เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

น้ำมันปลาและ DHA สารอาหารสำคัญสำหรับคนท้องและเตรียมตั้งครรภ์

น้ำมันปลา (Fish Oil) คือแหล่งโอเมก้า 3 ที่มี EPA และ DHA ที่มีประโยชน์ต่อคนท้อง

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาพิเศษที่ร่างกายของคุณแม่ต้องการสารอาหารที่เพียงพอ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ โดยหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการสุขภาพ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตร คงจะไม่พ้นน้ำมันปลาและ DHA เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ส่งผลดีต่อการตั้งครรภ์ของคุณแม่

น้ำมันปลาโดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และ DHA มีประโยชน์หลากหลายต่อคนท้อง ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมอง ระบบประสาท และการมองเห็นของทารก รวมถึงสนับสนุนสุขภาพที่ดีของคุณแม่ตลอดช่วงการตั้งครรภ์ และไม่เพียงคนท้องเท่านั้น แต่ผู้ที่วางแผนมีบุตรก็ควรให้ความสำคัญกับการได้รับสารอาหารในกลุ่มนี้อย่างเพียงพอด้วยเช่นกัน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์

 

น้ำมันปลา (Fish Oil) คืออะไร ?

น้ำมันปลาเป็นไขมันที่สกัดได้จากเนื้อเยื่อของปลา โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึกที่มีไขมันสูง ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการและอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 สำหรับปลาที่เป็นแหล่งสารอาหารสำคัญของน้ำมันปลาได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมกเคอเรล ปลาซาร์ดีน และปลาเฮอร์ริง เนื่องจากปลาเหล่านี้อาศัยอยู่ในน้ำเย็นและต้องสร้างไขมันพิเศษเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

องค์ประกอบสำคัญในน้ำมันปลาคือกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันที่สำคัญสองชนิดคือ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) ทั้งสองชนิดนี้เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร

ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาหลากหลายรูปแบบให้เลือกบริโภค ทั้งแคปซูลน้ำมันปลา น้ำมันตับปลา และน้ำมันคริลล์ ซึ่งผ่านกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การสกัดน้ำมันจากเนื้อปลา การทำให้บริสุทธิ์เพื่อกำจัดสารปนเปื้อน เช่น โลหะหนัก ไปจนถึงการเพิ่มความเข้มข้นของ EPA และ DHA ในผลิตภัณฑ์

 

DHA คืออะไร และทำไมถึงสำคัญสำหรับคนท้อง ?

DHA หรือ Docosahexaenoic Acid เป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะการพัฒนาสมองและระบบประสาท อีกทั้ง DHA ยังเป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและจอประสาทตา

บทบาทของ DHA ในการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์

DHA มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างของเซลล์สมอง รวมถึงการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท และการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า DHA มีส่วนช่วยในการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ และความสามารถทางสติปัญญาของทารก นอกจากนี้ ยังช่วยในการพัฒนาระบบการมองเห็นและการทำงานของจอประสาทตาอีกด้วย

ช่วงเวลาสำคัญในการพัฒนาของทารกที่ต้องการ DHA

ช่วงไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาสมองอย่างรวดเร็ว ซึ่งทารกต้องการ DHA ในปริมาณมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่สมองของทารกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการสร้างเซลล์ประสาทจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม การได้รับ DHA อย่างเพียงพอตั้งแต่ช่วงแรกของการตั้งครรภ์มีความสำคัญ เนื่องจากการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง แต่เพื่อความปลอดภัย ไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาในช่วง 3 เดือนแรก เพราะอาจมีผลต่อการฝังของตัวอ่อน และควรหยุดทานน้ำมันปลาและ DHA ก่อนคลอดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้

ความต้องการ DHA ที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์และในช่วงให้นมบุตร

ในระหว่างการตั้งครรภ์และการให้นมบุตร ร่างกายของคุณแม่ต้องการ DHA เพิ่มขึ้น เพื่อส่งต่อให้แก่ทารก ซึ่งในช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์จะได้รับสาร DHA ผ่านทางรก ส่วนหลังคลอด ทารกจะได้รับผ่านทางน้ำนมแม่

แต่ถ้าหากคุณแม่ไม่ได้รับ DHA อย่างเพียงพอ ร่างกายอาจดึง DHA จากแหล่งอื่น ๆ ที่สะสมในร่างกายของคุณแม่เพื่อส่งต่อให้แก่ลูกน้อย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่ได้

 

ประโยชน์ของน้ำมันปลาและ DHA สำหรับคนท้อง

การพัฒนาสมองและสายตาของทารก

DHA ช่วยส่งเสริมพัฒนาการสมองและสายตาของทารก สำหรับลูกน้อยที่ได้รับ DHA อย่างเพียงพอจะมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้และการมองเห็นที่ดีกว่า รวมถึงมีความเสี่ยงต่อปัญหาพัฒนาการทางสมองน้อยลงด้วย

ป้องกันภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของคุณแม่

น้ำมันปลาช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลสารสื่อประสาทในสมอง จึงช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ โดยพบว่าคุณแม่ที่มีระดับโอเมก้า-3 ต่ำเสี่ยงต่อภาวะนี้มากกว่า

ประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของมารดา

น้ำมันปลาช่วยดูแลหัวใจคุณแม่ด้วยการลดไตรกลีเซอไรด์ ลดความดัน และลดการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในช่วงตั้งครรภ์ที่หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น

ลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ

โอเมก้า-3 ช่วยปรับสมดุลต่อระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์

 

น้ำมันปลาช่วยอะไรได้บ้าง สำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตร ?

เพิ่มคุณภาพของไข่และอสุจิ

DHA ช่วยพัฒนาคุณภาพไข่ในผู้หญิง และเพิ่มคุณภาพ จำนวน และการเคลื่อนไหวของอสุจิในผู้ชาย ส่งผลให้โอกาสตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้น

ลดการอักเสบที่อาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์

น้ำมันปลาช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

สนับสนุนสุขภาพโดยรวมก่อนการตั้งครรภ์

นอกจากส่งผลโดยตรงต่อการเจริญพันธุ์แล้ว น้ำมันปลายังช่วยดูแลสุขภาพโดยรวม ทั้งสุขภาพหัวใจ ระดับน้ำตาล และการอักเสบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์

 

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 และ DHA ซึ่งมีประโยชน์ต่อคนท้องและผู้เตรียมตั้งครรภ์

 

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 และ DHA

  • ปลาทะเลน้ำลึก และอาหารทะเลอื่น ๆ: ปลาทะเลน้ำลึกเป็นแหล่ง DHA ชั้นเยี่ยม โดยเฉพาะปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และซาร์ดีน นอกจากนี้ หอยนางรม กุ้ง และปลาหมึกก็อุดมไปด้วย DHA เช่นกัน
  • แหล่งจากพืช: เช่น เมล็ดเจีย แฟลกซ์ วอลนัท และน้ำมันคาโนลา แต่พืชเหล่านี้มักมีแค่ ALA ซึ่งร่างกายต้องแปลงเป็น EPA และ DHA ซึ่งประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ
  • อาหารที่เสริม DHA: เช่น นมและไข่ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานอาหารทะเล

ตัวอย่างเมนูอาหารที่อุดมด้วย DHA สำหรับคนท้อง

ผู้ที่ต้องการเสริม DHA อาจเลือกทานเมนูง่าย ๆ ที่อุดมด้วยสาร DHA เช่น แซลมอนย่างกับผักโขม สลัดทูน่ากับอาโวคาโด หรือปลาซาร์ดีนกับขนมปังโฮลวีต

 

ปริมาณที่แนะนำในการบริโภคน้ำมันปลาและ DHA

  • คนทั่วไป: ทานปลา 1-2 มื้อต่อสัปดาห์ หรือรับโอเมก้า-3 ประมาณ 250-500 มก. ต่อวัน
  • คนท้อง: ควรได้รับ DHA 200-300 มก.ต่อวัน หรือ 500-1,000 มก. ต่อวันในไตรมาสที่สาม
  • คุณแม่ให้นมบุตร: ควรได้รับ DHA 200-300 มก. ต่อวัน เพื่อให้น้ำนมมี DHA เพียงพอ
  • ผู้วางแผนมีบุตร: ควรได้รับโอเมก้า-3 ประมาณ 500 มก. ต่อวัน ควรเริ่มบริโภค 3-6 เดือนก่อนตั้งครรภ์

 

ข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

  • ผู้ที่ควรระวังในการทานน้ำมันปลา ได้แก่ คนแพ้อาหารทะเล ผู้มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด และผู้ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ผลข้างเคียงที่อาจพบ เช่น กลิ่นปากเหม็นคาว เรอ ท้องอืด ท้องเสีย และคลื่นไส้ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรับประทานพร้อมกับอาหาร หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่กำจัดกลิ่นแล้ว
  • น้ำมันปลาอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาลดความดัน และยาแก้อักเสบ ควรปรึกษาแพทย์หากใช้ยาเหล่านี้
  • โดยทั่วไปน้ำมันปลาปลอดภัยสำหรับคนท้อง แต่ควรหลีกเลี่ยงปลาที่มีสารปรอทสูง เช่น ปลาฉลาม ปลากระโทงแทง และปลาทูน่าตาโต (Bigeye Tuna)

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับน้ำมันปลา DHA และการตั้งครรภ์

Q: น้ำมันปลาจำเป็นต้องรับประทานตลอดการตั้งครรภ์หรือไม่ ?

A: เนื่องจากทารกมีพัฒนาการที่ต่อเนื่อง และในแต่ละช่วงอายุครรภ์มีความต้องการที่แตกต่างกันไป จึงควรเลือกรับประทานน้ำมันปลาอย่างเหมาะสม ดังนี้

  • ไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาในช่วง 3 เดือนแรก เพราะอาจมีผลต่อการฝังของตัวอ่อน
  • ควรหยุดทานก่อนคลอดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด

Q: DHA สามารถทดแทนได้ด้วยอาหารเสริมชนิดอื่นได้หรือไม่ ?

A: DHA มีคุณสมบัติเฉพาะที่ไม่สามารถทดแทนด้วยอาหารเสริมอื่นได้ แต่คุณสามารถเลือกรับ DHA จากสาหร่ายแทนน้ำมันปลาได้ หากแพ้อาหารทะเล หรือเป็นมังสวิรัติ

Q: ควรเริ่มรับประทานน้ำมันปลาเมื่อไร หากวางแผนมีบุตร ?

A: ควรเริ่ม 3-6 เดือนก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้ร่างกายมีระดับโอเมก้า-3 และ DHA เพียงพอ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

Q: รับประทานน้ำมันปลามากเกินไปมีผลเสียหรือไม่ ?

A: การรับประทานน้ำมันปลาเกิน 3,000 มก.ต่อวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เลือดออกผิดปกติ รวมถึงอาการท้องเสีย และรบกวนต่อระบบภูมิคุ้มกันได้ นอกจากนี้ หากเลือกรับประทานน้ำมันปลาคุณภาพต่ำอาจมีสารปนเปื้อนที่ส่งผลต่อร่างกาย จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์คุณภาพดีและบริโภคในปริมาณที่ได้รับคำแนะนำ

Q: น้ำมันปลาเหมาะสำหรับมารดาที่ให้นมบุตรหรือไม่ ?

A: เหมาะสม เพราะ DHA จะผ่านไปยังทารกทางน้ำนมแม่ ช่วยพัฒนาสมองและสายตาเด็กในขวบปีแรก ทารกที่ได้รับ DHA อย่างเพียงพอจะมีพัฒนาการที่ดี เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อน้อยลง

 

นอกจากการเรียนรู้ว่าอยากมีลูกต้องกินอะไรบำรุงแล้ว หากต้องการรักษาภาวะมีบุตรยาก ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) พร้อมให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัย โดยทีมแพทย์ด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากที่มีประสบการณ์ พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย และห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานระดับสากล ให้บริการตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษา ไปจนถึงการดูแลสุขภาพมารดาและทารกระหว่างตั้งครรภ์

บทความโดย พญ. วนากานต์ สิงหเสนา

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter

Dr. Wannakan Singhasena, a fertility specialist in Thailand

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.