
ประจำเดือนมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยกว่าปกติ ปวดท้องประจำเดือนรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และที่น่ากังวลที่สุดคือพยายามมีบุตรมานานแต่ยังไม่สำเร็จ หากคุณกำลังประสบปัญหาเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ Adenomyosis ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง ปัจจุบันมีวิธีการวินิจฉัยและรักษาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีและเพิ่มโอกาสในการมีบุตรให้สำเร็จได้
Adenomyosis คืออะไร?
Adenomyosis คือภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) เจริญเข้าไปในกล้ามเนื้อผนังมดลูก (Myometrium) ซึ่งโดยปกติแล้วเยื่อบุชนิดนี้ควรอยู่ด้านในโพรงมดลูกเท่านั้น และเมื่อเยื่อบุเจริญผิดที่จะทำให้มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นและเกิดอาการต่าง ๆ ตามมา
Adenomyosis แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- Focal Adenomyosis ที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่ง
- Diffuse Adenomyosis ที่แพร่กระจายไปทั่วผนังมดลูก
ความแตกต่างระหว่าง Adenomyosis กับ Endometriosis
สิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดคือ Adenomyosis กับ Endometriosis เป็นกลุ่มโรคเดียวกัน แต่กระจายไปคนละตำแหน่ง โดย Endometriosis คือการที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญที่อวัยวะอื่นนอกมดลูก เช่น รังไข่ หรือช่องท้อง ในขณะที่ Adenomyosis เป็นการเจริญของเยื่อบุภายในผนังมดลูกเอง
อาการและสัญญาณของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis)
- ประจำเดือนมามากและนานกว่าปกติ (Menorrhagia) เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 1-2 ชั่วโมง และอาจมีลิ่มเลือดออกมาด้วย
- อาการปวดประจำเดือนรุนแรง (Dysmenorrhea) ที่อาจเริ่มต้นก่อนประจำเดือนมาและยืดเยื้อไปจนหลังประจำเดือนหยุด
- อาการปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาได้รับผลกระทบ
- อาการแทรกซ้อนจากประจำเดือนมามากเป็นเวลานาน ผู้ป่วยมักประสบปัญหาโลหิตจางและความเหนื่อยล้าเรื้อรัง
ผลกระทบต่อการมีบุตร: ปัญหาการตั้งครรภ์และการแท้งบุตร
สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือผลกระทบต่อการมีบุตร เพราะโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สามารถก่อให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์และเพิ่มความเสี่ยงการแท้งบุตรได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในมดลูกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้การฝังตัวของตัวอ่อนเป็นไปได้ยากขึ้น
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis)
แม้ว่าสาเหตุที่แน่นอนของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มี 2 ปัจจัยหลักที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง คือ
- ปัจจัยด้านฮอร์โมนเอสโตรเจน: ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่กระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญมากขึ้น นอกจากนี้การบาดเจ็บของผนังมดลูกจากการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดคลอดหรือขูดมดลูก อาจเป็นช่องทางทำให้เยื่อบุเจริญเข้าไปในกล้ามเนื้อผนังมดลูกได้
- ปัจจัยทางพันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
กลุ่มเสี่ยงโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
กลุ่มเสี่ยงหลักคือผู้หญิงอายุ 30-50 ปี โดยเฉพาะผู้ที่เคยคลอดบุตรมาแล้ว เพราะการคลอดบุตร อาจทำให้ผนังมดลูกมีรอยแผลเป็นช่องทางให้เยื่อบุเจริญผิดที่
การวินิจฉัยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis)
การวินิจฉัยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย – แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับลักษณะประจำเดือน ความรุนแรงของอาการปวด และปัญหาการมีบุตร พร้อมทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด
- การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) – เป็นขั้นตอนแรกที่ช่วยประเมินขนาดและลักษณะของมดลูก เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผนังมดลูกเบื้องต้น
- การตรวจ MRI – ให้ภาพที่ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น สามารถแยกแยะภาวะ Adenomyosis จากโรคอื่นได้ดีกว่า ทั้งยังสามารถช่วยประเมินความรุนแรงของโรค
- การตรวจเลือด – เพื่อประเมินภาวะโลหิตจางที่เกิดจากประจำเดือนมามาก และตรวจหาค่าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- การวินิจฉัยแยกโรค – แพทย์จะแยกแยะภาวะ Adenomyosis จากปัญหาอื่น ๆ เช่น เนื้องอกมดลูก หรือ Endometriosis เพื่อให้การรักษาตรงจุด
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis) กับการมีบุตร: ผลกระทบและแนวทางการรักษา
ภาวะ Adenomyosis ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ธรรมชาติในหลายระดับ โดยเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่ทำให้สภาพแวดล้อมภายในมดลูกเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้การฝังตัวของตัวอ่อนเป็นไปได้ยากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตร เนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกหดตัวผิดปกติอีกด้วย
สำหรับคู่สมรสที่ต้องการมีบุตรและมีปัญหาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ การเตรียมความพร้อมก่อนการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญ โดยอาจต้องมีการรักษาเพื่อควบคุมอาการและลดการอักเสบก่อน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์ ซึ่งขั้นตอนนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จของการรักษาด้วยการทำ ICSI ที่จะตามมาได้
เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยการทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ในผู้ป่วยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ต้องมีการวางแผนและติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอัตราความสำเร็จอาจต่ำกว่าปกติ แต่หากมีการรักษาที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการติดตามอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้
การป้องกันและการดูแลตนเอง
แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกัน Adenomyosis ได้อย่างสมบูรณ์ แต่การดูแลตนเองที่เหมาะสมจะช่วยลดอาการและชะลอความรุนแรงได้ ดังนี้
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงการไหลเวียนเลือด ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพของมดลูก โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบา ๆ
- การจัดการความเครียด ใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการผ่อนคลาย ช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียดที่อาจกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้น
- การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอักเสบ เช่น ปลาที่มีโอเมก้า 3 ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีสีสันสดใหม่ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ทั้งยังจะช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบฮอร์โมน
- การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น การรับประทานเนื้อแดงมากเกินไป หรือการสัมผัสสารเคมีที่รบกวนระบบฮอร์โมน เพื่อไม่ให้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญมากขึ้น
- การติดตามอาการและนัดพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความก้าวหน้าของอาการและปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากคุณกำลังประสบปัญหาประจำเดือนมามากและนาน ปวดท้องประจำเดือนรุนแรง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการมีบุตร อาจเป็นสัญญาณของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis) ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) มีบริการเพื่อรักษาภาวะมีบุตรยากหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การทำ ICSI การทำ IUI รวมถึงการฝากไข่ โดยสามารถสอบถามค่าใช้จ่าย หรือนัดหมายเข้าปรึกษาเพื่อหาทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับคุณได้เลย
บทความโดย นายแพทย์วรวัฒน์ ศิริปุณย์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.