
การเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ ต้องเริ่มต้นจากการดูแลและการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจฮอร์โมนหญิง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการประเมินความพร้อมของระบบสืบพันธุ์ และช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายถึงความสำคัญของการตรวจฮอร์โมนหญิง รวมถึงวิธีเตรียมตัวที่เหมาะสมก่อนการตั้งครรภ์
การตรวจฮอร์โมนหญิงคืออะไร และทำไมถึงจำเป็น?
การตรวจฮอร์โมนหญิง คือ การตรวจระดับฮอร์โมนในร่างกายเพื่อประเมินความสมบูรณ์ของระบบการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะการตรวจค่า FSH และ AMH ซึ่งช่วยประเมินว่ารังไข่และกระบวนการผลิตไข่ทำงานได้ดีหรือไม่
ค่า FSH และ AMH ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความพร้อมในการตั้งครรภ์ อีกทั้งการตรวจฮอร์โมนทั้งสองประเภทนี้ก่อนการตั้งครรภ์ ยังจะช่วยให้คู่รักสามารถทราบถึงสถานะของร่างกาย และช่วยให้สามารถเตรียมตัวให้พร้อมต่อการตั้งได้ดียิ่งขึ้น
ค่า FSH (Follicle-Stimulating Hormone) คืออะไร?
FSH (Follicle-Stimulating Hormone) คือ ฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Pituitary Gland) มีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิล (Follicle) หรือ ถุงไข่ในรังไข่ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในรอบเดือนของผู้หญิง และจำเป็นต่อการตกไข่ในแต่ละรอบ
โดยปกติแล้ว ระดับของ FSH จะเปลี่ยนแปลงตามช่วงของรอบประจำเดือน โดยจะสูงขึ้นในช่วงต้นรอบเดือน (ประมาณวันที่ 2-5) เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ และจะลดลงเมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากพอจากฟอลลิเคิลที่เจริญสมบูรณ์
ความหมายของค่าระดับ FSH
- ค่า FSH สูงผิดปกติ
อาจสะท้อนถึงภาวะที่รังไข่เริ่มเสื่อมสมรรถภาพ หรือเข้าสู่ช่วงใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause) หรือ หมดประจำเดือนก่อนวัย (Premature Ovarian Insufficiency) เพราะร่างกายจะหลั่ง FSH มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ตอบสนอง แต่เมื่อรังไข่ตอบสนองได้น้อย ฮอร์โมน FSH จึงพุ่งสูงขึ้นผิดปกติเพื่อเป็นกลไกชดเชย
- ตัวอย่างภาวะที่พบค่า FSH สูง
- ภาวะรังไข่ไม่ทำงาน (Ovarian failure)
- ภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัย (POI)
- ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีภาวะไข่ลดลง
- ค่า FSH ต่ำผิดปกติ
อาจแสดงว่าการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองมีปัญหา หรือมีการขัดขวางการทำงานของระบบฮอร์โมน เช่น ภาวะฮอร์โมนเพศต่ำ หรือภาวะที่การตกไข่ผิดปกติ
- ตัวอย่างภาวะที่พบค่า FSH ต่ำ
- ภาวะ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS)
- ภาวะฮอร์โมนผิดปกติจาก Hypothalamus หรือ Pituitary
- ความเครียดเรื้อรัง น้ำหนักตัวน้อยเกินไป หรือการออกกำลังกายหนักเกินไป
ค่า FSH ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์
- ค่า FSH อยู่ในระดับต่ำ-ปานกลาง (5–10 IU/L) : ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติสำหรับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ และบ่งชี้ว่ารังไข่น่าจะยังตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ได้ดี
- ค่า FSH เกิน 10–15 IU/L : ควรต้องระวังว่าอาจมีภาวะรังไข่เสื่อม หรือมีจำนวนไข่น้อย
ค่า FSH สูงเกิน 20 IU/L : โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นในช่วงที่อายุมากขึ้น เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ถึงโอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติที่ลดลง และอาจต้องพิจารณาทางเลือกการรักษาภาวะมีบุตรยาก
ค่า AMH (Anti-Müllerian Hormone) คืออะไร?
AMH (Anti-Müllerian Hormone) คือ ฮอร์โมนที่ผลิตจาก เซลล์แกรนูโลซา (granulosa cells) ซึ่งอยู่รอบ ๆ ไข่ในถุงฟอลลิเคิลภายในรังไข่ ฮอร์โมนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการควบคุมรอบเดือนโดยตรง แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินจำนวนไข่ที่ยังเหลืออยู่ในรังไข่ (Ovarian Reserve) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับผู้หญิงที่ต้องการตั้งครรภ์
การตรวจฮอร์โมน AMH เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพื่อประเมินความสามารถของรังไข่ว่าสามารถผลิตไข่ได้อีกนานแค่ไหน ซึ่งการตรวจนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพารอบประจำเดือน จึงสามารถตรวจได้ทุกวัน
ค่าระดับ AMH บอกอะไรบ้าง?
- AMH สูง
หมายถึง มีจำนวนไข่ในรังไข่มาก โดยมักพบในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ตอนต้น หรือในผู้ที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) ซึ่งอาจแสดงว่ารังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ดี
อย่างไรก็ตาม ค่า AMH ที่สูงผิดปกติ ก็อาจบ่งชี้ถึงความไม่สมดุลของฮอร์โมนและการตกไข่ไม่สม่ำเสมอได้เช่นกัน
- AMH ต่ำ
สะท้อนถึงจำนวนไข่ที่ลดลงในรังไข่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากอายุที่มากขึ้น, พันธุกรรม, การผ่าตัดรังไข่ การได้รับเคมีบำบัด หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้รังไข่เสื่อมเร็วกว่าปกติ
หากค่า AMH ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อาจมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะมีบุตรยาก และควรรีบวางแผนรักษาหรือเก็บไข่โดยเร็ว
ค่า AMH ในเกณฑ์ต่าง ๆ
ค่าระดับ AMH (ng/mL) | ความหมายโดยทั่วไป |
มากกว่า 3.0 | รังไข่ตอบสนองดีมาก (อาจสัมพันธ์กับ PCOS) |
1.5-3.0 | อยู่ในเกณฑ์ปกติ เหมาะสำหรับการตั้งครรภ์ |
1.0-1.5 | ค่าปานกลาง เริ่มมีแนวโน้มไข่ลดลง |
น้อยกว่า 1.0 | ค่าต่ำ แสดงถึงปริมาณไข่ในรังไข่ที่ลดลง |
ต่ำกว่า 0.5 | เสี่ยงเกิดภาวะรังไข่เสื่อม แนะนำให้รักษาโดยเร็ว |
การเตรียมพร้อมตั้งครรภ์ด้วยการตรวจฮอร์โมน
การตรวจฮอร์โมนหญิงก่อนตั้งครรภ์ 3-6 เดือน สำคัญอย่างไร?
- เพื่อให้มีเวลาในการปรับสมดุลฮอร์โมน
หากตรวจพบค่าผิดปกติ แพทย์อาจให้ปรับพฤติกรรมหรือใช้ยาปรับฮอร์โมน ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์
- เพื่อวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น ในกรณีที่พบว่า AMH ต่ำมาก แพทย์อาจแนะนำให้รีบเก็บไข่ (Egg Freezing) หรือใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์
- เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย
โดยทั่วไป การตรวจฮอร์โมนมักทำควบคู่กับการตรวจเลือดพื้นฐาน และการตรวจในด้านอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ ทั้งในแง่ภาวะเจริญพันธุ์และสุขภาพโดยรวม
ใครบ้างที่ควรตรวจฮอร์โมนหญิงก่อนตั้งครรภ์?
- หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไปที่ยังไม่เคยตั้งครรภ์
- ผู้ที่พยายามมีบุตรมากกว่า 6-12 เดือนแต่ยังไม่สำเร็จ
- ผู้ที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีประจำเดือน
- ผู้ที่เคยแท้งบุตร หรือมีประวัติตั้งครรภ์ยากในครอบครัว
- ผู้ที่กำลังวางแผนทำ IVF หรือ ICSI
ตรวจฮอร์โมนแล้วทำอย่างไรต่อ?
- หากค่าฮอร์โมนอยู่ในเกณฑ์ปกติ : สามารถวางแผนตั้งครรภ์ได้ตามธรรมชาติ หรือรับคำแนะนำด้านโภชนาการและการออกกำลังกายตามความเหมาะสม
- หากพบความผิดปกติ : แพทย์จะวิเคราะห์ผลการตรวจร่วมกับประวัติสุขภาพและรอบเดือน เพื่อวางแผนการรักษา เช่น การกระตุ้นไข่ การใช้ยา หรือการเข้าสู่กระบวนการช่วยการเจริญพันธุ์
หากคุณกำลังวางแผนตั้งครรภ์ และตรวจพบค่าฮอร์โมนที่ผิดปกติ การตรวจหาสาเหตุมีลูกยาก เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่ตรงจุดและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เรามีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการประเมินและวินิจฉัยภาวะมีบุตรยาก รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อช่วยคู่รักที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ไม่ว่าจะเป็นการตรวจฮอร์โมน FSH และ AMH, การตรวจภายใน, การตรวจน้ำอสุจิ หรือการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเทคนิคช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น IVF หรือ ICSI ทีมแพทย์ของเราจะให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณ เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์อย่างที่ตั้งใจ
บทความโดย นายแพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.