สำหรับผู้ป่วยโรคไต หลายคนอาจสงสัยว่า “เป็นโรคไตมีลูกได้ไหม ?” คำตอบคือ สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่จำเป็นต้องวางแผนและดูแลอย่างใกล้ชิดกับแพทย์เฉพาะทาง เพราะการตั้งครรภ์จะเพิ่มภาระให้ไตและระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความเสี่ยงต่อมารดาและทารกสูงกว่าปกติ การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโรคไตกับการตั้งครรภ์ ระดับความรุนแรงของโรคไต และการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์ปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไตกับภาวะการตั้งครรภ์
ไตมีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียและรักษาสมดุลของเหลวและเกลือแร่ในร่างกาย ในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายของผู้หญิงจะมีการปรับตัวหลายด้านเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารก เช่น ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นและอัตราการกรองของไต (GFR) ที่ปกติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40-50% ในไตรมาสแรกและที่สอง
หากไตทำงานผิดปกติอยู่แล้ว การตั้งครรภ์จะเพิ่มภาระให้ไตมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) และอาจส่งผลต่อทารก ทำให้คลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักตัวน้อย
ระดับความรุนแรงของโรคไตและความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์
สำหรับผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคไตมีลูกได้ไหม การประเมินระยะของโรคไต (CKD stage) ก่อนตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ
ผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมเล็กน้อย CKD ระยะ 1-2, ความดันโลหิตและปัสสาวะปกติ
หากค่าการทำงานของไตยังดีและไม่มีภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีมากเช่นกัน แต่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อตรวจติดตามการทำงานของไตและควบคุมความดันโลหิตให้คงที่
ผู้ที่มี CKD ระยะ 3-5 หรือไตวาย
การตั้งครรภ์ในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงมากต่อทั้งมารดาและทารก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ (Preeclampsia) รวมถึงภาวะทารกตัวเล็ก คลอดก่อนกำหนด และไตอาจเสื่อมเร็วจนต้องเริ่มฟอกไตระหว่างตั้งครรภ์ การประเมินระยะของโรคไตก่อนตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก เพื่อวางแผนและลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด
นัดหมายพูดคุยกับสูตินรีแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการตั้งครรภ์
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากตั้งครรภ์ขณะมีโรคไต
การตั้งครรภ์ในผู้ป่วยโรคไตอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อมารดาและทารก ซึ่งจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือ
ความเสี่ยงต่อมารดา
การตั้งครรภ์จะเพิ่มภาระต่อไตโดยตรง ผู้ป่วยโรคไตอาจประสบปัญหาดังนี้
- ไตเสื่อมเร็วขึ้น : เนื่องจากการตั้งครรภ์จะไปเพิ่มภาระการทำงานของไต หากไตมีปัญหาอยู่แล้ว อาจเสื่อมเร็วกว่าปกติ
- ความดันโลหิตสูง : อาจต้องควบคุมด้วยยาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- ปรี-อีแคลมป์เซีย (Preeclampsia) : ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เกิดจากความดันโลหิตสูงและความผิดปกติของอวัยวะ เช่น ไต ตับ และสมอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก
- ต้องฟอกไตระหว่างตั้งครรภ์ : ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องฟอกไตเพื่อรักษาสมดุลร่างกายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ความเสี่ยงต่อทารก
ทารกที่เกิดจากมารดาโรคไตมีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กทั่วไป ได้แก่
- ทารกมีโอกาสคลอดก่อนกำหนด : หากคุณแม่ตั้งครรภ์เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูงและครรภ์เป็นพิษ อาจทำให้ต้องคลอดก่อนกำหนด
- น้ำหนักแรกเกิดต่ำ (Low Birth Weight) : การไหลเวียนเลือดไปยังรกอาจลดลง ทำให้ทารกได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
- ต้องการการดูแลใน NICU (Neonatal Intensive Care Unit) มากขึ้น : ทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักตัวน้อยอาจต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษในห้องทารกแรกเกิดภาวะวิกฤต
ปัจจัยที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยโรคไต
นอกเหนือจากระดับความรุนแรงของโรคไตแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ ได้แก่
- ค่าการทำงานของไต (GFR) : ค่า GFR ที่ต่ำกว่า 40 มล./นาที ก่อนการตั้งครรภ์มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
- ค่าโปรตีนปัสสาวะ (Proteinuria) : ปริมาณโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 1 กรัม/วัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อมและภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์
- ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ : เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษและผลลัพธ์ที่ไม่ดีต่อทารก
การประเมินปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์วางแผนการตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย

การวางแผนก่อนการตั้งครรภ์สำหรับผู้ป่วยโรคไต
การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง (Nephrologist + Maternal-Fetal Medicine)
ก่อนตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคไตควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อวางแผนการตั้งครรภ์อย่างรอบคอบ โดยแพทย์จะทำการตรวจร่างกายเพื่อให้รู้ถึงภาวะต่าง ๆ ดังนี้
- ระดับการทำงานของไต (GFR, ครีเอตินีน)
- ความดันโลหิตและโปรตีนในปัสสาวะ
- การปรับยาให้ปลอดภัยสำหรับการตั้งครรภ์
การเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมก่อนตั้งครรภ์
การเตรียมร่างกายในผู้ป่วยโรคไตหรือผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อน เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์ปลอดภัยมากขึ้น โดยมีคำแนะนำดังนี้
- ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (120/80 mmHg)
- ตรวจระดับ Hemoglobin และเกลือแร่ เพื่อรองรับผลกระทบจากการตั้งครรภ์ต่อไต
- ควบคุมระดับโปรตีนในปัสสาวะให้ต่ำกว่า 1 กรัม/วัน
- ปรับพฤติกรรมและอาหารเพื่อสนับสนุนการทำงานของไต
- ลดปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
หากคุณกำลังคิดว่า เป็นโรคไตมีลูกได้ไหม การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางจะช่วยให้สามารถวางแผนได้อย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงทั้งตัวคุณแม่และทารก
การดูแลระหว่างตั้งครรภ์ในผู้ป่วยโรคไต
เมื่อตั้งครรภ์แล้ว การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- การตรวจติดตามการทำงานของไตอย่างต่อเนื่อง : แพทย์จะนัดตรวจเลือดและปัสสาวะเป็นประจำเพื่อติดตามการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด
- การควบคุมความดันโลหิต : ความดันโลหิตควรได้รับการตรวจวัดและควบคุมอย่างสม่ำเสมอ
- การรับประทานอาหารที่เหมาะสม : ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อปรับเปลี่ยนอาหารให้เหมาะสมกับภาวะไต
- การตรวจครรภ์ที่ถี่กว่าปกติ : แพทย์จะนัดตรวจครรภ์บ่อยกว่าปกติ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารกและประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
การดูแลหลังคลอดและผลกระทบต่อโรคไต
การดูแลสุขภาพไม่ได้จบลงเพียงแค่การคลอด แต่ยังคงต้องดูแลอย่างต่อเนื่องหลังคลอดด้วย
- การฟื้นฟูสุขภาพคุณแม่ : หลังคลอด คุณแม่ยังคงต้องได้รับการตรวจติดตามจากแพทย์โรคไตเพื่อประเมินการฟื้นตัวของการทำงานของไต
- ความเสี่ยงต่อการเสื่อมของไต : แม้การตั้งครรภ์จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่การทำงานของไตอาจไม่กลับมาเป็นปกติ 100% และยังคงมีความเสี่ยงที่ไตจะเสื่อมลงในระยะยาว
- การให้นมบุตรและการใช้ยาที่ปลอดภัย : แพทย์จะแนะนำเกี่ยวกับการให้นมบุตรและการใช้ยาที่ปลอดภัยในช่วงให้นม เพื่อให้คุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่
โดยสรุป การตั้งครรภ์ในผู้ป่วยโรคไตมีความเป็นไปได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยการวางแผน การดูแล และการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้ป่วยและทีมแพทย์ เพื่อให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์
หากคุณสงสัยว่าเป็นโรคไตมีลูกได้ไหม ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เราพร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย ด้วยการประเมินความเสี่ยงเฉพาะราย ปรับการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และเตรียมสุขภาพของคุณให้พร้อมก่อนการตั้งครรภ์ ทีมแพทย์ด้านเวชศาสตร์เจริญพันธุ์และสูตินรีแพทย์จะร่วมมือกันวางแผนเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน เพิ่มโอกาสให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรง เริ่มวางแผนตั้งครรภ์กับ VFC Center วันนี้เพื่อการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ในอนาคต
คำถามที่พบบ่อย (FAQ):
Q1: เป็นโรคไตสามารถมีลูกได้ไหม?
A: สามารถตั้งครรภ์ได้หากอยู่ในระยะเริ่มต้นของโรคไต (CKD ระยะ 1–2) และค่าการทำงานของไตยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความเสี่ยงและควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปลอดภัย
Q2: ผู้ป่วยโรคไตระยะใดที่ไม่ควรตั้งครรภ์?
A: ผู้ที่มีโรคไตในระยะ 3–5 หรือไตวาย ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ครรภ์เป็นพิษ ภาวะไตเสื่อมเร็วขึ้น และอาจต้องฟอกไตระหว่างตั้งครรภ์
Q3: การตั้งครรภ์ขณะเป็นโรคไตมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
A: อาจเกิดภาวะไตเสื่อมเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ หรือจำเป็นต้องฟอกไต ส่วนทารกมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และต้องได้รับการดูแลพิเศษใน NICU
Q4: ต้องเตรียมร่างกายอย่างไรก่อนตั้งครรภ์หากเป็นโรคไต?
A: ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ตรวจค่าการทำงานของไตและโปรตีนในปัสสาวะ ปรับยาที่ปลอดภัยสำหรับการตั้งครรภ์ รับประทานอาหารที่เหมาะสม และงดบุหรี่ แอลกอฮอล์ก่อนเริ่มตั้งครรภ์
Q5: หากตั้งครรภ์แล้วเป็นโรคไต ควรดูแลอย่างไร?
A: ควรตรวจติดตามการทำงานของไตเป็นประจำ ควบคุมความดันอย่างต่อเนื่อง ปรับโภชนาการให้เหมาะสม ตรวจครรภ์ถี่กว่าปกติ และเข้ารับการดูแลจากทีมแพทย์เฉพาะทางเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชวิทยาและเวชศาตร์การเจริญพันธ์ุ




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.