
การกระตุ้นไข่เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการทำเด็กหลอดแก้ว ทั้งกระบวนการทำ IVF และ ICSI โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ที่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ แต่บางครั้งรังไข่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น หรือไข่ที่ได้ยังไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ ซึ่งหากเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหากระตุ้นไข่ไม่ขึ้น จะช่วยให้คู่แต่งงานสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์
รู้จักกระบวนการกระตุ้นไข่
การกระตุ้นไข่คือกระบวนการที่ใช้ยาฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ที่พร้อมสำหรับการทำ IVF หรือ ICSI โดยปกติแล้วผู้หญิงจะมีการตกไข่ในรอบเดือนหนึ่งครั้ง แต่ในกระบวนการทำ IVF หรือ ICSI จะต้องมีการผลิตไข่หลายใบในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยมีวิธีการดังนี้
- เริ่มต้นด้วยการให้ยาฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และ LH (Luteinizing Hormone) ผ่านการฉีดหรือรับประทานยา เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ในรังไข่ให้เกิดขึ้นพร้อมกันหลายเซลล์
- ในระหว่างนี้แพทย์จะติดตามผลด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจเลือดเป็นระยะ เพื่อดูการตอบสนองของรังไข่และปรับขนาดยาให้เหมาะสม
- ทำการกระตุ้นไข่อย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 8-12 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคล
- เมื่อไข่มีขนาดที่เหมาะสมแล้ว แพทย์จะให้ยา hCG (Human Chorionic Gonadotropin) เพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกสมบูรณ์ ก่อนที่จะทำการเก็บไข่ในขั้นตอนถัดไป
ภาวะไข่ไม่โตเกิดจากอะไร?
การกระตุ้นไข่ไม่ขึ้น หรือรังไข่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการรักษาภาวะมีบุตรยาก สาเหตุหลักมีดังนี้
ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
การเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ จำเป็นต้องใช้สารอาหารที่สำคัญ เช่น โปรตีน วิตามิน D โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้าหากร่างกายขาดสารอาหารเหล่านี้ จะส่งผลทำให้ไข่ไม่โตตามที่ควรจะเป็น ดังนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างกระบวนการกระตุ้นไข่ จึงต้องรับประทานอาหารให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ รวมถึงหลีกเลี่ยงการควบคุมน้ำหนักด้วยการอดอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอได้
เซลล์ไข่ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
อนุมูลอิสระเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มลภาวะ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียด หรือแม้แต่กระบวนการเมตาบอลิซึม หากมีอนุมูลอิสระสะสมมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงทำให้เซลล์ไข่เสื่อมคุณภาพ หรือถูกทำลายก่อนที่จะเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่
ภาวะ PCOS หรือภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง
Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) หรือภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ เกิดจากการที่ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้รังไข่ไม่สามารถตกไข่ได้ตามธรรมชาติ หรือไข่ที่สร้างขึ้นมามีขนาดเล็ก ไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงจำนวนมาก
ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย
ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัยหรือ Premature Ovarian Insufficiency เป็นภาวะที่รังไข่หยุดทำงานก่อนอายุ 40 ปี ทำให้มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลง และส่งผลให้มีจำนวนไข่ที่เหลืออยู่ในรังไข่น้อยลง
แนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะไข่ไม่ยอมโต
เมื่อพบว่ากระตุ้นไข่ไม่ขึ้น หรือไข่ไม่โตตามที่คาดหวัง แพทย์จะพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับสาเหตุของแต่ละบุคคล เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้ได้มากที่สุด
ปรับเปลี่ยนวิธีการกระตุ้นไข่
หากรังไข่ไม่ตอบสนอง แพทย์อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนชนิดของยาฮอร์โมน ปริมาณยา หรือโปรโตคอลการกระตุ้นไข่ เพื่อให้รังไข่ตอบสนองได้ดีขึ้น เช่น การใช้ยาในปริมาณที่สูงขึ้น หรือการใช้ยาที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย
รักษาภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย
สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย วิธีรักษาจะเน้นไปที่การใช้ฮอร์โมนทดแทน เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย และอาจพิจารณาใช้ไข่บริจาคในกรณีที่การกระตุ้นไข่ไม่ได้ผล
นอกจากนี้ การใช้ยา DHEA (Dehydroepiandrosterone) หรือ Testosterone อาจช่วยปรับปรุงการตอบสนองของรังไข่ในผู้ป่วยบางราย แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ใช้ยาช่วยกระตุ้นไข่ในผู้ที่มี PCOS
ผู้ป่วย PCOS จำเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะ และต้องเริ่มต้นด้วยการควบคุมน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการใช้ยา Metformin เพื่อลดความต้านทานต่ออินซูลิน ร่วมกับการใช้ยา Clomiphene Citrate หรือ Letrozole เพื่อเป็นทางเลือกในการกระตุ้นการตกไข่
ทั้งนี้ ในกรณีที่การรับประทานยาไม่ได้ผล แพทย์อาจใช้การฉีดยาฮอร์โมน แต่ต้องระวังภาวะ Ovarian Hyperstimulation Syndrome (OHSS) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วย PCOS
ฉีด PRP ฟื้นฟูรังไข่
การฉีด Platelet-Rich Plasma (PRP) เข้าไปในรังไข่ เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่กำลังได้รับความสนใจ โดย PRP ประกอบด้วย Growth Factors ที่ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ รวมถึงเซลล์รังไข่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการทำงานของรังไข่ ส่งผลให้มีการผลิตไข่ที่ดีขึ้น
วิธีปฏิบัติตนเอง เพิ่มโอกาสสำเร็จในการกระตุ้นไข่
นอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว การดูแลตนเองก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นไข่ และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยควรปฏิบัติดังนี้
รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน
เน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน ซีลีเนียม และสังกะสี นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีส่วนช่วยในการทำงานของฮอร์โมนและคุณภาพของไข่ด้วย
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
อีกหนึ่งวิธีสำคัญคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว โยคะ ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เลือดไหลเวียนดีขึ้น ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อระบบสืบพันธุ์และการผลิตไข่
ลดความเครียด
ความเครียดส่งผลเสียต่อฮอร์โมนและระบบสืบพันธุ์โดยตรง การหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ ฟังเพลง หรือใช้เวลากับคนที่รัก จะช่วยลดความเครียดและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการตั้งครรภ์
ด้วยวิธีการเหล่านี้ จะช่วยให้คู่แต่งงานที่อยู่ในระหว่างการทำ IVF และ ICSI มีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวฝากไข่ และต้องการรู้ขั้นตอนการเก็บไข่เพิ่มเติม ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) เราพร้อมให้การดูแลและให้คำแนะนำโดยทีมสหแพทย์ด้านการเจริญพันธุ์ เพื่อการตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์
บทความโดย นายแพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.