้ตั้งครรภ์แทน ทำให้เด็กที่เกิดมามีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับผู้ว่าจ้างทั้งสองคน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับแม่ผู้อุ้มบุญ การอุ้มบุญประเภทนี้เป็นรูปแบบที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ทำได้ โดยมีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่ชัดเจน

การเลือกประเภทการอุ้มบุญควรพิจารณาความเหมาะสมทางการแพทย์และความต้องการของผู้ว่าจ้าง พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุด เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางสิทธิ์ในอนาคต

 

เงื่อนไขกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุด (พ.ร.บ. 2558)

พระราชบัญญัติอุ้มบุญ พ.ศ. 2558 เป็นกฎหมายหลักที่ควบคุมการอุ้มบุญในประเทศไทย มีสาระสำคัญที่มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิของเด็กและป้องกันการค้ามนุษย์ โดยกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดสำหรับการดำเนินการอุ้มบุญไว้ดังนี้

  1. การอุ้มบุญสามารถทำได้เฉพาะคู่สมรสไทยหรือคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นต่างชาติเท่านั้น
  2. ผู้ว่าจ้างต้องมีเหตุผลทางการแพทย์ที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง
  3. การอุ้มบุญเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินเชิงพาณิชย์ถือว่าผิดกฎหมาย
  4. แม่อุ้มบุญต้องได้รับความยินยอมเต็มใจและผ่านการตรวจสุขภาพ 

การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในร่างกฎหมายใหม่ (ฉบับปรับปรุง)

ปัจจุบันกำลังมีการพิจารณาปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. อุ้มบุญ 2558 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนไป และแก้ไขข้อจำกัดบางประการที่อาจเป็นอุปสรรคต่อคู่สมรสที่ต้องการมีบุตร เช่น

  • การขยายสิทธิให้คู่รักเพศเดียวกัน : ร่างกฎหมายใหม่มีแนวโน้มที่จะเปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกันที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย สามารถขออนุญาตทำการอุ้มบุญได้ เพื่อแสดงถึงการยอมรับสิทธิในการสร้างครอบครัวที่หลากหลายมากขึ้น
  • การเพิ่มทางเลือกความสัมพันธ์ของผู้ตั้งครรภ์แทน : อาจมีการพิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสายโลหิตของผู้ตั้งครรภ์แทน เพื่อให้สามารถใช้บริการจากผู้หญิงที่ไม่ใช่ญาติได้ แต่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและมาตรการป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์อย่างเข้มงวด

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐที่ต้องการปรับปรุงกฎหมายให้มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรมมากขึ้นในอนาคต

คุณสมบัติของผู้ที่สามารถขออนุญาตใช้การอุ้มบุญได้ตามกฎหมาย

จะต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้มั่นใจว่าการอุ้มบุญดำเนินไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย ดังนี้

  1. การจดทะเบียนสมรส : ผู้ว่าจ้างต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายไทย หรือหากเป็นคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นต่างชาติ ต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี 
  2. คุณสมบัติทางการแพทย์ : คู่สมรสฝ่ายภรรยาต้องมีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เช่น ไม่มีมดลูก มดลูกผิดปกติ หรือมีภาวะทางการแพทย์อื่นที่ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หรือหากเกิดการตั้งครรภ์อาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของทั้งตนเองหรือทารกในครรภ์
  3. อายุตามเกณฑ์ : คู่สมรสทั้งชายและหญิงต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี และต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่ามีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจในการดูแลบุตร 

คุณสมบัติของผู้ที่ตั้งครรภ์แทน

ผู้ที่ประสงค์จะตั้งครรภ์แทนผู้อื่นต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจว่ามีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงเข้าใจบทบาทของตนเองอย่างชัดเจน

  • ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต : ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตกับคู่สมรสของผู้ว่าจ้าง และเป็นหญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้วและมีบุตรของตนเอง เว้นแต่กรณีมีเหตุผลทางการแพทย์ หรือเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับฝ่ายภรรยาเท่านั้น
  • การให้ความยินยอม : ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องให้ความยินยอมด้วยความสมัครใจเป็นลายลักษณ์อักษร และสามีของผู้ตั้งครรภ์แทนต้องให้ความยินยอมเช่นกัน
  • อายุและสุขภาพ : ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องมีอายุ 20-40 ปี และได้รับการตรวจสุขภาพโดยละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่ามีความพร้อมทางร่างกายสำหรับการตั้งครรภ์ รวมถึงไม่มีประวัติอาชญากรรมหรือประวัติการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์มาก่อน

ผู้หญิงอุ้มบุญที่ตั้งครรภ์สำเร็จ และได้ปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญฉบับล่าสุด

ขั้นตอนการอุ้มบุญตามกฎหมาย

การอุ้มบุญตามกฎหมายมีขั้นตอนที่ชัดเจนและเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย

  1. ปรึกษาแพทย์และคลินิกที่ได้รับอนุญาต : คู่สมรสและผู้ตั้งครรภ์แทนต้องเข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขในการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
  2. ตรวจสุขภาพแม่อุ้มบุญและผู้ว่าจ้าง : ทั้งสามฝ่าย (คู่สมรสทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย และผู้อุ้มบุญแทน) จะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการประเมินสภาพจิตใจ เพื่อให้แน่ใจว่ามีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
  3. ขั้นตอน IVF/ICSI และการโอนตัวอ่อน : หลังจากที่ได้รับอนุญาตจาก กคท. แล้ว แพทย์จะเริ่มกระบวนการผสมเทียมไข่และอสุจิของผู้ว่าจ้างภายนอกร่างกาย และนำตัวอ่อนที่สมบูรณ์ไปฝังในมดลูกของผู้ตั้งครรภ์แทน
  4. การติดตามการตั้งครรภ์และการคลอด : ผู้ตั้งครรภ์แทนจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ จนกระทั่งถึงกำหนดคลอด และเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้รับเลี้ยงดูและรับรองความเป็นบุตรตามกฎหมาย

 

ขั้นตอนการขออนุญาตใช้การตั้งครรภ์แทน

คู่สมรสจะต้องยื่นคำขออนุญาตใช้การตั้งครรภ์แทนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กคท.) โดยมีเอกสารประกอบดังนี้

  • คำขอใช้บริการการตั้งครรภ์แทน พร้อมเอกสารแสดงความยินยอมจากทุกฝ่าย
  • เอกสารแสดงสถานะการสมรส และหลักฐานความสัมพันธ์ทางสายโลหิตระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้ตั้งครรภ์แทน
  • ใบรับรองแพทย์ ที่ระบุว่าฝ่ายภรรยามีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
  • ผลการตรวจสุขภาพ และการประเมินสภาพจิตใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

หลังจากที่ยื่นเอกสารครบถ้วนแล้ว กคท. จะพิจารณาคำขอ หากเห็นว่าการดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด จะออกใบอนุญาตให้ทำการอุ้มบุญได้

สำหรับคู่สมรสที่กำลังวางแผนอุ้มบุญ หรือมีความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมทางร่างกายและกฎหมาย สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) ที่เชี่ยวชาญด้านการอุ้มบุญและการรักษาภาวะมีบุตรยากโดยเฉพาะ ด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่การประเมินความพร้อมของคู่สมรสและผู้ตั้งครรภ์แทน การวางแผนกระบวนการอุ้มบุญ ไปจนถึงการติดตามการตั้งครรภ์และการคลอด เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกขั้นตอนและพร้อมสู่เส้นทางการมีบุตรอย่างปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมาย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) : การอุ้มบุญ

Q: ในประเทศไทยสามารถทำการอุ้มบุญอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้หรือยัง ?

A: ได้ แต่ภายใต้เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 โดยไม่อนุญาตให้มีการซื้อขายทารกหรือแสวงหาผลกำไร

Q: ความเสี่ยงทางการแพทย์ของการอุ้มบุญมีอะไรบ้าง ?

A: ความเสี่ยงทางการแพทย์ในการอุ้มบุญคล้ายกับการตั้งครรภ์ทั่วไป เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะคลอดก่อนกำหนด หรือความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้ฮอร์โมนในการกระตุ้นไข่ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทางอารมณ์และจิตใจสำหรับผู้ตั้งครรภ์แทนที่อาจต้องเผชิญกับความรู้สึกผูกพันกับเด็ก

Q: กระบวนการอุ้มบุญใช้เวลานานเท่าไร ?

A: กระบวนการทั้งหมดจะเริ่มตั้งแต่การยื่นคำร้องไปจนถึงการคลอด ที่อาจใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกสารและการอนุมัติของคณะกรรมการ รวมถึงการตั้งครรภ์และการดูแลครรภ์ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 9 เดือนตามปกติ

 

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ได้ที่

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร

Hotline: 082-903-2035 

LINE Official: @vfccenter

 

A doctor will tell you the treatments for a blighted ovum

ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชวิทยาและเวชศาตร์การเจริญพันธ์ุ

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.