เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

มีหินปูนเต้านม กับกระบวนการกระตุ้นไข่ ICSI

ผู้หญิงตรวจแมมโมแกรม แล้วพบว่ามีหินปูนในเต้านม

Table of Contents

“หินปูนเต้านม” หรือ Breast Calcifications มักตรวจพบจากการทำแมมโมแกรม และส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่เตรียมเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำ ICSI เมื่อพบว่ามีหินปูนในเต้านม มักเกิดความกังวลว่าภาวะนี้จะส่งผลต่อการกระตุ้นไข่หรือไม่ การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพเต้านมกับกระบวนการ ICSI จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้สามารถเตรียมตัวเข้าสู่การรักษาได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ตรวจประเมินสุขภาพก่อนการทำ ICSI ที่ VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร

ทำความเข้าใจภาวะมีหินปูนเต้านมคืออะไร ?

หินปูนเต้านม คือจุดหรือกลุ่มของแคลเซียมที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อหรือต่อมน้ำนม แตกต่างจากก้อนเนื้องอกหรือซีสต์ตรงที่ไม่สามารถคลำเจอหรือมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถตรวจพบได้จากการทำแมมโมแกรมเท่านั้น มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในวัย 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและอายุที่มากขึ้น แต่บางครั้งก็เกิดในผู้หญิงที่มีอายุน้อยได้เช่นกัน

สาเหตุของการเกิดหินปูนในเต้านม

  • การเปลี่ยนแปลงของเซลล์หรือเนื้อเยื่อ : เซลล์ที่ตายแล้วหรือเสื่อมสภาพอาจถูกแทนที่ด้วยแคลเซียม
  • กระบวนการเสื่อมตามวัย : พบได้บ่อยในผู้หญิงสูงอายุ และมักไม่เป็นอันตราย
  • การบาดเจ็บหรือผ่าตัดเต้านม : ทำให้เกิดการสะสมของแคลเซียมบริเวณแผลเป็น
  • การคั่งของน้ำนมหรือของเหลวในท่อน้ำนม : อาจเกิดการอุดตันและกลายเป็นแคลเซียมเข้ามาเกาะแทนที่
  • ความผิดปกติของหลอดเลือด : อาจสัมพันธ์กับโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ

ชนิดของหินปูนเต้านม

การจำแนกชนิดของหินปูนมีความสำคัญมาก เพราะสามารถช่วยบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

  • ชนิดไม่อันตราย (Macrocalcifications) : มีลักษณะใหญ่ กลม ขอบชัดเจน มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตามธรรมชาติ หรือจากภาวะไม่ร้ายแรง มักไม่ต้องรักษา
  • ชนิดที่ควรระวัง (Microcalcifications) : มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายผงทราย มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ หรือรวมกันเป็นกลุ่มก้อนอย่างหนาแน่น (Cluster) อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งเต้านมในระยะแรก จำเป็นต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด หรือพิจารณาการเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) เพื่อยืนยันผล

แพทย์อ่านผลตรวจแมมโมแกรม แล้วพบว่ามีหินปูนเต้านมชนิดไม่อันตราย สามารถทำ ICSI ได้

มีหินปูนเต้านมสามารถทำกระตุ้นไข่ ICSI ได้ไหม ?

โดยทั่วไป ผู้หญิงที่มีหินปูนเต้านมชนิดไม่อันตราย สามารถทำกระตุ้นไข่เพื่อเข้าสู่กระบวนการ ICSI ได้ตามปกติ เนื่องจากหินปูนไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อระบบฮอร์โมนหรือการทำงานของรังไข่

อย่างไรก็ตาม หากพบความผิดปกติร้ายแรง เช่น เป็นเนื้องอกหรือมะเร็งเต้านม แพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งและแพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์จะทำการประเมินความเสี่ยงร่วมกัน และอาจเลื่อนหรือปรับแผนการรักษาเพื่อให้ความสำคัญกับการรักษาโรคร้ายแรงก่อน

การประเมินสุขภาพก่อนเข้ารับการกระตุ้นไข่

ก่อนเริ่มกระบวนการกระตุ้นไข่ แพทย์จะทำการประเมินสุขภาพอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ยาฮอร์โมนมีความปลอดภัยสูงสุด

  • การตรวจแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวนด์เต้านม : เพื่อดูตำแหน่ง ลักษณะ และจำแนกชนิดของหินปูน หากพบชนิดที่น่าสงสัย (Microcalcifications) อาจมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด หรือแนะนำการตรวจชิ้นเนื้อเพิ่มเติม
  • การตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนเพศหญิง : เช่น ตรวจดูออร์โมน FSH, LH และ Estradiol ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตอบสนองต่อยากระตุ้นไข่ และการเจริญเติบโตของไข่
  • การประเมินสุขภาพโดยรวม : เช่น การทำงานของตับ ไต และระบบหัวใจ เพื่อดูความพร้อมในการใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ รวมถึงการตั้งครรภ์ในอนาคต

ผลกระทบของหินปูนเต้านมต่อฮอร์โมนและการเจริญของไข่

โดยทั่วไป หินปูนเต้านมไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และไม่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเพศหญิงหรือการพัฒนาไข่โดยตรง จึงไม่ทำให้ไข่ตอบสนองต่อยาได้น้อยลงหรือคุณภาพไข่ลดลง อย่างไรก็ตาม หากพบว่าหินปูนเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน แพทย์อาจปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมก่อนเริ่มทำ ICSI

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านมีบุตรยาก ?

  • พบว่าหินปูนเต้านมมีลักษณะผิดปกติ เช่น มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ หรือกระจุกตัวแน่น (ตามผลการอ่านของรังสีแพทย์)
  • มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือเคยได้รับการฉายรังสีบริเวณทรวงอก
  • รู้สึกเจ็บหรือคลำพบก้อนเนื้อร่วมกับผลตรวจที่พบหินปูน

ตรวจประเมินสุขภาพเต้านมและรังไข่ก่อนทำ ICSI ที่ VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร

การดูแลและตรวจติดตามสุขภาพเต้านมขณะทำ ICSI

การดูแลเต้านมอย่างเหมาะสมระหว่างการทำ ICSI จะช่วยให้กระบวนการกระตุ้นไข่ดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

  • ตรวจแมมโมแกรมตามนัด หากผลตรวจหินปูนอยู่ในกลุ่มต้องเฝ้าระวัง (เช่น BIRADS 3) ควรติดตามทุก 6 เดือน
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อรักษาสุขภาพโดยรวม
  • หลีกเลี่ยงการกดทับหรือกระแทกเต้านม และงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง
  • แจ้งแพทย์ทันทีหากพบอาการผิดปกติ เช่น เจ็บเต้านมเพิ่มขึ้นหรือคลำพบก้อนใหม่
  • ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลตรวจเต้านม เพื่อปรับแผนการกระตุ้นไข่ให้เหมาะสม

ภาวะมีหินปูนเต้านมส่วนใหญ่มักไม่กระทบต่อการกระตุ้นไข่หรือการทำ ICSI แต่ทั้งนี้ควรเข้ารับการตรวจและประเมินโดยแพทย์ โดยเฉพาะกรณีที่พบลักษณะผิดปกติหรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งมาก่อน

อย่าปล่อยให้ความกังวลเรื่องหินปูนเต้านมมาขัดขวางแผนการมีบุตรของคุณ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เพื่อรับบริการตรวจภาวะมีบุตรยาก และปรึกษาการใช้ยากระตุ้นไข่และยาเร่งไข่ตก ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จของการรักษาอย่างปลอดภัย

บทความโดย แพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร

Hotline: 082-903-2035

LINE Official: @vfccenter

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

Q : หินปูนเต้านมคืออะไร และแตกต่างจากก้อนเนื้องอกหรือซีสต์อย่างไร ?

A : หินปูนเต้านม (Breast Calcifications) คือการสะสมของแคลเซียมในเนื้อเยื่อหรือต่อมน้ำนม มักตรวจพบจากแมมโมแกรมเท่านั้น ไม่สามารถคลำหรือมองเห็นด้วยตาเปล่า แตกต่างจากก้อนเนื้องอกหรือซีสต์ที่สามารถคลำได้

Q : ผู้หญิงที่มีหินปูนเต้านม สามารถกระตุ้นไข่เพื่อทำ ICSI ได้ไหม ?

A : โดยทั่วไปสามารถทำได้ตามปกติ เพราะหินปูนเต้านมไม่ได้ส่งผลต่อฮอร์โมนหรือการทำงานของรังไข่โดยตรง ยกเว้นกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติร้ายแรง เช่น เนื้องอกหรือมะเร็งเต้านม แพทย์จะประเมินก่อนเริ่มกระตุ้นไข่

Q : หินปูนเต้านมมีผลต่อคุณภาพไข่หรือฮอร์โมนเพศหญิงหรือไม่ ?

A : ส่วนใหญ่ไม่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเพศหญิงหรือคุณภาพไข่โดยตรง แต่หากเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน แพทย์อาจปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมก่อนเข้าสู่กระบวนการทำ ICSI

Q : ควรตรวจติดตามหินปูนเต้านมอย่างไรระหว่างทำ ICSI ?

A : ควรเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวนด์ตามคำแนะนำของแพทย์ หากเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง แพทย์อาจนัดตรวจทุก 6 เดือนเพื่อความปลอดภัย

Q : การดูแลเต้านมระหว่างทำ ICSI ควรทำอย่างไร ?

A : ควรหลีกเลี่ยงการกดทับหรือกระแทกเต้านม รวมถึงรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ พักผ่อนให้เพียงพอ และแจ้งแพทย์ทันทีหากพบอาการผิดปกติ เพื่อให้การกระตุ้นไข่และรักษาภาวะมีบุตรยากเป็นไปอย่างราบรื่น

 

Book a consultation with Dr. Worawat Siripoon at our infertility clinic

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.