การตั้งครรภ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวอ่อนเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวได้อย่างเหมาะสม สำหรับคู่สมรสที่กำลังวางแผนทำเด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI) การทราบถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฝังตัวของตัวอ่อนถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งการตรวจ ERA Test หรือ Endometrial Receptivity Analysis คือเทคโนโลยีที่ช่วยประเมินความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ และลดความเสี่ยงจากการย้ายตัวอ่อนไม่ตรงช่วงเวลา ลองไปหาคำตอบกันว่า การตรวจ ERA Test จะช่วยบอกอะไรได้บ้าง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการวางแผนมีบุตร
ปรึกษาเรื่องการตรวจ ERA Test ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center)
ERA Test (Endometrial Receptivity Analysis) คืออะไร ?
ERA Test ย่อมาจาก Endometrial Receptivity Analysis คือการตรวจประเมินความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฝังตัวของตัวอ่อน หรือที่เรียกว่า Window of Implantation ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะแม้ตัวอ่อนจะมีคุณภาพดี แต่หากย้ายตัวอ่อนในช่วงที่เยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่พร้อม ก็อาจทำให้การตั้งครรภ์ไม่เกิดขึ้น
ERA Test เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง Personalizes Embryo Transfer (PET) ซึ่งช่วยปรับเวลาการย้ายตัวอ่อนให้ตรงกับความพร้อมของผู้หญิงแต่ละคน การตรวจนี้จะวิเคราะห์การแสดงออกของยีนมากกว่า 200 ยีนในเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อบอกช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการย้ายตัวอ่อน ทำให้เพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 70% ต่อรอบการย้ายตัวอ่อน
ผู้ที่เหมาะกับการทำ ERA Test ได้แก่
- ผู้ที่เคยย้ายตัวอ่อนคุณภาพดีแต่ไม่ตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีตัวอ่อนน้อยและต้องการความมั่นใจในการย้ายตัวอ่อน
ประโยชน์ของการทำ ERA Test
การทำ ERA Test มีประโยชน์หลายประการสำหรับผู้ที่วางแผนตั้งครรภ์ด้วยการทำ ICSI
- ระบุช่วงเวลาฝังตัวที่เหมาะสม : ช่วยกำหนด Window of Implantation เฉพาะตัวผู้หญิงแต่ละคน ทำให้สามารถย้ายตัวอ่อนได้ตรงเวลาที่เยื่อบุโพรงมดลูกพร้อมที่สุด
- เพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ : การย้ายตัวอ่อนในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มอัตราการฝังตัวและลดความเสี่ยงจากการไม่ตั้งครรภ์ แม้ตัวอ่อนมีคุณภาพดี
- ปรับแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล : เป็นส่วนหนึ่งของ Personalized Embryo Transfer (PET) ทำให้แพทย์สามารถวางแผนย้ายตัวอ่อนให้ตรงกับความพร้อมของเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละรอบ
- ช่วยผู้ที่มีประวัติย้ายตัวอ่อนไม่สำเร็จ : เหมาะสำหรับผู้ที่เคยย้ายตัวอ่อนคุณภาพดีแต่ไม่ตั้งครรภ์ การตรวจ ERA จะช่วยค้นหาสาเหตุถึงช่วงเวลาฝังตัวที่ไม่เหมาะสม และรอเวลาที่ร่างกายพร้อมที่สุด
- ลดความเสี่ยงในการทำ IVF/ICSI หลายรอบ : การรู้ช่วงเวลาที่เหมาะสมตั้งแต่รอบแรก จะช่วยลดจำนวนรอบในการทำเด็กหลอดแก้ว ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
ขั้นตอนการทำ ERA Test
1. การเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูก
จะเริ่มด้วยการใช้ยาเพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกเหมือนกับขั้นตอนการย้ายตัวอ่อนปกติ เพื่อทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาและพร้อมรับตัวอ่อน
2. การใช้ยาโปรเจสเตอโรน
เมื่อเยื่อบุโพรงมดลูกพร้อม แพทย์จะเริ่มให้ยาโปรเจสเตอโรนประมาณ 5 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตรงกับช่วง Window of Implantation ทั่วไป
3. การเก็บตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูก
หลังจากใช้ยาโปรเจสเตอโรนครบกำหนด จะทำการเก็บตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Biopsy) ผ่านช่องคลอด ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน
4. การวิเคราะห์ตัวอย่าง
ตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูกจะถูกตรวจวิเคราะห์การแสดงออกของยีนกว่า 200 ยีน ที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมในการฝังตัวของตัวอ่อน
5. การรายงานผลและวางแผนย้ายตัวอ่อน
แพทย์จะประเมินผล ERA และให้คำแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการย้ายตัวอ่อน เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์
ERA Test จำเป็นไหม ?
ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่ต้องทำ ERA Test แต่จะขึ้นอยู่กับภาวะมีบุตรยากของแต่ละคน ซึ่งโดยทั่วไปการตรวจ ERA จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้
1. ผู้ที่เคยย้ายตัวอ่อนคุณภาพดีแล้วไม่ตั้งครรภ์
แม้ว่าตัวอ่อนจะมีคุณภาพดี แต่ถ้าช่วงเวลาในการฝังตัวไม่เหมาะสม ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการฝังตัวของตัวอ่อน การทำ ERA Test จะช่วยระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล
2. ผู้ที่มีจำนวนตัวอ่อนน้อย
ในกรณีที่ตัวอ่อนมีจำนวนจำกัด การรู้ช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ใช้ตัวอ่อนได้อย่างคุ้มค่าและเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์
3. ผู้ที่วางแผนทำ Personalized Embryo Transfer
ERA Test เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง Personalized Embryo Transfer (PET) ซึ่งช่วยปรับเวลาการย้ายตัวอ่อนให้เหมาะสมกับร่างกายแต่ละคน เพิ่มโอกาสสำเร็จสูงกว่าการย้ายตัวอ่อนตามเวลาทั่วไป
สนใจวางแผนการตรวจ ERA Test ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ที่ VFC Center
วางแผนตั้งครรภ์อย่างมั่นใจกับ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
หากคุณเคยมีประวัติย้ายตัวอ่อนแล้วไม่สำเร็จ หรืออยากเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ด้วยการทำ Personalized Embryo Transfer สามารถนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ที่ VFC Center ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V-Fertility Center) เพื่อประเมินความจำเป็นและวางแผนการตรวจ ERA Test และเพิ่มโอกาสให้เกิดการตั้งครรภ์
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร
Hotline: 082-903-2035
LINE Official: @vfccenter
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
Q : ERA Test คืออะไร ?
A: ERA Test (Endometrial Receptivity Analysis) คือการตรวจประเมินเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน หรือที่เรียกว่า Window of Implantation ทำให้การย้ายตัวอ่อนตรงจังหวะ เพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์มากขึ้น
Q : ขั้นตอนทำ ERA Test เป็นอย่างไร ?
A: การตรวจ ERA ใช้เวลา 1 รอบเดือน เริ่มจากการกินยาเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อเยื่อบุมีความหนาเหมาะสม จะเริ่มให้ยาโปรเจสเตอโรนเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นแพทย์จะเก็บชิ้นเยื่อบุส่งตรวจเพื่อวิเคราะห์การแสดงออกของยีนกว่า 200 ยีน เพื่อระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการย้ายตัวอ่อนของแต่ละบุคคล
Q : ใครควรตรวจ ERA Test ?
A: การตรวจ ERA Test เหมาะกับผู้หญิงที่มีปัญหาเหล่านี้
- เคยย้ายตัวอ่อนคุณภาพดีแล้วไม่ตั้งครรภ์
- มีตัวอ่อนน้อยและต้องการความแม่นยำสูง
- แพทย์ประเมินว่าช่วงเวลาฝังตัวอาจคลาดเคลื่อนจากมาตรฐาน
Q : ERA Test ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้จริงหรือไม่ ?
A: มีงานวิจัยสนับสนุนว่า ERA Test สามารถช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่า 70% ในผู้ที่มีปัญหาช่วงเวลาฝังตัวไม่ตรงจังหวะ เพราะสามารถกำหนด “วันที่ใช่” สำหรับการย้ายตัวอ่อนของแต่ละบุคคลอย่างแม่นยำ
Q : ERA Test เจ็บไหม และมีผลข้างเคียงหรือไม่ ?
A: การเก็บชิ้นเยื่อบุโพรงมดลูกอาจรู้สึกปวดหน่วงเล็กน้อยคล้ายปวดประจำเดือน โดยทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชวิทยาและเวชศาตร์การเจริญพันธ์ุ




No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.