คอร์ติซอล คือ ฮอร์โมนสเตียรอยด์จากต่อมหมวกไตที่ช่วยร่างกายรับมือความเครียด ควบคุมระดับน้ำตาล การเผาผลาญ การอักเสบ ความดัน และวงจรหลับ–ตื่น ค่าปกติช่วงเช้า ~6–23 mcg/dL และบ่าย ~3–15 mcg/dL ตรวจได้จากเลือด ปัสสาวะ 24 ชม. หรือ น้ำลาย หากสูงเรื้อรังอาจมีน้ำหนักเพิ่ม ความดัน/น้ำตาลสูง ภูมิคุ้มกันลด (เสี่ยง Cushing’s) ถ้าต่ำอาจอ่อนเพลีย น้ำหนักลด ความดันต่ำ ผิวคล้ำ (เสี่ยง Addison’s) ความเครียดเรื้อรังและคอร์ติซอลไม่สมดุลกระทบภาวะเจริญพันธุ์ได้ ทั้งการตกไข่ คุณภาพไข่/อสุจิ และรอบเดือน แนวทางดูแลคือ นอนพอ 7–9 ชม. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฝึกผ่อนคลาย (หายใจลึก/สมาธิ/โยคะ) และกินอาหารที่มีโอเมก้า-3 แมกนีเซียม และวิตามินบี หากสงสัยผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมิน
เคยสังเกตไหมว่าเมื่อต้องเผชิญกับความกดดัน ไม่ว่าจะเป็นงานที่ถาโถม ปัญหาชีวิตที่รุมเร้า หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยในแต่ละวัน ร่างกายมักตอบสนองบางอย่างโดยอัตโนมัติ ทั้งอาการใจเต้นแรง มือเย็น หรือแม้แต่รู้สึกหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ซึ่งเบื้องหลังอาการเหล่านี้มีฮอร์โมนแห่งความเครียด ที่ชื่อว่า ‘คอร์ติซอล’ เป็นตัวการสำคัญ โดยคอร์ติซอลไม่ได้มีหน้าที่แค่ตอบสนองต่อความเครียดเท่านั้น หากยังมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการทำงานหลายอย่างในร่างกาย ตั้งแต่การเผาผลาญพลังงาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไปจนถึงการรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันและการนอนหลับ
ฮอร์โมนคอร์ติซอล คืออะไร มีหน้าที่อย่างไรต่อร่างกาย ?
คอร์ติซอล คือฮอร์โมนกลุ่มสเตียรอยด์ชนิดหนึ่งที่ผลิตจากต่อมหมวกไต มีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อภาวะกดดัน หรือความเครียด ไม่ว่าจะเป็นความเครียดทางกายภาพ เช่น การบาดเจ็บ การเจ็บป่วย หรือความเครียดทางจิตใจ เช่น การทำงานหนัก การเผชิญกับปัญหา ทำให้หลายคนเรียกฮอร์โมนนี้ว่าฮอร์โมนความเครียด
เมื่อร่างกายรู้สึกเครียด สมองจะส่งสัญญาณไปยังต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้ร่างกายรับมือกับสถานการณ์ โดยจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อเป็นพลังงานให้สมองและกล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเต็มที่ รวมถึงลดการทำงานของระบบที่ไม่จำเป็นชั่วคราว เช่น ระบบย่อยอาหาร หรือระบบสืบพันธุ์ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากบทบาทในการจัดการความเครียดแล้ว ฮอร์โมนคอร์ติซอลยังมีหน้าที่สำคัญอีกหลายด้านในชีวิตประจำวัน
ฮอร์โมน ‘คอร์ติซอล’ มีหน้าที่อะไรบ้าง และสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย ?
คอร์ติซอลมีบทบาทที่ซับซ้อนและจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายในหลายมิติ ได้แก่
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยคอร์ติซอลจะกระตุ้นให้ตับสร้างน้ำตาลกลูโคสออกมา ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอที่จะใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือภาวะเครียด
- กระตุ้นการเผาผลาญสารอาหาร โดยมีส่วนช่วยในการสลายโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ได้พลังงานไปใช้ในยามที่ร่างกายต้องการมากกว่าปกติ เช่น เวลาต้องทำงานหนัก หรือพักผ่อนน้อย
- ลดการอักเสบ โดยคอร์ติซอลมีฤทธิ์ต้านการอักเสบตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาการบวม แดง และเจ็บปวด อีกทั้งยังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น จึงถูกนำไปใช้ในยาบางชนิดเพื่อรักษาภาวะอักเสบ แต่หากมีปริมาณสูงเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้
- รักษาสมดุลน้ำและเกลือแร่ โดยทำงานร่วมกับฮอร์โมนอื่น เพื่อรักษาความสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมความดันโลหิตและสุขภาพของไต
- ควบคุมวงจรหลับ-ตื่น ระดับคอร์ติซอลจะสูงสุดในตอนเช้าเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว และจะค่อย ๆ ลดลงในระหว่างวันจนต่ำสุดในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาชีวิตที่ช่วยให้เรานอนหลับได้
ค่าปกติของคอร์ติซอลและวิธีตรวจ
การตรวจวัดระดับฮอร์โมนของคอร์ติซอลในร่างกายเป็นวิธีที่ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินสุขภาพของต่อมหมวกไตและระบบฮอร์โมนได้ โดยค่ามาตรฐานอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ตรวจ เนื่องจากระดับคอร์ติซอลจะเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน
ค่ามาตรฐานของคอร์ติซอลในร่างกาย
โดยทั่วไปค่าปกติของคอร์ติซอลในเลือดจะอยู่ระหว่าง 6–23 ไมโครกรัม/เดซิลิตร (mcg/dL) ในช่วงเช้า และลดลงเหลือ 3–15 ไมโครกรัม/เดซิลิตรในช่วงบ่าย ซึ่งหากระดับฮอร์โมนสูง หรือต่ำกว่าเกณฑ์มากเกินไป อาจเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติในร่างกาย
วิธีตรวจวัดระดับคอร์ติซอล
การตรวจวัดระดับคอร์ติซอลสามารถทำได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้
-
- การตรวจเลือด (Serum Cortisol Test) เป็นวิธีที่นิยมที่สุด โดยแพทย์จะเจาะเลือดในช่วงเช้าและช่วงบ่าย เพื่อดูความแตกต่างของระดับฮอร์โมนในแต่ละช่วงเวลา ข้อดีคือมีความแม่นยำสูง แต่ข้อจำกัดคือเป็นเพียงการวัดค่า ณ ขณะนั้น และอาจได้รับผลกระทบจากความเครียดในการเจาะเลือด
- การตรวจปัสสาวะ (Urinary Free Cortisol Test) เป็นการเก็บปัสสาวะตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อวัดปริมาณคอร์ติซอลที่ขับออกมาจากร่างกาย วิธีนี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของระดับคอร์ติซอลตลอดทั้งวันได้ดีกว่าการตรวจเลือด แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยในการเก็บปัสสาวะอย่างถูกต้อง
- การตรวจน้ำลาย (Salivary Cortisol Test) เป็นวิธีที่สะดวกและไม่เจ็บปวด สามารถเก็บตัวอย่างได้หลายครั้งต่อวันเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ข้อดีคือช่วยลดความเครียดที่เกิดจากการเจาะเลือด และเหมาะสำหรับการตรวจระดับคอร์ติซอลในตอนกลางคืน
ความเปลี่ยนแปลงเมื่อระดับคอร์ติซอลผิดปกติ
เมื่อร่างกายผลิตคอร์ติซอลมากเกินไปหรือน้อยเกินไป จะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานภายในร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะการเกิดโรคร้ายแรงได้
ระดับคอร์ติซอลสูงเกินไป
ภาวะที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไปเป็นเวลานาน อาจมีสาเหตุมาจากการใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ การมีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต หรือจากความเครียดเรื้อรัง ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงของโรค Cushing’s Syndrome โดยมีอาการที่สังเกตได้ดังนี้
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลำตัว ต้นคอ
- ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
- ภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้เจ็บป่วยง่ายขึ้น
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผิวหนังบางลง
ระดับคอร์ติซอลต่ำเกินไป
ในทางกลับกัน หากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลน้อยเกินไป ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของต่อมหมวกไต หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น Addison’s Disease ก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายได้ โดยมีอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- เหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียเรื้อรัง
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ความดันโลหิตต่ำ อาจมีอาการหน้ามืดเป็นลม
- ผิวหนังคล้ำขึ้นในบางบริเวณ

สัญญาณเตือนว่าคอร์ติซอลไม่สมดุล
อาการที่บ่งบอกว่าระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลไม่สมดุลมักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอาจถูกมองข้ามได้ง่าย แต่หากมีอาการใดอาการหนึ่ง หรือหลายอย่างต่อเนื่องกัน ควรพิจารณาไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพอย่างละเอียด โดยสามารถสังเกตได้จากอาการดังต่อไปนี้
- ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง แม้จะนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เสมอ
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล หรือมีอาการซึมเศร้า
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างผิดปกติ
- นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
- อยากอาหารที่มีรสหวาน หรือเค็มมากขึ้น
หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับภาวะมีบุตรยาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เพราะความไม่สมดุลของฮอร์โมนคอร์ติซอลอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ได้ เนื่องจากความเครียดเรื้อรังจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนตัวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่และรอบเดือน ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง
ความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมน ‘คอร์ติซอล’ กับ ‘ภาวะเจริญพันธุ์’
ความเครียดไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพกายและใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อระบบสืบพันธุ์ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ถูกหลั่งออกมาในปริมาณสูงจะไปรบกวนการทำงานของสมองในส่วนที่ควบคุมการผลิตฮอร์โมนเพศ (GnRH) ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการสืบพันธุ์ลดลง
- สำหรับผู้หญิง ระดับคอร์ติซอลที่สูงเกินไปอาจรบกวนการตกไข่ ทำให้รอบเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือประจำเดือนขาดหายไป นอกจากนี้ยังส่งผลต่อคุณภาพของไข่และการฝังตัวของตัวอ่อน ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง และเพิ่มความเสี่ยงในการแท้งบุตร
- สำหรับผู้ชาย ความเครียดจะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งอาจไปลดการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ทำให้คุณภาพของอสุจิลดลง ทั้งในแง่ของจำนวน การเคลื่อนไหว และรูปร่างผิดปกติ
ดังนั้น การจัดการความเครียดและรักษาระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลให้สมดุลจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร
วิธีดูแลรักษาระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลให้สมดุล
การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสมดุลของฮอร์โมนคอร์ติซอล เพื่อช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธี ดังนี้
- นอนหลับให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และควรเข้านอนให้เป็นเวลาเพื่อช่วยให้วงจรหลับและตื่นเป็นไปอย่างปกติ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการออกกำลังกายสามารถลดความเครียดและช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน การวิ่ง หรือการว่ายน้ำ
- จัดการความเครียด ด้วยการหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การฝึกสมาธิ โยคะ การฝึกหายใจเข้าออกให้ลึก หรือการฟังเพลง
- เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเลือกอาหารที่ช่วยลดความเครียด เช่น อาหารที่มีโอเมก้า-3 (ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง) แมกนีเซียม (ผักใบเขียว) และวิตามินบี (ธัญพืช) เพื่อบำรุงระบบประสาทและสมอง
สรุปความสำคัญของการรักษาระดับฮอร์โมน ‘คอร์ติซอล’
การมีระดับคอร์ติซอลที่สมดุลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพในภาพรวม เพราะช่วยให้ร่างกาย
- รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น เพราะเมื่อร่างกายมีระดับฮอร์โมนที่สมดุล จะช่วยให้สามารถจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง การรักษาระดับคอร์ติซอลให้เป็นปกติช่วยลดความเสี่ยงของโรคบางชนิดได้ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
- เสริมภูมิคุ้มกันและส่งเสริมคุณภาพชีวิต เนื่องจากฮอร์โมนที่สมดุลจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
คอร์ติซอล คือฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะในการจัดการกับความเครียด หากระดับฮอร์โมนไม่สมดุล อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตในระยะยาว รวมถึงภาวะเจริญพันธุ์ ดังนั้น การรักษาสมดุลของฮอร์โมนคอร์ติซอลด้วยการจัดการความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
สำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือกังวลว่าความเครียดจะส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก พร้อมด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เครื่องมือที่ทันสมัย และบริการที่ครอบคลุม ตั้งแต่การวางแผนตั้งครรภ์ การตรวจฮอร์โมน ไปจนถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยี IVF และ ICSI เพื่อให้คุณมั่นใจและพร้อมสำหรับเส้นทางการมีบุตร
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
คอร์ติซอล คืออะไร และทำไมถึงเรียกว่า ‘ฮอร์โมนความเครียด’?
A: คอร์ติซอลคือฮอร์โมนสเตียรอยด์ที่สร้างจากต่อมหมวกไต ทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียด เช่น เพิ่มพลังงานให้สมองและกล้ามเนื้อ รวมถึงควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิต จึงถูกเรียกว่า “ฮอร์โมนความเครียด” เพราะจะหลั่งออกมามากขึ้นเมื่อร่างกายรู้สึกเครียด
ระดับคอร์ติซอลปกติควรอยู่ที่เท่าไร และตรวจได้อย่างไร?
A: ปกติระดับคอร์ติซอลในเลือดจะอยู่ที่ประมาณ 6–23 ไมโครกรัม/เดซิลิตรในช่วงเช้า และลดลงเหลือ 3–15 ไมโครกรัม/เดซิลิตรในช่วงบ่าย สามารถตรวจได้ด้วยการเจาะเลือด การตรวจปัสสาวะ 24 ชั่วโมง หรือการตรวจน้ำลาย เพื่อประเมินความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
ถ้าระดับคอร์ติซอลสูงหรือต่ำเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น?
A: หากคอร์ติซอลสูงเกินไป อาจทำให้น้ำหนักเพิ่ม ความดันโลหิตสูง ภูมิคุ้มกันต่ำ และเสี่ยงโรค Cushing’s Syndrome ส่วนคอร์ติซอลต่ำเกินไปอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ความดันต่ำ น้ำหนักลด และอาจเป็นสัญญาณของโรค Addison’s ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ความเครียดและคอร์ติซอลส่งผลต่อการมีบุตรจริงไหม?
A: จริง เพราะคอร์ติซอลที่สูงจากความเครียดเรื้อรังสามารถรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศได้ ในผู้หญิงอาจทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอหรือประจำเดือนขาด ส่วนในผู้ชายอาจลดการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและคุณภาพอสุจิ จึงส่งผลให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง
วิธีดูแลรักษาระดับคอร์ติซอลให้สมดุลทำได้อย่างไร?
A: ควรนอนหลับให้เพียงพอวันละ 7–9 ชั่วโมง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จัดการความเครียดด้วยโยคะหรือสมาธิ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ปลา ถั่ว ผักใบเขียว และธัญพืช เพื่อช่วยให้ระบบฮอร์โมนทำงานสมดุลมากขึ้น
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชวิทยาและเวชศาตร์การเจริญพันธ์ุ




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.