
หลายคู่รักที่วางแผนมีบุตร มักให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่มักอาจถูกมองข้ามไป คือการควบคุมระดับ “ฮอร์โมนโปรแลคติน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ เนื่องจากหากฮอร์โมนประเภทนี้มีระดับที่สูงกว่าปกติ อาจส่งผลต่อความผิดปกติของการตกไข่ ทำให้ตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น และแม้ว่าภาวะโปรแลคตินสูงจะไม่ใช่สาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีบุตรยาก แต่ก็เป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม การทำความเข้าใจว่า โปรแลคตินสูงเกิดจากสาเหตุใด และควรมีแนวทางดูแลอย่างไร เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สำเร็จได้อย่างมั่นใจ
โปรแลคติน (Prolactin) คืออะไร?
โปรแลคตินคือฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า มีหน้าที่หลักในการกระตุ้นต่อมน้ำนมให้สร้างน้ำนมหลังคลอด ซึ่งระดับโปรแลคตินจะสูงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรตามธรรมชาติ แต่หากระดับโปรแลคตินสูงในช่วงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และ LH (Luteinizing Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่ ทำให้ไข่ไม่ตก และส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ได้
ระดับโปรแลคตินปกติ
- ผู้หญิง : ประมาณ 15-25 ng/mL (หรือไม่เกิน 25 mcg/L) โดยระดับอาจแปรผันตามรอบเดือน
- ผู้ชาย : ปกติจะต่ำกว่าผู้หญิง โดยไม่เกิน 20 mcg/L
โปรแลคตินสูง เกิดจากอะไร?
ภาวะโปรแลคตินสูงสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้
สาเหตุทางพยาธิวิทยา
- เนื้องอกต่อมใต้สมอง (Prolactinoma) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
- โรคไทรอยด์ โดยเฉพาะภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism)
- ภาวะไตวายเรื้อรังที่ลดการกรองโปรแลคติน
สาเหตุจากพฤติกรรมหรือปัจจัยชั่วคราว
- ความเครียดสูง
- การนอนหลับไม่เพียงพอ
- การออกกำลังกายหนักเกินไป
- การกระตุ้นหรือบีบเต้านม
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคความดันโลหิต หรือยาต้านอาการคลื่นไส้บางชนิด
ภาวะโปรแลคตินสูง อาการเป็นอย่างไร?
อาการของภาวะโปรแลคตินสูงจะแตกต่างกันไปตามเพศและระดับฮอร์โมน โดยทั่วไปจะพบในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มากที่สุด สำหรับอาการที่พบบ่อยได้แก่
- ประจำเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนไม่มา หรือมีประจำเดือนน้อยลง
- ประจำเดือนขาด
- มีน้ำนมไหลออกจากเต้านมโดยไม่ได้ตั้งครรภ์ (Galactorrhea)
- เกิดภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากไข่ไม่ตกหรือการตกไข่ผิดปกติ
- ช่องคลอดแห้ง รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
- ความต้องการทางเพศลดลง
อาการในผู้ชายที่พบได้ เช่น
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- ความต้องการทางเพศลดลง
- มีน้ำนมไหลออกจากหัวนม (อาจพบได้น้อยในผู้ชาย เนื่องจากเนื้อเยื่อเต้านมไม่ได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเหมือนในผู้หญิง )
- ผลิตอสุจิผิดปกติหรือได้น้อย
โปรแลคตินสูง มีลูกได้ไหม?
คำตอบคือ “สามารถมีลูกได้” แต่ต้องรักษาให้ระดับโปรแลคตินกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติก่อน เนื่องจากฮอร์โมนนี้มีผลโดยตรงต่อการทำงานของรังไข่ การตกไข่ และการมีรอบเดือนปกติ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจลดโอกาสในการตั้งครรภ์ หรือทำให้เสี่ยงแท้งในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ได้
สำหรับผู้ชาย การมีระดับโปรแลคตินสูงอาจทำให้คุณภาพของอสุจิลดลง และส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งล้วนมีผลต่อโอกาสในการมีบุตรเช่นกัน
แนวทางการรักษาและดูแลเมื่อโปรแลคตินสูง
การรักษาภาวะโปรแลคตินสูงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ตรวจพบ โดยสามารถแบ่งเป็นแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
1. รักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ
- เนื้องอกต่อมใต้สมอง (Prolactinoma) : ใช้ยากลุ่มโดปามีนอะโกนิสต์ (Dopamine Agonists) เช่น Bromocriptine หรือ Cabergoline ซึ่งช่วยลดระดับโปรแลคตินและขนาดเนื้องอกได้ดี กรณีที่ยาไม่ได้ผลหรือเนื้องอกมีขนาดใหญ่ อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหรือฉายแสง
- โรคไทรอยด์ : หากเกิดจากภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ ควรรักษาด้วยฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน
- ผลข้างเคียงจากยา : หากโปรแลคตินสูงจากการใช้ยา แพทย์จะพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือหยุดยาที่เป็นสาเหตุ
- ภาวะไตวายเรื้อรัง : รักษาตามอาการของโรคไตที่เป็นอยู่
2. การดูแลตัวเองและติดตามอาการ
-
- ลดความเครียด : ความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นให้โปรแลคตินสูง ควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกายเบา ๆ นั่งสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ
- นอนหลับให้เพียงพอ : การนอนหลับไม่เพียงพออาจทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ควรพักผ่อนให้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการกระตุ้นเต้านมโดยไม่จำเป็น
- สังเกตอาการผิดปกติ : เช่น ประจำเดือนผิดปกติ น้ำนมไหลโดยไม่ได้ตั้งครรภ์ หรืออาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
3. การติดตามผลและการวางแผนมีบุตร
- ตรวจวัดระดับโปรแลคตินซ้ำ : เพื่อติดตามผลการรักษาและปรับแผนหากจำเป็น
- ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการมีบุตร : เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- วางแผนการตั้งครรภ์ : เมื่อระดับโปรแลคตินกลับสู่ปกติ โอกาสตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้น ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในช่วงเตรียมตัวมีบุตร
แม้ฮอร์โมนโปรแลคตินจะเป็นหนึ่งในหลายฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับภาวะเจริญพันธุ์ แต่หากมีระดับสูงผิดปกติ ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคในการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การตรวจระดับฮอร์โมนจึงเป็นขั้นตอนสำคัญของการวางแผนมีบุตร หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุล การปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการกับศูนย์ผู้มีบุตรยากคือทางเลือกที่ดีที่สุด
VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) พร้อมดูแลและให้คำแนะนำในการรักษาภาวะมีบุตรยากอย่างใกล้ชิด ช่วยให้คุณวางแผนมีบุตรได้อย่างอุ่นใจ ด้วยทีมแพทย์ที่สามารถวินิจฉัยภาวะต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด และวางแผนการรักษาให้เหมาะกับคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณเข้าใกล้ความฝันของการมีลูกอย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกขั้นตอน
บทความโดย นายแพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.