เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป และอาการที่ส่งผลให้มีบุตรยาก

ภาพสื่อถึงการตรวจภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป หรือที่เรียกว่า “อาการเอสโตรเจนเด่น

Table of Contents

ปัจจุบันผู้หญิงต้องเผชิญกับความเครียด เนื่องจากการทำงานหนัก และการใช้ชีวิตที่รีบเร่ง ส่งผลให้ปัญหาเรื่องฮอร์โมนไม่สมดุลกลายเป็นเรื่องที่พบบ่อยมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป หรือที่เรียกว่า “อาการเอสโตรเจนเด่น” ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพโดยรวมเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการมีบุตรยากอีกด้วย หากทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้ จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้สำเร็จในอนาคต

นัดหมายรับคำปรึกษากับสูตินรีแพทย์เพื่อวางแผนตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จ 

ฮอร์โมนเอสโตรเจนคืออะไร?

ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนหลักของผู้หญิง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ โดยทำหน้าที่ควบคุมรอบเดือน การตกไข่ การตั้งครรภ์ และสุขภาพของมดลูกและรังไข่ ฮอร์โมนประเภทนี้ถูกผลิตจากรังไข่เป็นหลัก และยังมีการผลิตในปริมาณน้อยจากเซลล์ไขมัน ต่อมหมวกไต และตับ

ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่เพียงช่วยในการเตรียมร่างกายสำหรับการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูก การทำงานของหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงความชุ่มชื้นของผิวหนัง อีกทั้งการทำงานอย่างเป็นปกติของฮอร์โมนชนิดนี้ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวมของผู้หญิงทุกคน แต่ในขณะเดียวกันหากเกิดภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นกัน 

ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป มีอาการเป็นอย่างไร?

ผู้หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป มักมีอาการทั้งทางกายภาพและจิตใจ สำหรับอาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้

อาการทางกายภาพ

อาการที่เกี่ยวข้องกับร่างกายมักทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่

  • รอบเดือนมาผิดปกติ อาจมีเลือดออกมากหรือน้อยเกินไป ระยะห่างระหว่างรอบเดือนสั้นลง หรือนานเกินไป อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย และมาไม่สม่ำเสมอ
  • น้ำหนักขึ้นง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณสะโพกและต้นขา เนื่องจากเอสโตรเจนส่วนเกินจะไปส่งเสริมการสะสมของไขมันในบริเวณเหล่านั้น  
  • เจ็บคัดเต้านม และมีอาการบวมตึง โดยเฉพาะก่อนมีประจำเดือน หรือมีก้อนเนื้อหรือซีสต์ที่เต้านม (Fibrocystic Breasts)

อาการทางอารมณ์และจิตใจ

ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสารเคมีในสมอง ดังนั้นภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปจะส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยอาการที่มักพบได้บ่อย มีดังนี้

  • อารมณ์แปรปรวน มีอาการหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลอย่างไม่มีเหตุผล
  • อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา และมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้น หรือสมองล้า (Brain Fog)

หากปล่อยให้ภาวะเอสโตรเจนเด่นดำเนินต่อไปในระยะยาว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อเยื่อในระบบสืบพันธุ์ ดังนี้

  • เสี่ยงต่อการเกิดซีสต์ หรือเนื้องอกในมดลูก (Myoma หรือ Fibroids)
  • ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (Endometrial Hyperplasia) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และทำให้การฝังตัวของตัวอ่อนประสบความสำเร็จได้ยาก

สาเหตุของฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป

ภาวะเอสโตรเจนเด่นไม่ได้เกิดขึ้นจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมของหลายปัจจัย ทั้งจากภายในร่างกายและจากการใช้ชีวิต ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น ดังนี้

ปัจจัยจากร่างกาย

  • รังไข่หรือตับทำงานผิดปกติ ส่งผลให้รังไข่ที่ผลิตเอสโตรเจนมากเกินไป หรือตับที่ไม่สามารถกำจัดเอสโตรเจนส่วนเกินที่หมดหน้าที่แล้วออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • โรคอ้วน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เซลล์ไขมันไม่ได้เป็นแค่แหล่งเก็บพลังงาน แต่ยังเป็นอวัยวะที่สามารถผลิตฮอร์โมนได้ด้วย โรคอ้วนจึงทำให้มีการผลิตเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นจากเซลล์ไขมัน (Aromatase Activity) ทำให้ระดับเอสโตรเจนโดยรวมสูงขึ้น

ปัจจัยจากการใช้ชีวิต

  • รับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการอักเสบ เช่น ไขมันสูง น้ำตาลสูง รวมถึงอาหารแปรรูป ส่งผลเสียต่อการทำงานของตับและการกำจัดฮอร์โมนส่วนเกิน
  • สารเคมีรบกวนฮอร์โมน (Endocrine-Disrupting Chemicals) เช่น ไมโครพลาสติก สาร BPA จากพลาสติก และสารเคมีในเครื่องสำอางและยาฆ่าแมลง เมื่อเข้าสู่ร่างกายและกระตุ้นตัวรับเอสโตรเจน จะทำให้เกิดภาวะเอสโตรเจนเด่นได้
  • ใช้ยาฮอร์โมนโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาคุมกำเนิดหรือการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนที่มีปริมาณเอสโตรเจนสูงเกินไป เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลได้เช่นกัน

ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปมีผลต่อการมีบุตรอย่างไร ?

สำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนการมีลูก ภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงที่บั่นทอนโอกาสในการมีบุตร ดังต่อไปนี้

ตกไข่ผิดปกติ

ปกติแล้วการตกไข่ต้องมีความสมดุลระหว่างเอสโตรเจนและฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) แต่เมื่อเอสโตรเจนสูงเกินไป อาจทำให้ไข่ไม่ตกสม่ำเสมอ หรือในบางครั้งอาจไม่มีการตกไข่เลย

หากไม่มีการตกไข่ย่อมหมายความว่า มีการผลิตโปรเจสเตอโรนในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ทำให้ความไม่สมดุลของฮอร์โมนรุนแรงยิ่งขึ้น และส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์อย่างมาก

การฝังตัวของตัวอ่อนไม่สำเร็จ

แม้ว่าจะมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นสำเร็จ แต่ระดับเอสโตรเจนที่สูงเกินไปจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ หรือมีคุณภาพไม่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ส่งผลให้การฝังตัวมีโอกาสล้มเหลว หรือเกิดการแท้งในระยะแรกของการตั้งครรภ์

เยื่อบุโพรงมดลูกที่มีสภาพไม่เหมาะสมยังส่งผลต่อการหล่อเลี้ยงตัวอ่อนในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะแท้งซ้ำอีกด้วย

เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก

ผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีปัญหาสุขภาพอื่นร่วมด้วย เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) หรือภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ

ภาวะ PCOS ที่มักพบร่วมกับการมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จะทำให้การตกไข่ไม่สม่ำเสมอ รอบเดือนผิดปกติ และลดโอกาสในการตั้งครรภ์ลงอย่างมาก นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเบาหวานและความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ 

การตรวจและวินิจฉัยภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป

การวินิจฉัยภาวะเอสโตรเจนเด่นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันจากหลายฝ่าย ทั้งการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยมีขั้นตอนดังนี้

ซักประวัติสุขภาพและรอบเดือน

การซักประวัติอย่างละเอียดมีความสำคัญต่อการวินิจฉัย แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการที่ผู้ป่วยมี รอบเดือน ประวัติการตั้งครรภ์ การใช้ยา การรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิตประจำวัน

ข้อมูลเหล่านี้จะใช้ประกอบการวิเคราะห์ร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แม่นยำและแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

ตรวจเลือดและฮอร์โมน

ในการตรวจวินิจฉัยภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป จำเป็นต้องมีการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับเอสโตรเจน (Estradiol, Estrone, Estriol) ระดับโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมน FSH และ LH รวมถึงฮอร์โมนไทรอยด์ และระดับอินซูลิน

ทั้งนี้ ควรตรวจในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยปกติจะทำในวันที่ 21 ของรอบเดือน (สำหรับรอบ 28 วัน) หรือประมาณ 7 วันหลังการตกไข่ เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำที่สุด

ตรวจอัลตราซาวนด์

สำหรับการตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง และอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก ทั้งยังเป็นการตรวจหาซีสต์ เนื้องอกในมดลูกและรังไข่ รวมถึงช่วยให้สามารถประเมินสภาพโดยรวมของอวัยวะสืบพันธุ์

อีกทั้งการตรวจอัลตราซาวนด์ยังสามารถทำได้ในหลายช่วงของรอบเดือน แต่จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากที่สุดในช่วงหลังประจำเดือนสิ้นสุด 

นัดหมายกับสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยภาวะฮอร์โมนผิดปกติ และวางแผนตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จ

 

ผู้หญิงออกกำลังกายลดภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป และอาการข้างเคียง

วิธีดูแลและปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจน

ภาวะเอสโตรเจนเด่นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการและปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ผ่านการดูแลตัวเองและการรักษาที่เหมาะสม  

ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตถือเป็นรากฐานของการปรับสมดุลฮอร์โมน ดังนี้

  • ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เนื่องจากการลดน้ำหนักและมวลไขมันในร่างกาย จะช่วยลดแหล่งผลิตเอสโตรเจนส่วนเกินได้โดยตรง
  • รับประทานอาหารที่ช่วยปรับสมดุลเอสโตรเจน เน้นอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งมีสาร Indole-3-Carbinol (I3C) ช่วยในกระบวนการกำจัดเอสโตรเจนของตับ รวมถึงธัญพืชเต็มเมล็ด

รักษาทางการแพทย์

หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมยังไม่เพียงพอ แพทย์อาจพิจารณาการรักษา ดังนี้

  • ให้ยาฮอร์โมน เพื่อช่วยปรับสมดุลระหว่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยมักให้โปรเจสเตอโรนเสริมเพื่อถ่วงดุลเอสโตรเจน
  • รักษาภาวะโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น การรักษาซีสต์หรือภาวะ PCOS เพื่อแก้ไขต้นเหตุที่ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล

เสริมด้วยอาหารและวิตามิน

การเสริมด้วยสารอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยสนับสนุนการทำงานของตับในการขับฮอร์โมนส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิตามินที่ควรเสริมมีดังนี้

  • วิตามินบี โดยเฉพาะ B6 และ B12 ช่วยในกระบวนการเมแทบอลิซึมของตับ
  • วิตามินดี และโอเมกา-3 อาจช่วยลดการอักเสบและช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนโดยรวม

นัดหมายสูตินรีแพทย์เพื่อปรึกษาวิธีการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

ภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปจนมีอาการผิดปกติ หรือภาวะเอสโตรเจนเด่น เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งอารมณ์ ร่างกาย และภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดอาการที่รบกวนคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงในระยะยาว

การสังเกตอาการและตรวจวินิจฉัยกับแพทย์อย่างถูกต้อง จะช่วยให้แก้ไขปัญหาตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยการรักษาที่ประสบความสำเร็จมักต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต การรักษาทางการแพทย์ และการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง

หากคุณกังวลเรื่องภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและที่อาจส่งผลกระทบต่อการมีบุตร สามารถเข้ามารับคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านการมีบุตรยากได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม รวมถึงวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q : ภาวะเอสโตรเจนเด่น (Estrogen Dominance) คืออะไร ?

A : เอสโตรเจนเด่น คือภาวะที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป เมื่อเทียบกับระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ทำหน้าที่ถ่วงดุล ไม่จำเป็นว่าเอสโตรเจนจะต้องสูงเกินช่วงปกติเสมอไป แต่อาจหมายถึงการที่โปรเจสเตอโรนต่ำเกินไปจนทำให้เอสโตรเจนมีอิทธิพล “เด่น” กว่า ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและอารมณ์

Q : ภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป มีอาการอย่างไร ?

A : อาการหลักที่พบบ่อย ได้แก่ 

  • อาการทางกายภาพ รอบเดือนมาผิดปกติ (เลือดออกมากหรือน้อย), น้ำหนักขึ้นง่าย (โดยเฉพาะบริเวณสะโพกและต้นขา), เจ็บคัดเต้านม
  • อาการทางอารมณ์ อารมณ์แปรปรวน, หงุดหงิดง่าย, วิตกกังวล, อ่อนเพลีย, สมาธิลดลง

Q : ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปส่งผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไร ?

A : ภาวะเอสโตรเจนเด่นเป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ได้หลายทาง เช่น 

  • ตกไข่ผิดปกติ ทำให้ไข่ไม่ตกสม่ำเสมอ หรือไม่มีการตกไข่
  • ฝังตัวอ่อนไม่สำเร็จ เนื่องจากทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ ไม่เอื้อต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ซีสต์หรือเนื้องอกในมดลูก

Q : ควรตรวจวินิจฉัยภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปอย่างไร ?

A : การวินิจฉัยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ

  • การซักประวัติ สอบถามเกี่ยวกับรอบเดือน อาการผิดปกติ และประวัติสุขภาพอย่างละเอียด
  • การตรวจเลือด เพื่อวัดระดับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน และดูอัตราส่วน
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ เพื่อดูความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกและตรวจหาเนื้องอกหรือซีสต์ที่ผิดปกติ

Q : การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยลดระดับเอสโตรเจนส่วนเกินได้หรือไม่ ?

A : ได้อย่างแน่นอน การปรับพฤติกรรมเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลสุขภาพ ทั้งยังอาจช่วยให้ภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไปกลับมาสู่ภาวะปกติ 

  • ควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • เน้นทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง และผักตระกูลกะหล่ำ เพื่อช่วยตับในการขับเอสโตรเจน
  • ลดการสัมผัสสารเคมีรบกวนฮอร์โมน เช่น สาร BPA จากพลาสติก

 

บทความโดย แพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร 

Hotline: 082-903-2035 

LINE Official: @vfccenter

 

Book a consultation with Dr. Worawat Siripoon at our infertility clinic

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.