เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

ฝุ่น PM 2.5 กับการตั้งครรภ์: เข้าใจผลกระทบและแนวทางรับมือ

ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิง

มลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์และภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิงอีกด้วย ปัจจุบันมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 เป็นเวลานานต่อความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะมีบุตรยาก รวมถึงภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ และปัญหาสุขภาพของทารก

การทำความเข้าใจถึงผลกระทบเหล่านี้ พร้อมกับหาวิธีป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถวางแผนและเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

1. PM 2.5 คืออะไร ทำไมถึงเป็นอันตรายต่อร่างกาย ?

PM 2.5 หมายถึง ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 25 เท่า

อันตรายของ PM 2.5

ด้วยขนาดที่เล็กมาก PM 2.5 สามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนลึกและเข้าสู่กระแสเลือดได้ ก่อให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย รวมถึงอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ อีกทั้งสารพิษที่ติดมากับฝุ่นยังสามารถรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายได้อีกด้วย

แหล่งที่มาของ PM 2.5

ฝุ่น PM 2.5 มาจากหลายแหล่ง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากยานพาหนะ การจราจรที่หนาแน่น โรงงานอุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง และหมอกควันจากไฟป่า ในเมืองใหญ่ความเข้มข้นของ PM 2.5 มักสูงในช่วงเช้าและช่วงเย็น เนื่องจากการจราจรที่หนาแน่น

 

2. ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิง

การลดลงของคุณภาพไข่

การสัมผัสฝุ่น PM 2.5 เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลเสียต่อคุณภาพของไข่และลดความสามารถในการปฏิสนธิ รวมถึงมีโอกาสพัฒนาเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์น้อยลง

ความผิดปกติของรอบเดือน

PM 2.5 อาจรบกวนการทำงานของฮอร์โมนที่ควบคุมรอบเดือน ทำให้เกิดรอบเดือนที่ไม่สม่ำเสมอหรือมีประจำเดือนมาไม่ปกติ เนื่องจากสารเคมีบางชนิดที่พบในฝุ่นสามารถเลียนแบบหรือรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนได้

เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก

ผู้หญิงที่อาศัยในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง มีโอกาสเกิดภาวะมีบุตรยากได้มาก เพราะอาจตรวจพบอาการอักเสบเรื้อรังในระบบสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มีบุตรยาก

ความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

การสัมผัสฝุ่น PM 2.5 ในระดับสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เพราะมลพิษอาจส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนและการพัฒนาของรก

 

3. ผลกระทบของมลภาวะ PM 2.5 ต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์

ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์

การสัมผัสมลพิษทางอากาศระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม อาจส่งผลให้ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ เนื่องจากการส่งผ่านออกซิเจนและสารอาหารไปยังทารกถูกรบกวน

การคลอดก่อนกำหนด

การอักเสบที่เกิดจากมลพิษอาจกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้

พัฒนาการของระบบประสาทของทารก

PM 2.5 สามารถแทรกซึมเข้าสู่รกและส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของระบบประสาทของทารกในครรภ์ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาพัฒนาการและการเรียนรู้ในอนาคตได้

ภาวะครรภ์เป็นพิษ

การสัมผัสมลพิษทางอากาศอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายทั้งต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ได้

 

4. วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากมลภาวะ PM 2.5 สำหรับผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์

  1. ติดตามคุณภาพอากาศ: ตรวจสอบระดับ PM 2.5 ในพื้นที่ของคุณผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลคุณภาพอากาศ เพื่อวางแผนกิจกรรมประจำวันและเลี่ยงการสัมผัส PM 2.5
  2. ใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน: ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงในบ้านเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ โดยเฉพาะในห้องนอนที่คุณใช้เวลาอยู่มากที่สุด
  3. สวมหน้ากากป้องกัน: สวมหน้ากากอนามัยที่มีคุณสมบัติป้องกันฝุ่น PM 2.5 เมื่อต้องออกนอกบ้านในวันที่คุณภาพอากาศไม่ดี
  4. จำกัดกิจกรรมกลางแจ้ง: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่มีมลพิษสูง โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็น
  5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: รับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และธาตุสังกะสี เพื่อช่วยลดความเสียหายจากการอักเสบ
  6. ปรึกษาแพทย์เพื่อเสริมวิตามินที่จำเป็น: พบแพทย์เพื่อเสริมวิตามินที่จำเป็น เช่น โฟลิก แอซิด และวิตามิน D เพื่อช่วยป้องกันผลกระทบจาก PM 2.5 ต่อการตั้งครรภ์

 

การฝากไข่เป็นทางเลือกเพื่อการวางแผนครอบครัว และลดความเสี่ยงมีบุตรยากจากมลภาวะ

 

5. การฝากไข่ – ทางเลือกสำหรับการวางแผนครอบครัวในยุคมลพิษสูง

การฝากไข่ช่วยถนอมคุณภาพไข่ที่ดีในวัยเจริญพันธุ์ เพื่อใช้ในอนาคตเมื่อพร้อมมีบุตร โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษที่อาจส่งผลต่อคุณภาพไข่ในระยะยาว การฝากไข่เป็นวิธีที่ช่วยรักษาโอกาสในการมีบุตรไว้ได้

โดยช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดในการฝากไข่คือ 25-35 ปี เมื่อคุณภาพและปริมาณไข่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี การฝากไข่ในช่วงนี้จะให้ผลสำเร็จสูงสุดเมื่อนำไปใช้งานในอนาคต

กระบวนการฝากไข่

กระบวนการฝากไข่ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญหลายขั้นตอน ดังนี้

  1. การตรวจประเมินเบื้องต้น: แพทย์จะตรวจระดับฮอร์โมน ตรวจอัลตราซาวนด์รังไข่ และประเมินความพร้อมของร่างกาย เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสม
  2. การกระตุ้นไข่ด้วยฮอร์โมน: รับฮอร์โมนเพื่อช่วยกระตุ้นรังไข่เป็นเวลาประมาณ 8-12 วัน เพื่อให้รังไข่ผลิตไข่หลายใบพร้อมกัน แทนที่จะผลิตเพียงใบเดียวในรอบเดือนปกติ
  3. การติดตามการตอบสนองของรังไข่: แพทย์จะนัดตรวจอัลตราซาวนด์และเจาะเลือดเป็นระยะ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิลและปรับขนาดยาตามความเหมาะสม
  4. การฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่สุก: เมื่อไข่เจริญเติบโตได้ขนาด จะได้รับการฉีดฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกพร้อมสำหรับการจัดเก็บ
  5. การเก็บไข่: แพทย์จะใช้เข็มพิเศษสอดผ่านช่องคลอดเข้าไปเพื่อเก็บไข่จากรังไข่ โดยมีการนำทางด้วยอัลตราซาวนด์ ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
  6. การประเมินคุณภาพไข่: ตรวจสอบคุณภาพและความสมบูรณ์ของไข่ที่เก็บได้ในห้องปฏิบัติการ
  7. การแช่แข็งไข่: ไข่ที่มีคุณภาพดีจะถูกนำไปแช่แข็งด้วยวิธีการ Vitrification (การทำให้เป็นแก้วอย่างรวดเร็ว) ซึ่งเป็นเทคนิคล่าสุดที่ช่วยป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งที่อาจทำลายโครงสร้างของไข่
  8. การเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลว: ไข่ที่แช่แข็งจะถูกเก็บในถังไนโตรเจนเหลว ซึ่งสามารถเก็บรักษาได้หลายปีโดยไม่เสื่อมคุณภาพ

ขั้นตอนทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และเมื่อพร้อมใช้ไข่ในอนาคต จะมีการละลายไข่ ทำการปฏิสนธิกับอสุจิ และย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกต่อไป

หากคุณอาศัยในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูงและกำลังวางแผนมีบุตรในอนาคต การฝากไข่อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อรักษาโอกาสในการมีบุตรที่แข็งแรง VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) เป็นศูนย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากที่ได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีเวชแห่งประเทศไทย พร้อมให้บริการฝากไข่ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง

สนใจฝากไข่ สามารถสอบถามค่าใช้จ่ายหรือข้อสงสัยได้ที่ VFC Center เรายินดีให้คำปรึกษาและดูแลคุณอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แผนการมีบุตรของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีความท้าทาย

 

บทความโดย แพทย์วนากานต์ สิงหเสนา

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

Dr. Wannakan Singhasena, a fertility specialist in Thailand

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.