
เชื่อว่าคงมีคุณผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีลูกจำนวนไม่น้อย ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ Platelet Rich Plasma หรือ PRP และอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ยิ่งถ้าใครเคยทำ PRP ฟื้นฟูรังไข่และผนังมดลูกมาแล้ว อาจจะอยู่ในช่วงกังวลว่าผลลัพธ์ที่ได้จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้จริงหรือไม่ และเพื่อคลายข้อสงสัยในเรื่องนี้ เรามีสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการฉีด PRP สำหรับช่วยฟื้นฟูรังไข่และผนังมดลูกมาแนะนำ เพื่อให้เห็นถึงขั้นตอนและผลลัพธ์การรักษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Platelet Rich Plasma (PRP) คืออะไร ?
Platelet Rich Plasma (PRP) คือส่วนพลาสมาของเลือดที่ประกอบไปด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น เกิดจากการนำเลือดเข้าสู่กระบวนการปั่นแยกส่วนประกอบอื่นที่ไม่ต้องการออก โดยให้เหลือเพียงเกล็ดเลือดซึ่งมีความเข้มข้นกว่าเลือดปกติ 5-10 เท่า ซึ่งกระบวนการทำ PRP นี้ จะประกอบไปด้วยสารสำคัญ Cytokines และ Growth factors หลายชนิด เช่น
- Vascular Endothelial Growth Factor (VEGF) ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่
- Transforming Growth Factor (TGF) กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์
- Platelet-derived Growth Factor (PDGF) ช่วยในการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์
- Epidermal Growth Factor (EGF) มีบทบาทในการซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ
โดยสารสำคัญเหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นการเคลื่อนที่ การเจริญเติบโต และการแบ่งหน้าที่ของเซลล์ภายในมดลูก ทำให้เกิดการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ PRP เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1970 เพื่อใช้ทำการรักษาในเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพของเซลล์หลายส่วนของร่างกาย ทั้งผิวหนัง ข้อต่อ และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ซึ่งทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากนั้นมีแต่การศึกษาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ผลลัพธ์เบื้องต้นพบว่ามีแนวโน้มที่ดีในการช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ ซึ่งมีการนำมาใช้เฉพาะกลุ่ม ดังนี้
PRP กับเยื่อบุโพรงมดลูก
ในการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อทำการย้ายกลับตัวอ่อน พบว่ามีกลุ่มคนไข้ส่วนหนึ่งมีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกบางโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้ว่าจะได้รับยาฮอร์โมน Estrogen ในระดับสูงแล้วก็ตาม ทำให้คนไข้ต้องถูกยกเลิกการย้ายกลับตัวอ่อน เกิดผลกระทบต่อคนไข้ทั้งทางด้านจิตใจและค่าใช้จ่าย
ปัจจุบันมีการศึกษาหลายฉบับรายงานถึงความสำเร็จในการใช้ PRP ฉีดเข้าโพรงมดลูก โดยกลุ่มคนไข้ที่มีเยื่อบุบางโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังได้รับการฉีด PRP เข้าในโพรงมดลูกก่อนการสอดยาโปรเจสเตอโรน พบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ดังนี้
- เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น
- มีปริมาณเลือดมาเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้น
- คุณภาพของเยื่อบุโพรงมดลูกดีขึ้น ทำให้เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
จากการศึกษาต่าง ๆ ยังพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของอัตราการตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับการย้ายตัวอ่อนกลับหลายครั้งแล้วไม่เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น
PRP กับรังไข่
อายุที่มากขึ้นทำให้รังไข่มีปริมาณของฟองไข่และคุณภาพไข่ที่ลดลง ส่งผลให้การกระตุ้นไข่ในกลุ่มคนที่มีฟองไข่น้อยมีโอกาสที่จะไม่ได้ไข่หรือได้ไข่ในปริมาณน้อย ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาหลายรอบ เพิ่มภาระทั้งทางร่างกาย จิตใจ และค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
การทำ PRP ที่รังไข่ จะมีกระบวนการคล้ายกับการเก็บไข่ คือ ใช้เข็มเก็บไข่ฉีด PRP ประมาณ 6-8 มิลลิลิตรที่บริเวณเนื้อรังไข่ ซึ่งผลการศึกษาพบประโยชน์หลายประการ คือ
- ค่า FSH (Follicle Stimulating Hormone) ลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการทำงานของรังไข่
- ค่า AMH (Anti-Müllerian Hormone) เพิ่มเล็กน้อย แสดงถึงปริมาณไข่ที่มีมากขึ้น
- เพิ่มปริมาณฟองไข่ได้ประมาณ 0.5-1 ใบต่อรอบการกระตุ้น และช่วยเพิ่มคุณภาพไข่
- ลดโอกาสเสี่ยงในการยกเลิกการเก็บไข่เนื่องจากการกระตุ้นไข่ไม่ได้ผล
การฉีด PRP มดลูกเหมาะกับใคร ?
การฉีด PRP ฟื้นฟูรังไข่และผนังมดลูก เป็นอีกหนึ่งกระบวนการที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยเหมาะกับผู้หญิงที่มีปัญหาด้านการเจริญพันธุ์
- ผู้ที่มีปัญหารังไข่เสื่อมก่อนวัย โดยมีระดับฮอร์โมน AMH ต่ำกว่าปกติเมื่อเทียบกับอายุ หรือมีจำนวนฟองไข่น้อยผิดปกติ
- ผู้ที่มีภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นต่ำ เคยผ่านการกระตุ้นไข่ แล้วได้ไข่น้อย หรือไม่ได้ไข่เลย แม้จะใช้ยากระตุ้นในปริมาณสูง
- ผู้ที่มีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกบาง ซึ่งไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
- ผู้ที่ทำการกระตุ้นไข่ แต่ได้ตัวอ่อนที่ไม่แข็งแรง จึงทำให้พัฒนาได้ไม่ถึงระยะ Blastocyst หรือเมื่อนำไปตรวจโครโมโซมแล้วไม่ผ่าน
กระบวนการฉีด PRP ฟื้นฟูรังไข่และผนังมดลูก
การฉีด PRP ฟื้นฟูรังไข่และผนังมดลูก เป็นหนึ่งในกระบวนการที่ช่วยรักษามีบุตรยาก โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
- ตรวจประเมินเบื้องต้น ในการทำ PRP เพื่อรักษามีบุตรยาก แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย วัดระดับฮอร์โมน และตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อประเมินสภาพของรังไข่และมดลูก
- เก็บเลือด ด้วยวิธีการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำบริเวณแขนประมาณ 15-20 ซีซี เพื่อนำไปเตรียม PRP
- เตรียม PRP โดยการนำเลือดเข้าเครื่องปั่นเพื่อแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ได้พลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น
- การฉีด PRP เข้ารังไข่ จะดำเนินการภายใต้การดมยาสลบหรือยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่ โดยแพทย์จะใช้เครื่องอัลตราซาวนด์นำทางเพื่อฉีด PRP ประมาณ 6-8 มิลลิลิตรเข้าสู่เนื้อรังไข่ทั้งสองข้าง
- การฉีด PRP เข้าโพรงมดลูก แพทย์จะสอดสายสวนผ่านปากมดลูกเพื่อฉีด PRP ประมาณ 2-3 มิลลิลิตรเข้าไปในโพรงมดลูก โดยไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ
- การติดตามผล หลังการฉีด PRP ประมาณ 2-3 เดือน แพทย์จะนัดติดตามผลด้วยการตรวจระดับฮอร์โมนและอัลตราซาวนด์ เพื่อประเมินการตอบสนอง
แม้ว่าการฉีด PRP จะไม่ใช่วิธีการรักษาหลักในการรักษามีบุตรยาก และยังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัยในหลายประเทศ แต่ผลลัพธ์เบื้องต้นแสดงให้เห็นแนวโน้มที่ดีในการช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่การรักษาแบบดั้งเดิมไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
บทความโดย: แพทย์ศรมน ทรงวีรธรรม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดปรึกษาและวางแผนกับแพทย์ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline : 082-903-2035
Line Official : @vfccenter
อ่านบทความสุขภาพ : https://www.v-ivf.com/article/

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติ-นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.