
ปัญหามีบุตรยากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคู่สมรสจำนวนมาก “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” จึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากสามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จ ซึ่งวิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ การทำกิฟต์ (GIFT) และการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) รวมถึงเทคนิค ICSI ซึ่งเป็นเทคนิคที่พัฒนาต่อยอดมาจาก IVF
แล้วการทำกิฟต์กับเด็กหลอดแก้วต่างกันอย่างไร ? ต้องบอกว่าแต่ละวิธีมีหลักการทำงานที่แตกต่างกัน การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ภาวะมีบุตรยากของคู่สมรส สุขภาพของฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย รวมถึงการพิจารณาของแพทย์ร่วมด้วย
รู้จักการทำกิฟต์ (GIFT) และเด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI)
การทำกิฟต์ (GIFT) และเด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI) เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ช่วยให้ไข่และอสุจิมีโอกาสปฏิสนธิ ซึ่งกระบวนการทำกิฟต์และการทำเด็กหลอดแก้วมีความแตกต่างกัน โดยการทำกิฟต์เป็นวิธีที่นำไข่และอสุจิไปใส่ในท่อนำไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิในร่างกาย ส่วน IVF เป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย แล้วจึงนำตัวอ่อนกลับเข้าไปฝังในมดลูก
การทำกิฟต์คืออะไร ?
การทำกิฟต์ GIFT (Assisted Reproductive Technology: ART) คือหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิในร่างกาย วิธีนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในช่วงปี 1980 และเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม ก่อนที่เทคนิค IVF จะได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ขั้นตอนการทำกิฟต์
- แพทย์ทำการฉีดยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ให้ฝ่ายหญิง เพื่อให้รังไข่ผลิตไข่ที่สมบูรณ์ ส่วนฝ่ายชายจะเป็นการหลั่งอสุจิด้วยวิธีธรรมชาติ และนำไปเก็บไว้ในภาชนะเก็บน้ำเชื้อ
- เมื่อไข่สุกเต็มที่ แพทย์จะทำการเก็บไข่ โดยการใช้เข็มเจาะไปที่ถุงเก็บไข่ แล้วค่อย ๆ ดูดออกมา ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การเจาะผ่านหน้าท้อง และ การเก็บจากทางช่องคลอด
- แพทย์นำไข่และอสุจิที่ผ่านการคัดเลือกมาผสมกันในห้องปฏิบัติการ
- แพทย์ทำการฉีดไข่และอสุจิที่ผสมแล้วกลับเข้าไปในท่อนำไข่ของฝ่ายหญิงผ่านทางหน้าท้อง เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิตามธรรมชาติ
- หากปฏิสนธิสำเร็จ ไข่ที่ผสมแล้วจะเคลื่อนเข้าสู่โพรงมดลูกและฝังตัวเพื่อเริ่มการตั้งครรภ์
ข้อดีของการทำกิฟต์คือ กระบวนการปฏิสนธิจะเป็นไปตามธรรมชาติในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาท่อนำไข่ตีบหรืออุดตัน
การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และอิ๊กซี่ (ICSI) คืออะไร ?
การทำ IVF (In Vitro Fertilization) หรือ การทำเด็กหลอดแก้ว คือเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่เป็นการนำไข่และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย จากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่พัฒนาแล้วใส่กลับเข้าไปในมดลูก
ส่วนการทำอิ๊กซี่ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) เป็นเทคนิคที่พัฒนาจาก IVF โดยแพทย์จะคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับคู่สมรสที่มีภาวะมีบุตรยากอันเกิดจากคุณภาพของอสุจิที่ไม่แข็งแรง หรือในกรณีที่อสุจิไม่สามารถปฏิสนธิกับไข่ได้เอง
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว
- ขั้นตอนการเก็บไข่ของการทำเด็กหลอดแก้วจะมีความคล้ายคลึงกับการทำกิฟต์ คือ แพทย์ทำการฉีดยากระตุ้นไข่ให้ฝ่ายหญิง เพื่อให้ร่างกายผลิตไข่ที่สมบูรณ์ ส่วนฝ่ายชายจะเป็นการหลั่งด้วยวิธีธรรมชาติลงในภาชนะสำหรับเก็บน้ำเชื้อโดยเฉพาะ
- หากเป็นวิธี IVF แพทย์จะนำไข่และอสุจิมาผสมกันที่จานเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ และรอให้อสุจิว่ายเข้าไปหาไข่เอง แต่สำหรับวิธี ICSI แพทย์จะนำอสุจิที่ผ่านการคัดเลือกแล้วว่าสมบูรณ์ที่สุด ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ
- เมื่อปฏิสนธิสำเร็จ และเซลล์เริ่มพัฒนาไปเป็นตัวอ่อน แพทย์จะทำการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการประมาณ 5-6 วัน เพื่อให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตไปเป็นระยะที่สมบูรณ์ที่สุด
- ตัวอ่อนที่แข็งแรงสมบูรณ์จะถูกย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อให้เกิดการฝังตัว และพัฒนาไปเป็นการตั้งครรภ์
สรุปความแตกต่างระหว่างการทํากิฟต์ (GIFT) และเด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI)
GIFT
แพทย์ทำการนำไข่และอสุจิใส่เข้าไปในท่อนำไข่ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิภายในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ท่อนำไข่ปกติ
IVF
เป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย และเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน มีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในระดับเดียวกับร่างกายมนุษย์ จากนั้นจึงย้ายตัวอ่อนที่พัฒนาแล้วกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท่อนำไข่ผิดปกติ
ICSI
เป็นวิธีที่คล้ายกับ IVF แต่แตกต่างกันตรงที่แพทย์จะใช้เข็มฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านคุณภาพของอสุจิ
ข้อได้เปรียบของวิธี IVF และ ICSI คือ เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความผิดปกติของท่อนำไข่ และช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้สูงกว่าการทำ GIFT
วิวัฒนาการทางการแพทย์ : จาก GIFT สู่ ICSI
GIFT เคยเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมในช่วงแรกของการพัฒนาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ IVF และ ICSI ได้ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนกว่า จึงกลายเป็นเทคนิคที่เข้ามาแทนที่การทำ GIFT ในที่สุด
ในปัจจุบัน IVF และ ICSI เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้กับคู่สมรสที่เผชิญกับภาวะมีบุตรยากได้ในหลายกรณี ทั้งในกรณีที่มีปัญหาท่อนำไข่ อสุจิอ่อนแอ รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่สามารถระบุได้
จากความแตกต่างของการทำกิฟต์และการทำเด็กหลอดแก้ว จะเห็นได้ว่า ถึงแม้การทำกิฟต์จะเป็นหนึ่งในวิธีที่เคยได้รับความนิยมในการรักษาภาวะมีบุตรยาก แต่ด้วยข้อจำกัดบางประการที่อาจมีความเสี่ยงและก่อให้เกิดความยากลำบากในการทำ จึงทำให้วิธีนี้ถูกแทนที่ด้วยการทำ IVF และ ICSI ซึ่งกลายมาเป็นตัวเลือกหลักของการรักษาในปัจจุบัน
สำหรับคู่สมรสที่มีความเสี่ยง หรือสงสัยว่าตนเองกำลังเผชิญกับภาวะมีบุตรยากหรือไม่ สามารถปรึกษาได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Clinic) ศูนย์เฉพาะทางที่ได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีเวชแห่งประเทศไทย เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการ
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline : 082-903-2035
Line Official : @vfccenter
อ่านบทความสุขภาพ : https://www.v-ivf.com/article/
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
การทำกิฟต์ (GIFT) คืออะไร ?
การทำกิฟต์ (Gamete Intrafallopian Transfer: GIFT) คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่นำไข่และอสุจิไปใส่ในท่อนำไข่ของผู้หญิง เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิภายในร่างกาย
ทำกิฟต์ราคาเท่าไร ?
ราคาของการทำกิฟต์ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจของแต่ละสถานที่ โดยขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ในการกระตุ้นไข่ ขั้นตอนในการเก็บไข่และอสุจิ รวมถึงการตรวจสุขภาพก่อนและหลังการรักษา
ทำกิฟต์กับเด็กหลอดแก้วต่างกันอย่างไร ?
การทำกิฟต์ (GIFT) เป็นการปฏิสนธิภายในร่างกาย ในขณะที่เด็กหลอดแก้ว (IVF) เป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย โดยจะนำไข่และอสุจิมาผสมในห้องปฏิบัติการ แล้วค่อยนำตัวอ่อนใส่กลับไปที่โพรงมดลูก
ทำกิฟต์มีข้อดีอย่างไร ?
ข้อดีของการทำกิฟต์คือการปฏิสนธิจะเกิดขึ้นภายในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีท่อนำไข่ปกติ และลดความเสี่ยงจากการปฏิสนธิภายนอกที่อาจมีผลต่อคุณภาพของไข่และอสุจิ
ผลลัพธ์จากการทำกิฟต์มีอัตราความสำเร็จเท่าไร ?
อัตราความสำเร็จของการทำกิฟต์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุของฝ่ายหญิง สุขภาพของไข่และอสุจิ และการตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ โดยเฉลี่ยแล้วอัตราความสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 30-40% ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี

ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชวิทยาและเวชศาตร์การเจริญพันธ์ุ
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.