ฮอร์โมน DHEA คืออะไร ? ตอบความสำคัญสำหรับการตั้งครรภ์

ถึงแม้ว่าการมีลูกจะเป็นหนึ่งในความฝันของคู่รักหลายคู่ แต่ก็ใช่ว่าทุกคู่จะสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างสำเร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากซึ่งอาจมีความเสี่ยงหลายประการ การตรวจคุณภาพไข่จึงถือเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ถึงความสามารถในการตั้งครรภ์  อีกทั้งยังช่วยประเมินสุขภาพของรังไข่และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสืบพันธุ์ เช่น ฮอร์โมน DHEA ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมคุณภาพไข่ให้แข็งแรง 

ฮอร์โมน DHEA คืออะไร?

ฮอร์โมน DHEA (Dehydroepiandrosterone) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต ซึ่งมีบทบาทในการเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนสำคัญทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน โดยฮอร์โมน DHEA มีบทบาทในการควบคุมการผลิตไข่ในรังไข่และช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบสืบพันธุ์ของทั้งชายและหญิง

การที่ผู้หญิงมีระดับ DHEA ต่ำ อาจส่งผลต่อสุขภาพของไข่ รวมทั้งจำนวนไข่ และกระบวนการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุเกิน 35 ปี ซึ่งระดับ DHEA ในร่างกายมักจะลดลงตามอายุ จึงอาจทำให้การผลิตไข่และการตั้งครรภ์มีความยากลำบากมากขึ้น ดังนั้นการตรวจสอบระดับ DHEA จึงส่งผลสำคัญในการวางแผนตั้งครรภ์ เพราะสามารถบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของการมีบุตรยากได้ 

ประโยชน์ของฮอร์โมน DHEA ต่อการตั้งครรภ์

การทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของฮอร์โมน DEHA จะช่วยให้คู่รักสามารถเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสให้กับการมีลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เพิ่มคุณภาพไข่

ฮอร์โมน DHEA มีบทบาทในการกระตุ้นการผลิตไข่จากรังไข่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพและสามารถพัฒนาต่อไปเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรงได้ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการฝังตัวในมดลูกเป็นไปได้ง่าย พร้อมกับเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์สำเร็จได้ในรอบแรก

2. ช่วยการทำงานของรังไข่ แม้ในผู้หญิงที่อายุเริ่มมากขึ้น

ดังที่กล่าวไปว่า DHEA เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของรังไข่ จึงเหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป ที่รังไข่มักทำงานได้ลดลง รวมทั้งสตรีที่อายุน้อยที่มีจำนวนไข่น้อยกว่าเกณฑ์ โดยการเสริม DHEA จะช่วยทำให้กระบวนการสืบพันธุ์เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

3. เสริมการผลิตฮอร์โมนเพศ

ฮอร์โมน DHEA ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศที่จำเป็นในการตั้งครรภ์ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไข่ให้มีคุณภาพดีและเตรียมมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการสืบพันธุ์ทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมนเพศต่ำ หรือผู้ที่มีปัญหากับการผลิตไข่ 

ทำไมการตรวจคุณภาพไข่ในผู้หญิงจึงสำคัญ?

เมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น การผลิตไข่และความสามารถในการตั้งครรภ์จะลดลงเนื่องจากคุณภาพไข่ที่ด้อยลง ซึ่งอาจเกิดจากการที่ไข่ไม่สามารถพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรงได้ การตรวจคุณภาพไข่ในผู้หญิงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทราบถึงปัญหาและสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาและการวางแผนตั้งครรภ์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการตรวจระดับ DHEA เป็นหนึ่งในการทดสอบที่สำคัญ เพราะการมีระดับ DHEA ที่ต่ำเกินไปจะส่งผลต่อการผลิตไข่และคุณภาพของไข่ที่ได้ และทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลงลด 

• หากมีระดับ DHEA ต่ำ การเสริม DHEA อาจช่วยเพิ่มคุณภาพไข่ได้
• การเสริม DHEA ช่วยเพิ่มการทำงานของรังไข่และทำให้ไข่ที่ผลิตออกมามีคุณภาพดียิ่งขึ้น
• เมื่อระดับ DHEA อยู่ในระดับที่เหมาะสม คุณภาพไข่จะดีขึ้น ซึ่งจะทำให้การปฏิสนธิมีโอกาสสูงขึ้น

การตรวจคุณภาพไข่จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าไข่ที่ผลิตออกมามีคุณภาพดีและช่วยให้กระบวนการตั้งครรภ์เป็นไปได้อย่างราบรื่น

วิตามินผู้หญิงและการเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์

นอกจากการตรวจสุขภาพไข่แล้ว การรักษาสุขภาพและการดูแลตัวเองอยู่เสมอก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีบุตร โดยเฉพาะการได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสม ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ โดยวิตามินที่สำคัญสำหรับผู้หญิงที่ต้องการมีลูก ได้แก่

1. วิตามิน D

วิตามิน D เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของผู้หญิง โดยเฉพาะในกระบวนการตั้งครรภ์ เนื่องจากมีส่วนช่วยสร้างฮอร์โมนที่สำคัญต่อกระบวนการสืบพันธุ์ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งจำเป็นต่อการเตรียมมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน นอกจากนี้ วิตามิน D ยังช่วยเสริมสร้างกระดูกและภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงของการแท้งบุตรและภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ การขาดวิตามิน D จึงอาจทำให้การตั้งครรภ์มีความยากลำบาก เพราะระดับวิตามิน D ที่ต่ำอาจส่งผลต่อกระบวนการสืบพันธุ์ของรังไข่ ทำให้ไข่ที่ผลิตออกมามีคุณภาพต่ำ ส่งผลให้โอกาสการปฏิสนธิน้อยลง

2. กรดโฟลิก

กรดโฟลิกเป็นวิตามิน B ชนิดหนึ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงแรก เนื่องจากกรดโฟลิกสามารถช่วยลดความเสี่ยงของความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคไขสันหลังผิดปกติ (Spina Bifida) โดยการทานกรดโฟลิกอย่างเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาของทารก 

3. วิตามิน E

วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของไข่และการพัฒนาของตัวอ่อน อีกทั้ง วิตามิน E ยังมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์

4. วิตามิน C

วิตามิน C เป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กจากอาหาร ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเลือดและการพัฒนาของทารกในครรภ์ พร้อมช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระในระหว่างการตั้งครรภ์

การรับประทานวิตามินเหล่านี้ในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับไข่และระบบสืบพันธุ์โดยรวม ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพอีกด้วย 

สำหรับผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป การตรวจคุณภาพไข่และการเสริมวิตามินผู้หญิง ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการดูแลตัวเองและเตรียมพร้อมอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้สำเร็จ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน หรือหากใครที่กำลังกังวลและต้องการวางแผนก่อนอายุ 30 สามารถปรึกษาเรื่องการฝากไข่เพื่อเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคตตั้งแต่เริ่มได้ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) ที่ยินดีให้คำปรึกษาการมีบุตรยากและดูแลการรักษาในทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด โดยสูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อให้การวางแผนมีบุตรทำได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

 

บทความโดย แพทย์หญิงวนากานต์ สิงหเสนา

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร 

Hotline: 082-903-2035 

LINE Official: @vfccenter